xs
xsm
sm
md
lg

จับตาต่างชาติขายฉุดหุ้นไทยปี60 กลุ่มน้ำมันเด่นหลังผ่านจุดต่ำสุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

หุ้นไทยปี 59 มาร์เกตแคป 14.83 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 229 จุด ต่างชาติซื้อสะสม 6.9 หมื่นล้านบาท ขณะที่ภาพรวมปี 60ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เหตุหลายปัจจัยยังกดดันตลาด ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐฯ ที่จะดึงเม็ดเงินลงทุนกลับ และการปรับตัวของดัชนีที่รอเวลาปรับฐาน กูรูยกกลุ่มน้ำมันโดดเด่น จากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นและอานิสงส์เงินเฟ้อ จี้รัฐต้องเพิ่มโครงการลงทุนมากกว่าที่มีในปัจจุบัน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นแห่งประเทศไทยตั้งแต่ต้นปี 2559 จนถึง ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2559 พบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้น 229.78 จุด เพิ่มขึ้น 17.83% และมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) 14.83 ล้านล้านบาท โดยมี P/E ที่ระดับ 18.27 เท่า , P/BV 1.93 เท่า และอัตราเงินปันผลตอบแทนที่ระดับ 3.09%**

ขณะที่การซื้อสะสมสุทธิตั้งแต่ต้นปีแยกตามประเภทนักลงทุน พบว่า นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิสูงสุด 82,359.383 ล้านบาท ตามาด้วย นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 15,884.20 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศซื้อสะสมสูงสุด 69,905.07 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซื้อสะสม 28,338.95 ล้านบาท

ขณะที่ทิศทางตลาดหุ้นไทยในปี 2560 นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย จำกัด** แสดงความเห็นว่า ภาพรวมจะเป็นไปในเชิงบวกเนื่องจากตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวตามวัฏจักร หลังจากก่อนหน้านี้ซบเซา โดยคาดว่าหากดัชนีไม่ชะลอตัวหรือหดตัวอย่างรุนแรงอีกรอบ การเคลื่อนไหวของดัชนีจะเป็นไปตามธรรมชาติคือค่อยๆปรับตัวขึ้น

“เราพิจารณาจากประเทศที่เป็นผู้นำทางเศรษฐกิจ ได้แก่สหรัฐอเมริกา ซึ่งฟื้นตัวได้ดี ในขณะที่กลุ่มประเทศยุโรปนั้นยังมีปัญหาอยู่บ้าง แต่เชื่อว่าปัญหาที่มีอยู่จะส่งผลกระทบต่อภูมิภาคเอเชียบ้าง และเป็นระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งไม่มีผลกระทบร้ายแรงที่จะทำให้เกิดภาวะชะงักงานต่อเศรษฐกิจโลกได้ ขณะที่จีนสามารถทรงตัวอยู่ได้ไม่ได้ร้อนแรง แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาชะลอตัวหนักๆ”

ส่วนตลาดหุ้นไทย จะเติบโตตามปัจจัยบวกที่มีต่อการลงทุนในตลาดหุ้นต่างๆทั่วโลก ประกอบกับในช่วงปลายปีที่ผ่านมามีแรงกระตุ้นการลงทุนจากการประมูลงานของโครงการนโยบายภาครัฐ จำนวนมาก ทำให้เชื่อว่าในไตรมาสแรกจนถึงปลายปี2560 จะได้เห็นงานก่อสร้างรถไฟฟ้าในเส้นทางต่างๆตลอดจนถึงรถไฟทางคู่ และโครงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 และโครงการขนาดใหญ่อื่นๆที่เกี่ยวเนื่องกันอีกหลายโครงการเกิดขึ้น นอกจากนี้ภาคเอกชน จากที่ผ่านมาเลื่อนโครงการลงทุนออกไป แต่จะเริ่มเห็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ กลับมาเดินหน้าโครงการต่างๆจำนวนมาก ทำให้เชื่อว่าจะเกิดการกระจุกตัวอยู่ตลอดปีนี้

