นาทีนี้ นับเป็นชัยชนะของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ศาลสูงสุดเปิดไฟเขียวให้คำสั่งของทรัมป์สามารถมีผลบังคับใช้ได้ชั่วคราว ในขณะที่กำลังรอการพิจารณาคำร้องของทรัมป์ที่ยื่นให้ศาลพิจารณา
ศาล Supreme Court จะพิจารณาคดีนี้ในเดือนตุลาคม คืออีก 3 เดือนเต็ม
โดยศาลสูงมีไฟเขียวนี้ออกมา หลังจากทรัมป์ได้เสนอชื่อผู้พิพากษา Neil Gorsuch ให้วุฒิสภารับรอง แล้วทำให้ตาชั่งของศาลสูงมีน้ำหนักเอียงมาทางทรัมป์และพรรครีพับลิกัน เพราะก่อนหน้าที่ผู้พิพากษานีล กอร์ซัช จะเข้าไปนั่งเป็นคนที่ 9 นั้น องค์คณะของศาลสูงมีน้ำหนักเท่าๆ กันพอดี ระหว่างฝ่ายอนุรักษ์ 4 ท่าน และฝ่ายเสรีอีก 4 ท่าน
เมื่อผู้พิพากษานีล กอร์ซัช เข้าไปอยู่ในองค์คณะ ทำให้มีผู้พิพากษาที่มาจากการเสนอชื่อโดยพรรครีพับลิกัน 5 ท่าน และที่เสนอชื่อโดยพรรคเดโมแครต 4 ท่าน
ดังนั้น น้ำหนักในการพิจารณาคำร้องของทรัมป์ จึงทำให้เสียงเป็น 5 ต่อ 4 ในการรับจะพิจารณาในเดือนตุลาคม
นับว่าเป็นไปตามแผนการที่ฝ่ายพรรครีพับลิกันได้วางเอาไว้ เมื่อทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง
ก่อนหน้านั้น เมื่อตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงว่างลง 1 ที่นั่ง (จากการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของผู้พิพากษาสายอนุรักษ์ ชื่อ สกาเลีย) เป็นช่วงปีสุดท้ายของประธานาธิบดีโอบามา และโอบามาได้รีบเสนอชื่อผู้พิพากษาที่ค่อนข้างไม่เสรีเกินไป เพื่อให้วุฒิสภาพิจารณา ปรากฏว่าประธานเสียงข้างมากของวุฒิสภาคือนาย Mitch McConnell จากพรรครีพับลิกันได้เล่นแง่ โดยไม่ยอมรับชื่อมาพิจารณาในวุฒิสภา อ้างว่ามีเวลาเหลือน้อยมากก่อนเลือกตั้งประธานาธิบดี ควรให้ตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงนี้ได้มีการเสนอโดยท่านประธานาธิบดีคนต่อไป ทั้งๆ ที่เหลือเวลาเกิน 1 ปี กว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่จะเข้ามาสาบานตน
สำหรับคำร้องของทรัมป์ คือห้ามประชาชนของ 6 ประเทศ ไม่ให้เข้าเมืองเลยเป็นเวลา 90 วัน ใน 6 ประเทศ มีอิหร่านอยู่ด้วย ซึ่งประธานาธิบดีโอบามาเพิ่งไปเปิดสัมพันธ์คืนดีกับอิหร่านเมื่อปีที่แล้ว และนับเป็นผลงานชิ้นโบแดงของโอบามาที่เลิกคว่ำบาตรกับอิหร่าน และทำให้อิหร่านสามารถส่งน้ำมันออกขายได้ แล้วนำเงินมาซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ และจากประเทศในยุโรปเป็นจำนวนมหาศาล
ศาลสูงบอกให้คำสั่งของทรัมป์มีผลบังคับใช้ทันที คือห้ามคนจาก 6 ประเทศเข้าเมืองสหรัฐฯ ผลนี้บังคับใช้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันพิจารณาคดีในเดือนตุลาคม
