xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวปนคน คนปนข่าว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ข่าวปนคน คนปนข่าว

** ผลประโยชน์ลงตัวก็คุยกันรู้เรื่อง “ฟาร์มโชคชัย – ลุงกำนัน” สามัคคีหย่าศึก จบๆกันไปปมเซ้งลี้เก้าอี้ตำรวจ
ราวกับนัดกันมา สำหรับคิวที่ “บิ๊กเม่น” พล.ต.อ.ปัญญา มาเม่น จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) ที่ขอยืดเวลาตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่การซื้อขายตำแหน่งในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจภาค 8 วาระประจำปี 2559 .. ในขณะที่คนต้นเรื่องอย่าง วิทยา แก้วภราดัย แกนนำคนสำคัญของ กปปส. ก็ขู่ว่าจะแฉเพิ่มกรณีการซื้อขายเก้าอี้ตำรวจในพื้นที่อื่น ที่แรกๆกองเชียร์ลุ้นแทบแย่ว่า งวดนี้คงมีแตกหัก ไม่ใครก็ใคร .. แต่การทิ้งบอมส์ลูกล่าสุดของ “วิทยา” ก็เหมือนปาระเบิดด้านใส่ สตช. เมื่อไม่มีการฟอลโลวประเด็นต่อ “เผด็จศึก-รุกฆาต” ให้สิ้นสิ้นเรื่องสิ้นราวอย่างที่ขู่ไว้ ส่วนภารกิจตรวจสอบ “บิ๊กเม่น” ก็คงทิ้งช่วงไปได้ร่วมเดือน เหมือนเต้นฟุตเวิร์ค รอระฆังหมดยก .. รวมทั้งก่อนหน้านี้ ที่ทางทีมกฎหมาย สตช.ตั้งท่าเตรียมยื่นฟ้อง “วิทยา” ฐานหมิ่นประมาท ฐานทำให้องค์กรตำรวจเสียหาย แต่สุดท้ายก็เงียบไปเช่นกัน
ไม่ได้มองโลกแง่ร้าย แต่มันมีสัญญาณที่พอจะสัมผัสได้ว่า มีความพยายามทำให้เรื่องเงียบๆ แล้วก็ลืมๆกันไป เหมือนทุกๆปีที่มีการออกมาแฉนั่นแหละ .. ที่สำคัญภาพของ “ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง” ค่อนข้างมีบทบาทสำคัญในการ “หย่าศึก” หนนี้ .. ฝ่าย “วิทยา” ก็ตีตราสังกัดค่าย กปปส.ที่มี “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ ยืนตระหง่านอยู่ไม่ห่าง แม้จะเจ็บใจจากการที่ “บิ๊กจ๋อน” พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ผบช.ภ.8 คนสนิทของตัวเองต้องถูกย้าย แต่ก็คงประเมินแล้วหากฟาดฟันแตกหักไปก็จะได้ไม่คุ้มเสีย โดยเฉพาะเครือข่ายธุรกิจสาย “ลุงกำนัน” ที่ต้องอาศัยการดูแลจากตำรวจในพื้นที่พอสมควร .. อีกฟากฝั่ง “ฝ่ายตำรวจ” เอง ก็ไม่ต้องการต่อความยาวสาวความยืด โดยเฉพาะเมื่อ “ปมเซ็งลี้ตำรวจ” กลายเป็นไฟลามไปถึงบ้านใหญ่ที่ถูกขนานนามว่า “ฟาร์มโชคชัย” ซึ่งก็คือหมู่มวลคฤหาสน์ใหญ่น้อยของ “สองพี่น้องบิ๊ก ป.” ภายใน ซ.โชคชัย 4 อันเป็นขุมอำนาจแห่งอาณาจักรโล่เงินในปัจจุบัน .. จนมีข่าวว่า "บิ๊ก ป.ผู้น้อง" ที่ถูกยกให้เป็น “ผบ.ตร.