เพลงกำลังฮิตในเกาะอังกฤษ ในอาทิตย์สุดท้ายก่อนลงคะแนนเลือกตั้งทั่วไป (ในวันที่ 8 มิถุนายน) คือเพลงว่า “คนพูดโกหก, คนพูดโกหก” หรือ Liar, Liar ซึ่งเปิดกระหึ่ม และมีการไปทำเป็นมิวสิควิดีโอ โดยใส่หน้าท่านนายกรัฐมนตรี Theresa May (อย่าลืมใส่ตัว “h” ที่ชื่อของหล่อนด้วยค่ะ เพราะมิเช่นนั้นคุณก็จะเหมือนคนอ่านน้อย แบบ Donald Trump ที่เขียนชื่อของท่านนายกฯ แบบผิดๆ เช่นเดียวกับที่เขาพิมพ์สะกดผิดๆ จนได้คำใหม่ๆ ว่า Covfefe แทนคำว่า Coverage ก็เป็นไปได้) เพื่อตราหน้าหล่อนว่า มนุษย์ที่พูดโกหก, ผิดคำมั่นสัญญา
เพลงนี้ติดท็อปอันดับที่ 4 ใน Official Singles Chart คือเพลงเดี่ยว อาจไปถึงอันดับที่ 1 ก็ได้ในอาทิตย์นี้
เธอถูกตราหน้าว่า Flip-Flop หรือกลับกลอก ทั้งๆ ที่ความจริงนักการเมืองมักลืมคำมั่นสัญญาที่ตนไปให้ไว้กับประชาชน
อาจดูเป็นเรื่องธรรมดาถ้าเป็นยุคก่อนๆ แต่ตอนนี้ ประตูมีช่อง และกล้องถ่าย วิดีโอพร้อมเสียงก็ยิ่งกว่าตาสับปะรด และพร้อมยิงขึ้น YouTube ได้ทุกนาที
คะแนนนิยมของเธอที่เคยสูงขึ้นกว่าผู้นำพรรคแรงงาน Jeremy Corbyn ถึง 20-25% นั้นเป็นช่วงที่เธอตัดสินใจยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แต่ตอนนี้ล่าสุดบางโพลให้เธอเหนือกว่า Jeremy แค่ 1%
เธอไปทำความเคืองใจหรือผิดสัญญาสำคัญอะไรรึ?
เริ่มแรกก็คือ เมื่อเธอยังอยู่ในรัฐบาลของ David Cameron ตอนนั้น นายกฯ Cameron มั่นอกมั่นใจว่า ถ้าจัดให้มีการทำประชามติแล้ว คะแนนฝ่าย Remain จะชนะฝ่าย Brexit อย่างขาดลอย
เธอเป็นรัฐมนตรีส่วนข้างมาก ที่อยู่กับฝ่าย Remain แต่ก็มีข้อสังเกตว่า เธอทำตัวหายไปจากสาธารณะในช่วงก่อนการลงคะแนนประชามติ โดยทำตัวเป็นครึ่งๆ กลางๆ อย่างลึกๆ ลับๆ ทั้งๆ ที่มีรัฐมนตรีหลายคนที่ออกมาแสดงจุดยืน ตรงข้ามกับ David Cameron นั่นคือพวกของ Boris Johnson ที่หาเสียงอย่างเปิดอกว่า เป็นพวก Brexit
พอ David Cameron แพ้การลงประชามติ เพราะ Brexit ชนะอย่างเฉียดฉิว ในที่สุด Cameron ก็ลาออก
เธอเข้ามาเป็นนายกฯ ได้พูดแบบมั่นอกมั่นใจว่า “Brexit ก็คือ Brexit” ไม่ต้องอ้อมแอ้มเหยียบเรือสองแคม นั่นเป็นการ Flip-Flop กลับกลอกครั้งที่ 1 ทั้งๆ ที่คุณเคยอยู่ค่าย Remain
เมื่อเป็นนายกฯ ก็ได้พูดอย่างหนักแน่นว่าจะเดินหน้าออกจาก EU และเริ่มเจรจาอย่างเข้มแข็งเข้มข้น
ปรากฏว่าเป็นคำมั่นที่ 2 ที่ในที่สุดก็มีการกลืนคำพูดตัวเอง เพราะเธอไปคำนวณแล้วว่า ถ้ารัฐบาลภายใต้การนำของเธอจะอยู่ต่อไปจนหมดวาระของรัฐบาลเดิมของ (David Cameron) ซึ่งจะไปสิ้นสุดเอาปี 2018 อันเป็นช่วงครึ่งๆ กลางๆ ระหว่างการเจรจาออกจาก EU (ขบวนการเจรจาออกจาก EU ต้องใช้เวลาประมาณ 2 ปี)
ถ้าต้องไปเลือกตั้งใหม่ ขณะเจรจายังไม่จบ ซึ่งเป็นไปได้ว่าช่วงเจรจานั้น ทาง UK อาจต้องเสียผลประโยชน์หลายๆ อย่าง และจะทำให้คะแนนนิยมในตัวเธอในฐานะผู้เจรจา รวมทั้งของพรรคอนุรักษนิยมย่อมจะลดลงเป็นธรรมดา ดังนั้น เธอก็เลยตัดสินใจกลืนน้ำลายตัวเอง โดยประกาศยุบสภา และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่