โดยศาลผ่อนปรนว่าบุคคลจาก 6 ประเทศนี้ จะได้รับพิจารณาเป็นข้อยกเว้นให้สามารถเข้าเมืองได้ โดยต้องพิสูจน์ถึงความสุจริตตามความเป็นจริง (Bona Fide) ว่า
1. มีญาติ (ตัวเป็นๆ) อยู่ในสหรัฐฯ (ที่ต้องปรากฏตัวตนชัดเจน-อาจเป็นหลักประกันระดับหนึ่งเพื่อให้การดูแลขณะพำนักอยู่ในสหรัฐฯ) ซึ่งผู้เข้าเมืองอาจมาเยี่ยมญาติจริงๆ ของตน หรือจะมาพำนักอย่างถาวรในสหรัฐฯ
2. มีองค์กร/ห้าง/ร้าน บริษัทที่มีการจ้างงานแก่บุคคลที่จะเข้าเมืองจาก 6 ประเทศ
3. มีวิทยาลัย/โรงเรียนที่รับนักศึกษาจากประเทศทั้ง 6
อีกส่วนหนึ่งของคำสั่งศาลคือ จะปิดประเทศห้ามเข้าเด็ดขาดเป็นเวลา 120 วัน สำหรับผู้ขออพยพเข้าเมืองกรณีลี้ภัยสงครามก็ตาม โดยจะใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับกรณีผู้ยื่นขอมาเยี่ยม หรือมาทำงานที่สหรัฐฯ นั่นคือ ผู้อพยพเข้าเมือง จะต้องมีหลักฐานตามความเป็นจริง ว่ามีญาติรออยู่ในสหรัฐฯ
กลุ่ม ACLU เป็นนักกฎหมายในสหภาพเพื่อสิทธิเสรีภาพออกมาโวยวายว่า ทั้งหมดนี้ไม่เปิดทางให้คนไข้เจ็บป่วยบางโรคที่ต้องการมารักษาพยาบาลที่สหรัฐฯ (ที่ก้าวหน้ามากทางการแพทย์) จะไม่ได้รับอานิสงส์จากข้ออนุโลมของคำสั่งชั่วคราวของศาลในครั้งนี้
และยังเป็นการปิดโอกาสสำหรับประชาชนจาก 6 ประเทศที่เป็นคนดีๆ ไม่มีประวัติด้านก่อการร้าย แต่ไม่มีญาติหรือบริษัทรอรับอยู่ ก็จะไม่สามารถเข้าสหรัฐฯ ได้ ซึ่งนับว่าเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญอเมริกันอยู่ดี เพราะการกีดกั้นไม่รับคนเข้าเมือง ไม่ควรยกเอาปัจจัยเรื่องสภาพของประเทศของผู้ขออนุมัติเข้าเมืองมาเป็นอุปสรรค อย่างไรก็ดี พอถึงเดือนตุลาคม ถ้าหลังการพิจารณาคดีแล้ว ทรัมป์ชนะ ก็หมายถึงการเริ่มนับ 1 ใหม่ สำหรับคำสั่งประธานาธิบดีที่จะห้ามคนจาก 6 ประเทศเข้าเมืองใน 90 วัน เพื่อมาทำงานหรือเรียนหนังสือ หรือมาเยี่ยมญาติ หรือมาพักกับญาติเป็นเวลานาน
ตลอดจนปิดรับผู้อพยพ จาก 6 ประเทศ ขอเข้าเมืองเป็นเวลา 120 วันด้วย
แต่ระหว่างนี้ ก็ถือว่าทรัมป์ได้รับชัยชนะ เพราะเขาสามารถบรรลุถึงคำสัญญาที่เขาได้หาเสียงไว้ โดยเฉพาะกับฐานเสียงที่ลงคะแนนให้กับเขา ก็เพราะคนอเมริกันเหล่านี้ไม่พอใจกับการถูกแย่งงานจากผู้ที่เข้าเมืองมาทำงาน หรือมาตั้งรกรากในสหรัฐฯ
และช่วงที่ทรัมป์ต้องถูกศาล (สมาพันธรัฐ) ชั้นต้นและอุทธรณ์ตัดสินให้คำสั่งพิเศษของเขาเป็นโมฆะนั้น เขาเคยพูดอย่างกร่างเอาไว้ว่า “ไว้คอยพบกันที่ศาลก็แล้วกัน” ซึ่งเขาหมายมั่นเอาไว้แล้วว่า ศาลสูงจะตีความให้เขาชนะในที่สุด หลังจากเขาเสนอคนของเขาไปนั่งในศาลสูงนั่นเอง.