อันที่จริง...แค่การ “บล็อก” กาตาร์ ประเทศมุสลิมด้วยกัน GCC ด้วยกัน ที่ไปสร้างความขัดอกขัดใจให้กับแขกซาอุฯ เพียงเพราะไม่ยอมหันมาตั้งตัวเป็นศัตรูกับประเทศคู่แข่งอย่างอิหร่าน ยังถือว่า...ไม่เท่าไหร่!!! แม้จะออกแรงบล็อกทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ก็ตามที เพราะอย่างน้อย...กาตาร์ก็ยังจัดอยู่ในประเภทประเทศที่รวยไม่เสร็จ ยังพอมีทางออก ทางดิ้นอยู่อีกเยอะ แต่สำหรับประเทศจนๆ ระดับ “จนที่สุดในโลกอาหรับ” อย่างเยเมนนั้น ไม่เพียงแต่ถูกบล็อกไปพร้อมๆ กับการรุมยำมือ ยำตีน ชนิดแทบทั้งประเทศแหลกเละไม่เป็นชิ้นดี ประเทศเล็กๆ ประเทศนี้ยังถูกนำเอาไปใช้เป็นเครื่องมือ เป็นข้ออ้างในการเพิ่มความชอบธรรมให้กับการบล็อกกาตาร์อีกซะด้วยต่างหาก...
แต่ขณะที่ “รัฐบาล” ซึ่งแทบไม่มีฐานะเป็นรัฐบาลของประธานาธิบดี “รับบูห์ มานซูร์ ฮาดี” แห่งเยเมน จะออกมาร่วมประกาศตัดขาดความสัมพันธ์ทางการทูตกับกาตาร์ร่วมกับประเทศมุสลิมอื่นๆ นั้น ภายในประเทศเยเมนเอง...ประธานาธิบดีผู้ที่หลบลี้หนีหน้าประชาชนภายในประเทศตัวเอง ไปนั่งกิน นอนกิน อยู่ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุฯ กลับไม่เคยแสดงความสนใจไยดีต่อชะตากรรมของผู้คนประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ หรือกว่า 20 ล้านคนภายในประเทศตัวเองเอาเลยแม้แต่นิด ทั้งที่โลกทั้งโลกต่างพยายามเพรียกหาความเมตตา ความมีมนุษยธรรม ให้กับผู้คนเหล่านี้อย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเต็มที โดยไม่เพียงแต่ต้องเพรียกหาความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม อย่างอาหาร ยารักษาโรค ปัจจัยอำนวยความสะดวกในชีวิตขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังต้องเพรียกหาการผ่อนคลายมาตรการทางการเมืองและการทหาร จากกองทัพพันธมิตรที่นำโดยซาอุฯ อันมีอเมริกา-อังกฤษหนุนหลัง ให้เลิกปิดล้อมเมืองท่าสำคัญ อย่างเมืองท่า “อัล-ฮูเดย์ดาห์” (Al Hudaydah) ที่แทบถือเป็นช่องทางเดียว ซึ่งสามารถนำความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมเข้าไปถึงปวงชนชาวเยเมนได้อย่างจริงๆจังๆ...
แต่ไม่ว่าจะเรียกร้อง กดดัน ผ่านทางอเมริกาหรืออังกฤษ...ทั้งสองประเทศนี้ก็ “เหี้ย...มม์ม์ม์” ระดับ “ม.ม้า” ตามไม่ทันอีกเช่นกัน อเมริกานั้นอ้างว่า...พยายามที่จะพูดคุยกับทางการซาอุฯ ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ในเมื่อรัฐบาลซาอุฯ ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับกลับมา อเมริกาก็ได้แต่ต้องหันไป “ขายอาวุธ” ล็อตใหญ่โตมโหฬารให้กับซาอุฯ ไปตามแบบฉบับ “America First” เอาไว้ก่อน ส่วนอังกฤษนั้น...แม้จะมีที่ปรึกษาทางทหารอยู่ร่วมกับกองทัพพันธมิตรที่นำโดยซาอุฯ แต่ก็ได้อ้างว่า...เจ้าหน้าที่เหล่านี้ไม่สามารถพูดจาโดยตรงกับรัฐบาล อังกฤษเลยต้องหันไปขาย “ระเบิดพวง” ให้ซาอุฯ เอาไปทิ้งใส่หัวกบาลชาวเยเมนกันแทนที่ ด้วยการอาศัยช่องว่างของ “Brexit” หลบรอดข้อห้ามของนานาชาติที่ไม่ให้ใช้ ขาย จำหน่ายอาวุธชนิดนี้ ตักตวงผลประโยชน์ใส่กระเป๋าผู้ดีไม่ต่างไปจากอเมริกานั่นเอง...
