พระครูพรหมเขตคณารักษ์ เจ้าอาวาสวัดวังตะวันตก เปิดเผยว่า ได้รับการยืนยันจากธนาคารว่าบัญชีธนาคารของวัดวังตะวันตก มีทั้งหมด 32 บัญชี มีเงินเหลืออยู่ 1.8 ล้านบาท โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบเส้นทางเงินของทั้ง 32 บัญชี ส่วนทรัพย์สินอื่นๆ วัดได้ตั้งคณะกรรมการจากหลายหน่วยงานมาร่วมตรวจสอบ และหลังจากได้ข้อมูลชัดเจนแล้วว่า วัดมีทรัพย์สินอะไรบ้าง ก็จะมีการทำบัญชีทรัพย์สินทุกอย่างต่อไป ส่วนการตรวจสอบทรัพย์สินในกุฎิอดีตเจ้าอาวาส พบว่าทรัพย์สิน รวมทั้ง พระพุทธสิหิงค์ หน้าตัก 9 นิ้ว และวัตถุมงคลอื่นๆ ยังอยู่ครบ
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณีสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เสนอให้มีการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของวัด ว่า นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ได้หารือวันเมื่อก่อน จะให้ พศ.หารือกับทางมหาเถรสมาคม (มส.) ว่าควรดำเนินการ และมีวิธีปฏิบัติอย่างไร เพราะว่ามีเรื่องราวมาก่อนหน้านี้ และมีคดีสามเณรปลื้ม ที่ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งทำให้คนมีความรู้สึกมากขึ้น
ทั้งนี้ การตรวจสอบความโปร่งใส วันนี้ไวยาวัจกรวัด มีหน้าที่ดูแลด้านการเงิน และเรื่องความรับผิดชอบทางกฎหมาย ก็อยู่ที่ไวยาวัจกรวัด แต่ในทางปฏิบัติ ไวยาวัจกรวัดไม่รู้ เพราะบางทีมีผู้มีอิทธิพลอยู่ในวัด ซึ่งไม่ได้เป็นไวยาวัจกร ไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส เผลอๆ ไม่ได้เป็นพระด้วย
ขณะเดียวกัน เจ้าอาวาสวัดก็ถือว่าเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำบัญชีทรัพย์สินของวัดอยู่แล้ว ซึ่งมาตรการนี้ เรามีอยู่แล้ว เพียงแต่เป็นมาตรการที่บอกขั้นตอนการปฏิบัติว่าต้องทำอย่างไร แต่ไม่ได้มีการกำหนดโทษ ซึ่งตรงนี้ต้องเข้าไปดูทั้งระบบ แต่หาก มส.จะตั้งใครขึ้นมาดูแลโดยเร่งด่วน ก็แล้วแต่ อย่างไรก็ตาม หากใช้วิธีการดังกล่าวไม่ได้ผล จำเป็นต้องแก้กฎหมายค่อยว่ากันอีกครั้งหนึ่ง แต่ตนเชื่อว่าภายใต้การดำเนินการตามกฎระเบียบปัจจุบัน สามารถทำได้ แต่หากไม่ได้รับความร่วมมือ หรือติดขัดบางวัดไม่ให้ความร่วมมือ และจะจัดระบบใหม่ จนไปถึงเรื่องของกฎหมาย คงต้องพูดกันอีกที แต่ต้องฟัง มส.ด้วย และถ้าต้องแก้กฎหมายรัฐบาลต้องเป็นคนทำ โดยหารือกับคณะสงฆ์
ด้าน พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.พศ. กล่าวก่อนเข้าพบ นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ว่า มารายงานความคืบหน้า การตรวจสอบทุจริตเงินงบประมาณอุดหนุน โดยมีมาตรการที่เสนอ คือ การออกกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องของบัญชีทรัพย์สินของวัด การตรวจสอบควบคุมรายงาน การตรวจผล และการเปิดเผยบัญชี หากมี 3 มาตรการนี้ ก็จะทำให้ปัญหาการทุจริตเงินวัด จนนำมาสู่การฆ่าเณร และการนำเงินอุดหนุน ที่ พศ.ส่งไปแล้วนำมาทอนกัน ก็ทำได้ยาก เพราะคนๆเดียว หรือพระรูปเดียว ไม่สามารถจะถอนเงินนี้ไปให้ใครได้ง่ายๆ ซึ่งมาตรการเหล่านี้ ต้องรีบทำ เพื่อให้เกิดหลักประกันในระดับหนึ่ง เพื่อให้การทุจริตทำได้ยากขึ้น
