เมื่อพิจารณาจากคำสั่งการดังกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เรื่องให้เข้มงวดถึงประสิทธิภาพของกล้องวงจรปิด ถือว่าเป็นการตื่นตัว ขันน็อตกันครั้งใหญ่ เพราะนี่คือการหาเบาะแสและหลักฐานสำคัญ ซึ่งมีแต่การคาดโทษแบบนี้เท่านั้นถึงจะได้ผล เป็นเรื่องใหญ่ที่มองข้ามไม่ได้เป็นอันขาด
**กลายเป็นเรื่องให้หงุดหงิดน่ารำคาญใจของชาวบ้านมานานพอสมควรแล้ว กับเรื่องกล้องวงจรปิดหรือที่เรียกว่าซีซีทีวีตามสถานที่ราชการ ในบริเวณพื้นที่ชุมชน พื้นที่ล่อแหลมต่างๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่พอเกิดเหตุครั้งใดส่วนใหญ่มักจะมีคำถามในเรื่องกล้องวงจรปิดตามมาทุกครั้ง เช่น ภาพไม่ชัด เสีย หรืออยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์
แน่นอนว่าที่ผ่านมาเสียงตำหนิมักจะพุ่งเป้าไปที่กรุงเทพมหานครเป็นหลัก โดยข้อครหาหลักก็คือ สงสัยว่าจะมีการทุจริตในการจัดซื้อและติดตั้งที่แพงเกินจริง แต่ไม่คุ้มค่า เพราะที่ผ่านมาหลังจากมีเสียงวิจารณ์ในเรื่องของ"กล้องดัมมี่" หรือกล้องหลอก ที่เกิดขึ้นในยุคของอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คนก่อนจนต้องมีการปรับปรุงใหม่ใช้งบประมาณจัดซื้อติดตั้งเพิ่มเติมหลายพันล้านบาท แต่จนถึงวันนี้แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการอ้างว่ามีการปรับปรุงแก้ไขอยู่เสมอก็ยังถูกวิจารณ์เหมือนเดิมว่า"ไม่ชัด"ไม่มีประสิทธิภาพ ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือ เหตุการณ์ลอบวางระเบิดตั้งแต่ที่บริเวณหน้ากองสลากหลังเก่า เมื่อวันที่ 5 เมษายน ต่อเนื่องมาถึงเหตุการณ์ลอบวางระเบิดที่หน้าโรงละครแห่งชาติ วันที่ 15 พฤษภาคม จนมาถึงระเบิดที่หน้าห้อง "วงษ์สุวรรณ" ในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ที่ถือว่าคนร้ายมีความจงใจที่ จะ"หยาม" รัฐบาลและคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ (คสช.) โดยตรง เพราะเป็นวันครบรอบ 3 ปี พอดี
แต่จนถึงบัดนี้ เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่พบเบาะแสที่ชัดเจนจนนำไปสู่การขออนุมัติหมายจับคนร้ายได้เลย และสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งในการคลี่คลายคดีที่คาดหวังจากกล้องวงจรปิดในบริเวณนั้น ก็ทำท่าว่าพึ่งพาไม่ได้ เพราะยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน ว่าเป็นเพราะอะไร แต่จากรายงานระบุว่า มีเสีย ภาพไม่ชัด เนื่องจากเป็นกล้องรุ่นเก่า สรุปเอาเป็นว่า ไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิดที่นำไปสู่การหาเบาะแสอย่างเป็นน้ำเป็นเนื้อก็แล้วกัน
จะเป็นด้วยเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ถึงกับเหลืออด ออกคำสั่งกลางวงที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่อังคารที่ 6 มิถุนายน คาดโทษบรรดาผู้นำ หรือหัวหน้าส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจใดก็ตาม ให้สำรวจกล้องวงจรปิดในบริเวณพื้นที่ที่ดูแลให้มีการตรวจสอบ ให้กล้องสามารถใช้การได้ดีอยู่เสมอ หากเกิดเหตุขึ้นเมื่อใดแล้วปรากฏว่า กล้องใช้การไม่ได้ เสีย หรือว่าไม่ประสิทธิภาพ แบบนี้ถือว่าผู้บังคับบัญชาหรือผู้นำหน่วยนั้นต้องรับผิดชอบ และ ต่อมา พล.อ.ประวิตร จันทร์โอชา รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ได้สำทับลงมาอีกชั้นหนึ่ง