ตัวจริง” ฉุนขาดที่ปล่อยให้มีการตีข่าวปมซื้อขายตำรวจ จนลุกลามบานตะไท ทำให้มีเชื่อของเขาในหน้าสื่อ ทั้งๆที่ที่ผ่านมาพยายามโลว์โปรไฟล์ไม่ให้ตกเป็นเป้าโจมตีมาตลอด .. ขณะที่ “บิ๊ก ป.คนพี่” ก็รู้ดีว่า สถานภาพของตัวเองในขุมข่ายอำนาจขณะนี้ก็ยังลูกผีลูกคน หากปล่อยให้มีข่าวในเชิงลบเกี่ยวกับหน่วยงานที่ตัวเองกำกับดูแลออกมาเรื่อยๆ ย่อมไม่เป็นผลดี .. เมื่อเป็นเช่นนี้จึงจำเป็นต้องต่อสายถึงกัน เพื่อให้ปรามการเคลื่อนไหวของลิ่วล้อ ไม่ให้ล้ำเส้นกันไปมากกว่านี้ .. เมื่อมีผลประโยชน์ร่วมกัน “ผู้หลักผู้ใหญ่” บ้านเราก็คุนกันรู้เรื่องแบบนี้แล

** ดีกว่านี้ไม่มีแล้ว?? “อดิศักดิ์-วิลาสินี” ชิงดำ “ผอ.ไทยพีบีเอส” ชนักติดหลัง-แผลเหวอะพอกัน
เป็นไปตามคาด เมื่อ อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ อดีตลูกหม้อเก่าค่ายเนชั่น คะแนนนำในการคัดเลือก “ผอ.ไทยพีบีเอส” รอบแรก ตามมาด้วย วิลาสินี พิพิธกุล อดีตรอง ผอ.ไทยพีบีเอส สมัย ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ เป็น ผอ. เบียดคู่คี่ดู๋ดี๋ 5 ต่อ 4 คะแนน โดยแบ่งให้บรรดาไม้ประดับไปคนละแต้มเท่านั้น .. ผลออกมา ถ้าเปิดราคาให้ถือหาง บ่อนคงเจ๊งเละเทะ ก็เป็นไปตามการกะเก็งของเซียนข้างสนามเป๊ะๆ ที่ว่าการแสดงวิสัยทัศน์ก็แค่ “พิธีกรรม” โดยมีการล็อคตัว-ล็อคเก้าอี้กันไว้เสร็จสรรพ .. แว่วว่าเจรจาความเมืองลงเอยนานแล้วระหว่าง 2 แคนดิเดต พร้อมไฟเขียว ของสปอนเซอร์หลัก “ตระกูล ส.” ที่ทรงอิทธิพล โดย "อดิศักดิ์" ยึดหัวโต๊ะคนใหม่ และให้ " วิลาสินี" กลับเข้ามาในเก้าอี้เบอร์ 2 อีกครั้ง .. ถ้าเข้าอิหรอบนี้ น่าเป็นห่วงทั้งแนวทางการทำงานของ “ทีวีสาธารณะ” ที่ยังคงอยู่ภายใต้อิทธิพลของคนบางกลุ่ม อีกทั้งยังเห็นแววว่า “ไทยพีบีเอส” จะกลายเป็น “บ้านหลังใหม่” ของ “คนเนชั่น” ที่ตอนนี้กำลังระส่ำระสายอย่างหนัก .. อาจจะซ้ำรอยประวัติศาสตร์สมัย เทพชัย หย่อง จากเนชั่นที่เข้ามาดำรงตำแหน่ง ผอ.ไทยพีบีเอส ก็ปรากฏว่ามีลูกทีมจากเครือเนชั่นเข้ามาร่วมงานอยู่มากหน้าหลายตา หลายคนอยู่โยงจนถึงตอนนี้ .. แล้วก็ยังมีการพูดหนาหูว่า ถ้าหวยออก “อดิศักดิ์” จริง อาจจะต้องตั้งวงสรรหา ผอ.กันใหม่เร็วๆนี้ ก็เจ้าตัวมีคดีความเป็นหางว่าว รวมทั้งยังมีเรื่องร้องเรียนคาอยู่ด้วย