ผอ.พศ. กล่าวว่า ปัญหาการเบิกจ่ายเงิน ที่ให้เจ้าอาวาสเป็นคนตัดสินใจในการเบิกจ่าย ในฐานะผู้แทนนิติบุคคล ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ให้มีอำนาจอยู่ที่คนๆ เดียวนั้น ตนเห็นว่าจะทำให้ไม่มีเสรีภาพ หากอำนาจไปรวมอยู่ที่องค์กรใดองค์กรหนึ่ง ดังนั้น จึงต้องมีการแบ่งแยกอํานาจ ซึ่งมาตรการในเรื่องนี้ จะต้องไปกำหนดอีกครั้งหนึ่งว่า จะให้ใครเข้ามาร่วมในการเบิกจ่ายเงิน โดยอาจจะแก้ไขเพิ่มเติมเนื้อหาใน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ และจะเสนอเข้าที่ประชุม สนช. พิจารณาแก้ไขต่อไป
"กฎระเบียบที่มีอยู่เดิม เป็นการออกให้ในลักษณะกว้าง โดยให้เจ้าอาวาสเป็นคนจัดการศาสนสมบัติของวัด ในการเปิดบัญชีต่างๆ ในนามนิติบุคคลแล้วใส่ไปในชื่อวัด ซึ่งเรื่องนี้จะไม่เกิดปัญหา ถ้าเกิดกับพระซึ่งละแล้ว ย่อมประพฤติดี ประพฤติชอบ แต่เมื่อศาสนามีปัญหาเกิดหลายอย่าง ทั้งความบกพร่อง การทุจริต และมีฆราวาสเข้าไปเกี่ยวข้อง ถ้ายังปล่อยให้ปัญหาจัดไปได้เรื่อยๆ ความศรัทธาจะเสื่อม จึงต้องมีกฎระเบียบเข้ามาดูแล " พ.ต.ท.พงศ์พร กล่าว
เมื่อถามว่าจำเป็นต้องใช้ มาตรา 44 ในระหว่างที่มีการแก้ไขเนื้อหา พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เกี่ยวกับเรื่องการเบิกจ่าย หรือไม่ ผอ.พศ. กล่าวว่า เป็นเพียงความเห็น ซึ่งมาตรา 44 ก็เป็นวิธีการหนึ่งในการแก้ปัญหา แต่ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจจะพิจารณา ตนไปชี้นำไม่ได้
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณีสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เสนอให้มีการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของวัด ว่า นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ได้หารือวันเมื่อก่อน จะให้ พศ.หารือกับทางมหาเถรสมาคม (มส.) ว่าควรดำเนินการ และมีวิธีปฏิบัติอย่างไร เพราะว่ามีเรื่องราวมาก่อนหน้านี้ และมีคดีสามเณรปลื้ม ที่ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งทำให้คนมีความรู้สึกมากขึ้น
ทั้งนี้ การตรวจสอบความโปร่งใส วันนี้ไวยาวัจกรวัด มีหน้าที่ดูแลด้านการเงิน และเรื่องความรับผิดชอบทางกฎหมาย ก็อยู่ที่ไวยาวัจกรวัด แต่ในทางปฏิบัติ ไวยาวัจกรวัดไม่รู้ เพราะบางทีมีผู้มีอิทธิพลอยู่ในวัด ซึ่งไม่ได้เป็นไวยาวัจกร ไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส เผลอๆ ไม่ได้เป็นพระด้วย