ก็ต้องถือว่าไม่ธรรมดา เพราะถึงขนาดที่ระดับ นายกฯ ลงมาสั่งการกำชับกันอย่างเข้มงวดแบบนี้มันก็สะท้อนให้เห็นถึงความหละหลวมอย่างชัดเจนจนต้องมีการ "ขันน็อต" จากระดับบิ๊ก ระดับสูงสุดลงมา เพราะจะว่าไปแล้ว เรื่องกล้องวงจรปิดถือว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับการหาเบาะแสคนร้าย เป็นหลักฐานสำคัญในการติดตามจับกุมตัว และที่สำคัญในปีนี้ทั้งปี เป็นช่วงพระราชพิธีสำคัญก็ย่อมมีการกังวลว่าจะต้องไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้นเป็นอันขาด
จะว่าไปแล้วเรื่องกล้องวงจรปิดกลับมาเป็นเรื่องที่ชวนให้วิจารณ์เปรียบเทียบกันอีก จากคดีดังสดๆ ร้อนๆ จากคดี "ฆ่าหั่นศพ" ที่ผู้ต้องหาเป็นหญิงสาวระหว่างที่หลบหนีอยู่ในประเทศเมียนมาร์ โดยมีการเผยแพร่ภาพจากกล้องวงจรปิด จากบริเวณชายแดนประเทศดังกล่าวที่มีภาพคม ชัด จนนำไปเปรียบเทียบเสียดสีล้อเลียนว่า ชัดพอๆกับภาพถ่ายในบัตรประชาชน ซึ่งในความเป็นจริงก็ต้องบอกว่า มันชัดเจนจริงๆ เป็นภาพสีสดใสจนแทบไม่ต้องไปปรับแต่งภาพ หรือซูมภาพอะไรเพิ่มเติมกันเลยก็ว่าได้ จากนั้นก็มีการแชร์ภาพแสดงความคิดเห็น กันตามมามากมายโดยเปรียบเทียบกับภาพจากกล้องวงจรปิดในประเทศไทยที่ต่างกันแบบฟ้ากับเหว
ด้วยเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่แม้เวลานี้ยังอยู่ในช่วงของการเล่นบท "เตมีย์ใบ้" หยุดให้สัมภาษณ์กับสื่อราว 2 สัปดาห์ ทนไม่ไหวต้องเขียนใส่กระดาษ ส่งให้ทีมโฆษกรัฐบาล นำโดย พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด เกี่ยวกับคำสั่งที่เข้มงวดดังกล่าวข้างต้นออกมา
**ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากคำสั่งการดังกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เรื่องให้เข้มงวดถึงประสิทธิภาพของกล้องวงจรปิด ถือว่าเป็นการตื่นต้วขันน็อตกันครั้งใหญ่ เพราะนี่คือการหาเบาะแสและหลักฐานสำคัญ ซึ่งมีแต่การคาดโทษแบบนี้เท่านั้นถึงจะได้ผล เป็นเรื่องใหญ่ที่มองข้ามไม่ได้เป็นอันขาด !!
**กลายเป็นเรื่องให้หงุดหงิดน่ารำคาญใจของชาวบ้านมานานพอสมควรแล้ว กับเรื่องกล้องวงจรปิดหรือที่เรียกว่าซีซีทีวีตามสถานที่ราชการ ในบริเวณพื้นที่ชุมชน พื้นที่ล่อแหลมต่างๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่พอเกิดเหตุครั้งใดส่วนใหญ่มักจะมีคำถามในเรื่องกล้องวงจรปิดตามมาทุกครั้ง เช่น ภาพไม่ชัด เสีย หรืออยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์
แน่นอนว่าที่ผ่านมาเสียงตำหนิมักจะพุ่งเป้าไปที่กรุงเทพมหานครเป็นหลัก โดยข้อครหาหลักก็คือ สงสัยว่าจะมีการทุจริตในการจัดซื้อและติดตั้งที่แพงเกินจริง แต่ไม่คุ้มค่า เพราะที่ผ่านมาหลังจากมีเสียงวิจารณ์ในเรื่องของ"กล้องดัมมี่" หรือกล้องหลอก ที่เกิดขึ้นในยุคของอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คนก่อนจนต้องมีการปรับปรุงใหม่ใช้งบประมาณจัดซื้อติดตั้งเพิ่มเติมหลายพันล้านบาท แต่จนถึงวันนี้แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการอ้างว่ามีการปรับปรุงแก้ไขอยู่เสมอก็ยังถูกวิจารณ์เหมือนเดิมว่า"ไม่ชัด"ไม่มีประสิทธิภาพ ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือ เหตุการณ์ลอบวางระเบิดตั้งแต่ที่บริเวณหน้ากองสลากหลังเก่า เมื่อวันที่ 5 เมษายน ต่อเนื่องมาถึงเหตุการณ์ลอบวางระเบิดที่หน้าโรงละครแห่งชาติ วันที่ 15 พฤษภาคม จนมาถึงระเบิดที่หน้าห้อง "วงษ์สุวรรณ" ในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ที่ถือว่าคนร้ายมีความจงใจที่ จะ"หยาม" รัฐบาลและคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ (คสช.) โดยตรง เพราะเป็นวันครบรอบ 3 ปี พอดี