ส่วนภาคการบริโภค คาดว่าจะมีแรงกระตุ้นจากฐานภาษีที่ลดลง อีกทั้งนโยบายรถคันแรกของรัฐบาลที่ผ่านมา ได้มีการผ่อนชำระหนี้และดอกเบี้ยต่างๆจะมีการสิ้นสุดลง จะทำให้ผู้ที่ซื้อรถยนต์ในโครงการดังกล่าวสามารถขายรถยนต์ออกไปได้ตามเงื่อนไขสัญญาที่รัฐบาลระบุไว้ ส่งผลให้ตลาดอุตสาหกรรมยานยนต์กลับมามีความคึกคักมากขึ้น ขณะที่ค่ายรถยนต์จะมีการออกโปรโมชั่นต่างๆเพื่อกระตุ้นตลาด

รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆสินค้ากลุ่มพลังงานเช่นน้ำมันจะมีการปรับตัวทางด้านราคาขึ้นมา ทำให้กลุ่มบริษัทส่งออกน้ำมันของไทยได้รับอานิสงส์

อย่างไรก็ตามระหว่างทางของการปรับตัวขึ้นของดัชนียังมีความเสี่ยงต่างที่พร้อมเข้ามากดดัน เช่นปัญหาเรื่องยุโรปที่อาจจะเกิดขึ้น รวมไปถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เป็นรอบๆไป ซึ่งอาจจะทำให้ตลาดหุ้นมีความกังวลและมีการปรับฐานลงตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

"การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยไม่ได้ทะยานอย่างสดใสเท่าไหร่ หรือเป็นการปรับตัวขึ้นที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมาเทียบกับตลาดหุ้นเกิดใหม่ทั่วโลกซึ่งพิจารณาเทียบกับP/Eแล้วถือว่าไม่ได้ถูก และการปรับตัวขึ้นสูงมากๆคงเป็นไปได้ลำบาก"

ทั้งนี้มองว่าเป้าดัชนี Set Index ในปีนี้พื้นฐานประเมินว่าน่าจะอยู่ที่ 1,540 จุด ซึ่งหากมีการปรับตัวขึ้นจะอยู่ที่ไม่เกิน 1,600 จุด ขณะที่หากมีการปรับตัวลดลงมามากกคาดว่าจะเคลื่อนใหวลงมาแตะที่กรอบ 1,400 จุดซึ่งถือว่าช่วงระยะห่างของระหว่างกรอบดัชนี มีการแกว่งตัวที่รุนแรง

ส่วนของหุ้นที่คาดว่าจะมีศักยภาพโดดเด่น แบ่งการพิจารณาเป็น2กลุ่มใหญ่ได้แก่ 1.หุ้นกลุ่มพลังงาน เช่น PTT , PTTEP , BANPU เนื่องจากผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและภาวะเงินเฟ้ออยู่ในช่วงขาขึ้น 2.หุ้นกลุ่มใหญ่ที่มีความโดดเด่นชัดเจนได้แก่หุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน เช่น SCB ,TISCO ,BLA เนื่องจากเป็นหุ้นกลุ่มที่ยังไม่มีราคาปรับตัวขึ้นสูงมากหากพิจารณาตามค่าP/Eเฉลี่ยอยู่ที่ 9-10 เท่า PB/V เฉลี่ยอยู่ที่ 1 เท่า โดยหากเทียบกับในอดีตถือว่ามีราคาถูกลงมาก และปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการที่การปรับตัวฟื้นขึ้นของเศรษฐกิจโลก ทำให้ภาวะเศรษฐกิจในไทยปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย

นอกจากนี้ยังมีหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ เช่นหุ้นกลุ่มค้าปลีก ได้แก่ CPALL ,CPN ,HMPRO แม้ว่าขณะนี้จะมีราคาค่อนข้างแพง แต่หากมีการปรับฐานลงมา ถือว่ามีความน่าสนใจในการกลับเข้าไปลงทุน เนื่องจากได้ประโยชน์จากการบริโภคในประเทศที่ดีขึ้น

ด้านกลุ่มรับเหมาก่อสร้างซึ่งได้ประโยชน์จากนโยบายภาครัฐในระยะยาว เพราะว่าได้ประโยชน์โดยตรงจากงานก่อสร้างที่จะเกิดขึ้นได้แก่ CK , STEC ซึ่งมีงานสะสมในมืออยู่เป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันหุ้นขนาดเล็กที่ได้รับอานิสงส์ตรงนี้ด้วย ได้แก่ SEAFCO , PYLON สำหรับหุ้นที่ไม่น่าลงทุนได้แก่หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลซึ่งมีการปรับตัวขึ้นในราคาที่สูงมากแล้ว