ที่หนักกว่าคงเป็นรายของ “วิสาลินี” ที่ยังมีชนักคาหลัง-ติดมลทินปม “ซื้อหุ้นกู้” เหมือนกับลูกพี่เก่า “หมอฟันกฤษดา” ที่ร่วงตกเก้าอี้ไปอยู่ แต่ก็ยังดึงดันจะเข้ามาร่วมรับการสรรหา .. แม้ผลการสอบ “ภายใน” จะอุ้มกันว่า ไม่ถือผิดธรรมาภิบาล-ไม่มีใครได้รับผลประโยชน์ .. แต่มุมมองขัดกับ “คนนอก” อย่าง สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ร่อนหนังสือถึง “บอร์ดไทยพีบีเอส” ทำการสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องอีกคำรบ ซึ่งก็มี “หมอกฤษดา – วิสาลินี” รวมไปถึง อนุพงษ์ ไชยฤทธิ์ อดีตรอง ผอ.อีกคน ด้วย .. งานนี้ “กูรูกฎหมาย” กระซิบว่า “ไม่น่ารอด” เข้าข่ายการกระทำผิดตามระเบียบ ส.ส.ท. หรือไทยพีบีเอส แบบเต็มๆ หลังจากที่เคยอ้างระเบียบว่าซื้อได้ แต่ถ้าไปอ่านระเบียบก็ระบุชัดว่า ซื้อได้แต่หุ้นกู้รัฐวิสาหกิจ ไม่ใช่เอกชน .. มาทรงนี้ไม่เพียงแต่ “หมอกฤษดา” หรือ “วิลาสินี – อนุพงษ์” ที่ร่วมกันลงชื่อเท่านั้น อาจจะลามไปถึง “บอร์ดไทยพีบีเอส” ที่จะตกพุ่มซวยไปด้วย .. ดีไม่ดีงานนี้มีบางคนต้องติดคุกด้วยซ้ำ .. น่าจะเคลียร์ชนักติดหลังเหล่าตัวเต็งให้จบก่อนเลือก ผอ.คนใหม่ ดีกว่าต้องมานั่งสรรหากันใหม่ เหนื่อยต้องมาวิ่งเต้นกันอีก

** ส่ง “4 ขุนพลเอไอเอส” ร่วมทีมบริหารช่อง 3 ก้าวย่าง “ทักษิณ” สู่วิกหนองแขม รอตัดสินใจเทกโอเวอร์หรือเปล่าเท่านั้น
ลือสะพัดไปทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ กรณี “นช.แม้ว” ทักษิณ ชินวัตร เทกโอเวอร์ “ช่อง 3” ก็มาจากร่องรอยของ “คนเอไอเอส” ในเครือของอดีตนายกฯหนีคดี ที่เฮโลกันเข้ามายึดหัวหาดฝ่ายบริหารของ ช่อง 3 ถึง 4 รายอย่างพร้อมเพรียงกัน .. คำถามมีว่า ทั่วฟ้าเมืองไทย นักบริหารมืออาชีพ มีบานตะไท ทำไมถึงต้องเป็น “ 4 ขุนพลจากเอไอเอส” .. แม้ ประชุม มาลีนนท์ ซีอีโอช่อง 3 จะปฏิเสธเสียงแข็งว่า ไม่ได้ถูกเทกโอเวอร์อย่างที่ลือกันหนาหู แต่เป็นการปรับ “โมเดลธุรกิจ” เท่านั้น .. แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ทางธุรกิจ โดยเฉพาะ “บริษัทมหาชน” ก็แบบไม่ต้องตีความว่า ฝ่ายที่เข้ามาใหม่มีการเก็บหุ้นได้พอประมาณ จนส่งมือไม้เข้ามาทำงาน ส่ง “คนของตัวเอง” เข้ามาร่วมเป็นฝ่ายบริหารได้ .. หากจะแย้งว่า “เอไอเอส” หรือ “อินทัช” ไม่ใช่ธุรกิจของตระกูลชินวัตร เพราะมีการขายหุ้นไปให้ “เทมาเส็ก” กลุ่มทุนสิงคโปร์ ไปแล้ว แต่ใครๆก็ยังเชื่อว่า เงาทะมึนของ “นักโทษชายหนีคดี” ยังทรงอิทธิพลอยู่เหมือนเดิม .. ย่างก้าวของ “4 ขุนพลเอไอเอส” จึงเสมือนการรุกคืบเข้ามีส่วนร่วมในการดำเนินกิจการมากขึ้น แต่จะมากกว่านี้หรือไม่ก็อยู่ที่แผนการต่อไป ว่าจะรุกคืบจนถึงขั้น “เทกโอเวอร์” กันเลยหรือเปล่าเท่านั้นเอง.
ช.ชฎา
รูป อดิศักดิ์ ,วิลาสินี ,สุเทพ,ทักษิณ
กำลังโหลดความคิดเห็น