แต่จนถึงบัดนี้ เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่พบเบาะแสที่ชัดเจนจนนำไปสู่การขออนุมัติหมายจับคนร้ายได้เลย และสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งในการคลี่คลายคดีที่คาดหวังจากกล้องวงจรปิดในบริเวณนั้น ก็ทำท่าว่าพึ่งพาไม่ได้ เพราะยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน ว่าเป็นเพราะอะไร แต่จากรายงานระบุว่า มีเสีย ภาพไม่ชัด เนื่องจากเป็นกล้องรุ่นเก่า สรุปเอาเป็นว่า ไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิดที่นำไปสู่การหาเบาะแสอย่างเป็นน้ำเป็นเนื้อก็แล้วกัน
จะเป็นด้วยเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ถึงกับเหลืออด ออกคำสั่งกลางวงที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่อังคารที่ 6 มิถุนายน คาดโทษบรรดาผู้นำ หรือหัวหน้าส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจใดก็ตาม ให้สำรวจกล้องวงจรปิดในบริเวณพื้นที่ที่ดูแลให้มีการตรวจสอบ ให้กล้องสามารถใช้การได้ดีอยู่เสมอ หากเกิดเหตุขึ้นเมื่อใดแล้วปรากฏว่า กล้องใช้การไม่ได้ เสีย หรือว่าไม่ประสิทธิภาพ แบบนี้ถือว่าผู้บังคับบัญชาหรือผู้นำหน่วยนั้นต้องรับผิดชอบ และ ต่อมา พล.อ.ประวิตร จันทร์โอชา รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ได้สำทับลงมาอีกชั้นหนึ่ง
ก็ต้องถือว่าไม่ธรรมดา เพราะถึงขนาดที่ระดับ นายกฯ ลงมาสั่งการกำชับกันอย่างเข้มงวดแบบนี้มันก็สะท้อนให้เห็นถึงความหละหลวมอย่างชัดเจนจนต้องมีการ "ขันน็อต" จากระดับบิ๊ก ระดับสูงสุดลงมา เพราะจะว่าไปแล้ว เรื่องกล้องวงจรปิดถือว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับการหาเบาะแสคนร้าย เป็นหลักฐานสำคัญในการติดตามจับกุมตัว และที่สำคัญในปีนี้ทั้งปี เป็นช่วงพระราชพิธีสำคัญก็ย่อมมีการกังวลว่าจะต้องไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้นเป็นอันขาด
จะว่าไปแล้วเรื่องกล้องวงจรปิดกลับมาเป็นเรื่องที่ชวนให้วิจารณ์เปรียบเทียบกันอีก จากคดีดังสดๆ ร้อนๆ จากคดี "ฆ่าหั่นศพ" ที่ผู้ต้องหาเป็นหญิงสาวระหว่างที่หลบหนีอยู่ในประเทศเมียนมาร์ โดยมีการเผยแพร่ภาพจากกล้องวงจรปิด จากบริเวณชายแดนประเทศดังกล่าวที่มีภาพคม ชัด จนนำไปเปรียบเทียบเสียดสีล้อเลียนว่า ชัดพอๆกับภาพถ่ายในบัตรประชาชน ซึ่งในความเป็นจริงก็ต้องบอกว่า มันชัดเจนจริงๆ เป็นภาพสีสดใสจนแทบไม่ต้องไปปรับแต่งภาพ หรือซูมภาพอะไรเพิ่มเติมกันเลยก็ว่าได้ จากนั้นก็มีการแชร์ภาพแสดงความคิดเห็น กันตามมามากมายโดยเปรียบเทียบกับภาพจากกล้องวงจรปิดในประเทศไทยที่ต่างกันแบบฟ้ากับเหว
ด้วยเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่แม้เวลานี้ยังอยู่ในช่วงของการเล่นบท "เตมีย์ใบ้" หยุดให้สัมภาษณ์กับสื่อราว 2 สัปดาห์ ทนไม่ไหวต้องเขียนใส่กระดาษ ส่งให้ทีมโฆษกรัฐบาล นำโดย พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด เกี่ยวกับคำสั่งที่เข้มงวดดังกล่าวข้างต้นออกมา
**ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากคำสั่งการดังกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เรื่องให้เข้มงวดถึงประสิทธิภาพของกล้องวงจรปิด ถือว่าเป็นการตื่นต้วขันน็อตกันครั้งใหญ่ เพราะนี่คือการหาเบาะแสและหลักฐานสำคัญ ซึ่งมีแต่การคาดโทษแบบนี้เท่านั้นถึงจะได้ผล เป็นเรื่องใหญ่ที่มองข้ามไม่ได้เป็นอันขาด !!