ความพยายามที่จะ “ปลุกสำนึกความเป็นมนุษย์” ของรัฐบาลซาอุฯ จึงประสบความล้มเหลวมาโดยตลอด แม้แต่คำสัญญาว่าจะควักเงินช่วยเหลือบริจาคทางมนุษยธรรมให้กับประเทศเยเมน ประมาณ 274 ล้านดอลลาร์เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่จนบัดนี้...กว่า 3 เดือนเข้าไปแล้ว ซาอุฯ ยังยอมควักเงินให้ตามคำสัญญาแม้แต่แดงเดียว แถมยังกระชับวงปิดล้อมเมืองท่า “อัล-ฮูเดย์ดาห์” เมืองใหญ่เป็นอันดับ 4 ของเยเมน ชนิดแม้แต่มดยังแทบหลุดรอดเข้าไปไม่ได้ เรือบรรทุกน้ำมันดีเซลประมาณ 70,000 ตันที่ขอเข้าเทียบท่าเมือง “อัล-ฮูเดย์ดาห์” เมื่อไม่กี่วันมานี้ เพื่อนำเอาพลังงานเหล่านี้ไปช่วยเหลือเยียวยาสถานพยาบาล สิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน ให้พอเดินหน้าต่อไปได้ กลับถูกปฏิเสธเอาดื้อๆ เขตปกครอง 18 เขตจากจำนวน 22 เขตปกครองในเยเมน จึงตกอยู่ในสภาพเป็นอัมพาต ไม่เหลือพลังงาน ไม่มีไฟฟ้าใช้ จนตราบเท่าทุกวันนี้ สถานสาธารณสุขอีกกว่า 158 แห่งที่สามารถรองรับการดูแลสุขภาพเด็กๆ ไม่ต่ำกว่า 500,000 คนเป็นอย่างน้อย เลยต้องปิดตัวเองตามไปอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้...
“นรกบนดิน” ที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า...จึงอุบัติขึ้นในประเทศเยเมน เย้ยจิตสำนึกความเป็นมนุษย์ เย้ยความเมตตากรุณาใดๆ ที่แม้แต่ “สัตว์เดียรัจฉาน” ยังพึงมี ชะตากรรมของเพื่อนมนุษย์ร่วมวัฏสังสารประมาณ 20 ล้านคนที่กำลังรอคอยความตาย เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบที่ต้องตายไปในทุกๆ 30 นาที จำนวนนับล้านๆ แล้วยังแถมด้วยโรคระบาดที่แม้จะแก้ได้ รักษาได้แต่กลับไม่สามารถช่วยเหลือเยียวยาใดๆ ได้เลยแม้แต่น้อย ซึ่งกำลังแพร่ไปในหมู่ผู้คนไม่น้อยไปกว่า 300,000 ราย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้...ไม่เพียงแต่ “มุสลิม” หรือ “อิสลาม” อันหมายถึงผู้ซึ่งยอมศิโรราบ ยอมรับ “พระผู้เป็นเจ้า” ผู้ซึ่งทรงสร้างมวลมนุษย์ทุกผู้ทุกนามเท่านั้น กระทั่ง “ผู้ไม่มีศาสนา” หรือ “ไม่มีพระเจ้า” ยัง “รับไม่ได้” ไปด้วยกันทั้งสิ้น มีแต่ผู้ซึ่งพร้อมที่จะตั้งตัวเป็นศัตรูกับพระผู้เป็นเจ้าและมวลมนุษย์ทั้งหลาย หรือ “ซาตาน” เท่านั้น...ที่สามารถกระทำในสิ่งที่ว่านี้ได้!!!