ขณะเดียวกัน เจ้าอาวาสวัดก็ถือว่าเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำบัญชีทรัพย์สินของวัดอยู่แล้ว ซึ่งมาตรการนี้ เรามีอยู่แล้ว เพียงแต่เป็นมาตรการที่บอกขั้นตอนการปฏิบัติว่าต้องทำอย่างไร แต่ไม่ได้มีการกำหนดโทษ ซึ่งตรงนี้ต้องเข้าไปดูทั้งระบบ แต่หาก มส.จะตั้งใครขึ้นมาดูแลโดยเร่งด่วน ก็แล้วแต่ อย่างไรก็ตาม หากใช้วิธีการดังกล่าวไม่ได้ผล จำเป็นต้องแก้กฎหมายค่อยว่ากันอีกครั้งหนึ่ง แต่ตนเชื่อว่าภายใต้การดำเนินการตามกฎระเบียบปัจจุบัน สามารถทำได้ แต่หากไม่ได้รับความร่วมมือ หรือติดขัดบางวัดไม่ให้ความร่วมมือ และจะจัดระบบใหม่ จนไปถึงเรื่องของกฎหมาย คงต้องพูดกันอีกที แต่ต้องฟัง มส.ด้วย และถ้าต้องแก้กฎหมายรัฐบาลต้องเป็นคนทำ โดยหารือกับคณะสงฆ์
ด้าน พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.พศ. กล่าวก่อนเข้าพบ นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ว่า มารายงานความคืบหน้า การตรวจสอบทุจริตเงินงบประมาณอุดหนุน โดยมีมาตรการที่เสนอ คือ การออกกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องของบัญชีทรัพย์สินของวัด การตรวจสอบควบคุมรายงาน การตรวจผล และการเปิดเผยบัญชี หากมี 3 มาตรการนี้ ก็จะทำให้ปัญหาการทุจริตเงินวัด จนนำมาสู่การฆ่าเณร และการนำเงินอุดหนุน ที่ พศ.ส่งไปแล้วนำมาทอนกัน ก็ทำได้ยาก เพราะคนๆเดียว หรือพระรูปเดียว ไม่สามารถจะถอนเงินนี้ไปให้ใครได้ง่ายๆ ซึ่งมาตรการเหล่านี้ ต้องรีบทำ เพื่อให้เกิดหลักประกันในระดับหนึ่ง เพื่อให้การทุจริตทำได้ยากขึ้น
ผอ.พศ. กล่าวว่า ปัญหาการเบิกจ่ายเงิน ที่ให้เจ้าอาวาสเป็นคนตัดสินใจในการเบิกจ่าย ในฐานะผู้แทนนิติบุคคล ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ให้มีอำนาจอยู่ที่คนๆ เดียวนั้น ตนเห็นว่าจะทำให้ไม่มีเสรีภาพ หากอำนาจไปรวมอยู่ที่องค์กรใดองค์กรหนึ่ง ดังนั้น จึงต้องมีการแบ่งแยกอํานาจ ซึ่งมาตรการในเรื่องนี้ จะต้องไปกำหนดอีกครั้งหนึ่งว่า จะให้ใครเข้ามาร่วมในการเบิกจ่ายเงิน โดยอาจจะแก้ไขเพิ่มเติมเนื้อหาใน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ และจะเสนอเข้าที่ประชุม สนช. พิจารณาแก้ไขต่อไป
"กฎระเบียบที่มีอยู่เดิม เป็นการออกให้ในลักษณะกว้าง โดยให้เจ้าอาวาสเป็นคนจัดการศาสนสมบัติของวัด ในการเปิดบัญชีต่างๆ ในนามนิติบุคคลแล้วใส่ไปในชื่อวัด ซึ่งเรื่องนี้จะไม่เกิดปัญหา ถ้าเกิดกับพระซึ่งละแล้ว ย่อมประพฤติดี ประพฤติชอบ แต่เมื่อศาสนามีปัญหาเกิดหลายอย่าง ทั้งความบกพร่อง การทุจริต และมีฆราวาสเข้าไปเกี่ยวข้อง ถ้ายังปล่อยให้ปัญหาจัดไปได้เรื่อยๆ ความศรัทธาจะเสื่อม จึงต้องมีกฎระเบียบเข้ามาดูแล " พ.ต.ท.พงศ์พร กล่าว
เมื่อถามว่าจำเป็นต้องใช้ มาตรา 44 ในระหว่างที่มีการแก้ไขเนื้อหา พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เกี่ยวกับเรื่องการเบิกจ่าย หรือไม่ ผอ.พศ. กล่าวว่า เป็นเพียงความเห็น ซึ่งมาตรา 44 ก็เป็นวิธีการหนึ่งในการแก้ปัญหา แต่ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจจะพิจารณา ตนไปชี้นำไม่ได้