“ eps growth คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 6% บนเป้าหมาย SET INDEX ที่ 15 เท่า และกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ 107 บาท/หุ้น ”

ด้าน **นายณัฐชาติ เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.หลักทรัพย์ทรีนิตี้ จำกัด** กล่าวว่าภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปี พ.ศ. 2560 มองว่าจะมีการไหลกลับของเงินทุนในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ กลับเข้าไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วมากขึ้น ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วคงหนีไม่พ้นประเทศสหรัฐอเมริกา จากกรณีการได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของนายโดนัล ทรัมป์ ที่จะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะต่างๆค่อนข้างมากรวมไปถึง มาตรการจูงใจทางด้านภาษีด้วย ซึ่งมาตรการภาษีที่จะได้เห็นเป็นอันดับแรกได้แก่มาตรการลดหย่อนภาษีคนรวย การปรับลดภาษีองค์กร การปรับลดภาษีเงินโอนจากต่างประเทศที่กลับเข้าสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจจะโดนจัดเก็บภาษีน้อยลง โดยมาตรการต่างๆเหล่านี้เป็นตัวกระตุ้นทำให้เม็ดเงินไหลกลับเข้าสู่สหรัฐมากขึ้น ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เชื่อว่าจะมีการปรับค่าแข็งตัวขึ้นต่อเนื่องไปอีก เมื่อเปรียบเทียบกับสกุลค่าเงินอื่นๆในทวีปเอเซีย แม้แต่ประเทศเกิดใหม่เองก็ตาม

สำหรับสิ่งที่นักลงทุนจะต้องพิจารณาได้แก่ปัจจัยในประเทศ เช่นการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆการลดหย่อนภาษีที่ออกมากระตุ้นการจับจ่ายในช่วงปลายปีที่ผ่านมาข้อดีคือเป็นการกระตุ้นระยะสั้น แต่ข้อเสียเป็นการดึงอุปสงค์ในอนาคตที่จะใช้ในปีนี้เอามาใช้ก่อนล่วงหน้าเสียหมด เพราะฉะนั้น มองว่าในไตรมาส1/2560บรรยากาศการบริโภคอาจจะมีการชะลอตัวลงไม่นับรวมภาคอุตสาหกรรมการส่งออกและการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่มีการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญมองว่าจะใช้ระยะเวลาในการแก้ไขเป็นเวลานานอาจจะนานไปจนถึงตรุษจีนหรือสิ้นไตรมาสที่ 1/2560

ขณะเดียวกันยังมีสิ่งหนึ่งที่สามารถกระตุ้นการลงทุน คือนโยบายการลงทุนภาครัฐมองว่าขณะนี้ภาครัฐพยายามใช้มาตรการนี้สร้างแรงจูงใจในการลงทุนและเป็นตัวจักรสำคัญในการผลักดัน GDP ของประเทศให้ปรับตัวสูงขึ้นด้วย ได้แก่การประมูลรถไฟฟ้าในเส้นทางสายต่างๆ การประมูลและการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ฯลฯ แต่ยังถือว่าไม่มากพอที่จะประคับประคองเศรษฐกิจให้เติบโตต่อไปได้ ซึ่งหากในปีนี้ยังไม่มีสิ่งที่เป็นปัจจัยใหม่ๆเข้ามา และความเชื่อมั่นในการลงทุนยังไม่ปรับตัวสูงขึ้นมา ก็อาจจะทำให้ GDP ปรับตัวลดลงได้อีกเช่นกัน

“จากเหตุผลดังกล่าวส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนปรับตัวลดลงด้วย โดยประเมินว่า EPS Growth ของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้จะอยู่ที่ 107 บาท หรือ 11% จากในปี 2559ซึ่งอยู่ที่ 97 บาท โดยประเมินว่า SET INDEX ในปีนี้จะอยู่ที่ 1,580 จุด บนพื้นฐานP/Eที่ 14.7 เท่า ถือว่าอยู่ในระดับที่สูงและไม่ถูกมากนัก แต่ทั้งนี้มองว่ายังมีอยู่บางช่วงเวลาที่มีทิศทางการลงทุนที่ดีสามารถผลักดันให้ดัชนีสามารถปรับตัวขึ้นไปได้”
กำลังโหลดความคิดเห็น