ผอ.พศ.เสนอมาตรการแก้ปัญหาทุจริตเงินอุดหนุนวัด เผยอาจแก้กฎหมายกระจายอำนาจเบิกจ่ายเงินวัด จากเดิมให้อำนาจเจ้าอาวาสตัดสินใจ
วันนี้ (12 มิ.ย.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวก่อนเข้าพบนายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า เป็นการมารายงานความคืบหน้าการตรวจสอบทุจริตเงินงบประมาณอุดหนุน โดยมีมาตรการที่เสนอ คือ การออกกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องของบัญชีทรัพย์สินของวัด การตรวจสอบควบคุมรายงาน การตรวจผลและการเปิดเผยบัญชี หากมี 3 มาตรการนี้ก็จะทำให้ปัญหาการทุจริตเงินวัดจนนำมาสู่การฆ่าเณร และการนำเงินอุดหนุนที่ พศ.ส่งไปแล้วนำมาทอนกันก็ทำได้ยาก เพราะคนคนเดียวหรือพระรูปเดียวไม่สามารถจะถอนเงินนี้ไปให้ใครได้ง่ายๆ มาตรการเหล่านี้ต้องรีบทำเพื่อให้เกิดหลักประกันในระดับหนึ่งให้การทุจริตทำได้ยากขึ้น
ผอ.พศ.กล่าวว่า ปัญหาการเบิกจ่ายเงินที่ให้เจ้าอาวาสเป็นคนตัดสินใจในการเบิกจ่ายในฐานะผู้แทนนิติบุคคลตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ให้มีอำนาจอยู่ที่คนคนเดียวนั้น ตนเห็นว่าจะทำให้ไม่มีเสรีภาพ หากอำนาจไปรวมอยู่ที่องค์กรใดองค์กรหนึ่ง ดังนั้นจึงต้องมีการแบ่งแยกอํานาจซึ่งมาตรการในเรื่องนี้จะต้องไปกำหนดอีกครั้งหนึ่งว่าจะให้ใครเข้ามาร่วมในการเบิกจ่ายเงิน โดยอาจจะแก้ไขเพิ่มเติมเนื้อหาใน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ และจะเสนอเข้าที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาแก้ไขต่อไป
“กฎระเบียบที่มีอยู่เดิมเป็นการออกให้ในลักษณะกว้าง โดยให้เจ้าอาวาสเป็นคนจัดการศาสนสมบัติของวัด ในการเปิดบัญชีต่างๆ ในนามนิติบุคคลแล้วใส่ไปในชื่อวัด เรื่องนี้จะไม่เกิดปัญหาถ้าเกิดกับพระซึ่งละแล้ว ย่อมประพฤติดีประพฤติชอบ แต่เมื่อศาสนามีปัญหาเกิดหลายอย่าง ทั้งความบกพร่อง การทุจริต และมีฆราวาสเข้าไปเกี่ยวข้อง ถ้ายังปล่อยให้ปัญหาจัดไปได้เรื่อยๆ ความศรัทธาจะเสื่อม จึงต้องมีกฎระเบียบเข้ามาดูแล "พ.ต.ท.พงศ์พร กล่าว
ผอ.พศ.กล่าวด้วยว่า สำหรับการตรวจสอบข้าราชการที่ไปเกี่ยวข้องกับการทุจริตเงินอุดหนุน ทางสำนักพุทธฯ ต้องสืบสวนข้อเท็จจริงก่อน ซึ่งข้อเท็จจริงที่ดีที่สุดน่าจะมาจากหลักฐานและข้อเท็จจริงของตำรวจ อย่างไรก็ตาม ในการหารือวันนี้จะพูดคุยถึงการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่าจำเป็นต้องออกมาตรา 44 ในระหว่างที่มีการแก้ไขเนื้อหา พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เกี่ยวกับเรื่องการเบิกจ่ายหรือไม่ ผอ.พศ.กล่าวว่า เป็นเพียงความเห็น ซึ่งมาตรา 44 ก็เป็นวิธีการหนึ่งในการแก้ปัญหา แต่ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจจะพิจารณา ตนไปชี้นำไม่ได้