ต่อมาเมื่อถึงเวลาเริ่มหาเสียง เธอก็ไม่ยอมไป Debate กับตัวแทนหรือหัวหน้าพรรคสำคัญๆ ที่จัดโดยสถานีโทรทัศน์ ปรากฏว่าเธอถูกจวกจากผู้แทนทุกๆ พรรคว่าเธอหายไปไหน เธอไม่กล้ามาตอบคำถาม ฯลฯ ทำเอาเธอเสียคะแนน
ต่อมาเธอก็ไม่ยอมไป Debate 1 ต่อ 1 กับ Jeremy Corbyn ก็ดูจะเสียคะแนนไปเยอะ โดยเฉพาะเมื่อพิธีกรถามว่าเธอจะทำอย่างไรเมื่อการเจรจากับ EU ไม่ได้ตามที่เธอต้องการ เธอตอบว่าจะลุกออกจากการเจรจา เพราะ “No deal is better than a bad deal” ขณะที่ Jeremy Corbyn บอกว่าอย่างไรเสียก็ต้องเจรจาต่อไปจนจบ เพราะ UK ต้องอยู่กับ EU ที่เป็นมิตรใหญ่สุดของ UK เขาได้คะแนนนิยมตีตื้นขึ้นมาทันที
ในนโยบายด้านสังคม เธอก็กลืนน้ำลาย กรณีตัดงบการรักษาพยาบาลและเงินช่วยเหลือต่างๆ ประเด็นนี้ทำให้เธอเสียคะแนนมาก และทำให้ Corbyn ตีตื้น เมื่อประชาชนส่วนใหญ่ยังต้องการความช่วยเหลือจากรัฐ
ที่สำคัญก็คือ การที่อังกฤษถูกโจมตีจากการก่อการร้ายใน 3 หนล่าสุดนี้ ครึกโครมมาก มันได้ซาไปแล้วตั้งแต่ปี 2005 สมัย Tony Blair ที่เกิดกับการระเบิดฆ่าตัวตายในรถไฟใต้ดิน (ช่วงประชุม G8 ที่อังกฤษพอดี)
ไม่ว่าจะเป็นที่สะพาน Westminster เมือง Manchester และที่ London Bridge เป็นการเกิดแบบซ้ำซาก โดยเธอต้องรับไปเต็มๆ ว่า ส่วนหนึ่งเพราะกำลังตำรวจถูกตัดงบมาตลอด
ช่วงที่เธอเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นับเป็นช่วงที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ คือ 2010-2016 เป็นเวลาถึง 6 ปีเต็มๆ และได้มีการตัดงบตำรวจมาตลอด ซึ่ง Boris Johnson ก็ออกมาแก้เกี้ยวให้เธอว่าเป็นช่วงแห่งการปฏิรูปตำรวจ จึงมีการลดงบตำรวจถึง 40%
ตอนนั้น Boris Johnson เป็นนายกเทศมนตรีนครลอนดอน ดูแลตำรวจนครบาลและงบตำรวจด้วยตัวเอง
ในการหาเสียงครั้งนี้ก็ยังมีแผนลดงบตำรวจอีกด้วยซ้ำ
นี่เป็นอีกเหตุผลที่ประชาชนมองว่าตำรวจ (โดยเฉพาะที่ติดอาวุธ) มีไม่เพียงพอ
เธอได้ออกมากล่าวว่า “Enough is Enough” โดยจะเพิ่มความเข้มงวดมากขึ้นต่อการติดตามบุคคลที่อยู่ในข่ายอาจก่อการร้าย ซึ่งฝ่ายไม่สนับสนุนเธอมองว่าเป็นการยอมรับความล้มเหลวของนโยบายป้องกันการก่อการร้ายภายใต้การบริหารของเธอนั่นเอง
ตอนนี้ ฝ่ายพรรค Labor ได้โอกาสทอง โดยโจมตีนายกฯ May เรื่องล้มเหลวนโยบายต่อต้านการก่อการร้าย เพราะเธอได้นั่งอยู่ที่มหาดไทยมาตลอด และก็ได้แต่ตัดงบตำรวจ แล้วยังมีแผนจะตัดงบเพิ่มเติมด้วย
วันลงคะแนนที่ 8 มิถุนายนนี้ ถ้าพรรคอนุรักษนิยมของเธอจะได้เสียงข้างมาก ก็อาจปริ่มน้ำเต็มทน
และบทเรียนการโกหกประชาชนก็จะเห็นชัดว่าประชาชนที่ค่อนข้างทันข้อมูลข่าวสารของอังกฤษ ก็ควรจะลงโทษเธอจนได้รัฐบาลที่ไม่ใช่ Landslide จะกลายเป็น Hung Parliament ที่จะรอให้ต้องยุบสภาและมีการเลือกตั้งใหม่ด้วยซ้ำ
อำนาจต่อรองที่เธอหวังจะได้คะแนนมาก และช่วยในการเจรจากับ EU ก็ดูจะเลือนลางเต็มทน.