ผู้จัดการรายวัน360-ราชทัณฑ์เผยมีนักโทษเข้าข่ายถูกปล่อยตัวทันที 3 หมื่นคน หลังในหลวง โปรดเกล้าฯ ประกาศ พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ เตรียมปล่อยตัวกลุ่มโทษน้อยล็อตแรกภายใน 3 วัน "ชูวิทย์" เข้าข่ายพ้นโทษ ส่วน "ผู้พันตึ๋ง" ทำผิดซ้ำซาก ถือเป็นนักโทษชั้นเลว หมดสิทธิได้อภัยโทษ
นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า ตามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ประกาศพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ เนื่องในโอกาสแรกนับแต่ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ.2559 ตามที่ทราบกันแล้วนั้น เบื้องต้นคาดว่าจะมีผู้ต้องโทษที่ได้รับการพระราชทานอภัยโทษและได้รับการปล่อยตัวทันทีราว 30,000 คน โดยแต่ละเรือนจำจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบคุณสมบัติ เพื่อให้ผู้ต้องโทษที่ได้รับการปล่อยตัวมีคุณสมบัติตรงตามหลักเกณฑ์ คือ ต้องเป็นผู้ต้องโทษชั้นดีขึ้นไป จึงจะได้รับสิทธิ์ และไม่เป็นผู้ที่กระทำผิดซ้ำ ไม่ใช่ผู้ต้องโทษคดีฆ่าข่มขืน ฉ้อโกงประชาชน หรือค้ายาเสพติด
ทั้งนี้ ในส่วนของเรือนจำในต่างจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้พิพากษา และอัยการ จะร่วมเป็นคณะกรรมการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ต้องขัง และหลังตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ต้องโทษแล้ว เรือนจำจะส่งรายชื่อให้ศาลจังหวัดทำหมายปล่อยและดำเนินการปล่อยตัวเป็นอิสระต่อไป โดยจะสามารถปล่อยตัวผู้ต้องขังที่ได้รับการอภัยโทษล็อตแรกได้ภายใน 3 วัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ต้องโทษน้อยไม่เกิน 2 ปี และหลังจากพ้นโทษไปแล้ว จะมีหน่วยงานภาคีในพื้นที่คอยสอดส่องดูแลไม่ให้กระทำความผิดซ้ำ
สำหรับกลุ่มผู้ต้องโทษที่เข้าข่ายได้รับสิทธิ์อภัยโทษปล่อยตัวรอบนี้ เช่น นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ผู้ต้องขังคดีรื้อบาร์เบียร์ที่ต้องโทษจำคุก 2 ปี ส่วนนายเฉลิมชัย มัจฉากล่ำ หรือผู้พันตึ๋ง ผู้ต้องโทษคดีฆาตกรรมนายปรีณะ ลีพัฒนะพันธ์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร ที่ได้รับการลดวันต้องโทษและพักโทษไปก่อนหน้านี้ แต่ได้กระทำความผิดซ้ำจนถูกนำตัวเข้าคุมขังตามกำหนดโทษที่ได้รับการพักไว้ในเรือนจำกลางบางขวาง ทำให้ผู้พันตึ๋งไม่เข้าข่ายได้รับการอภัยโทษ เพราะถูกลดชั้นปรับเป็นนักโทษชั้นเลวแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผู้กระทำผิดคดีมาตรา112 ก็เข้าข่ายได้รับประโยชน์จาก พ.ร.ฎ.อภัยโทษครั้งนี้ด้วย โดยจัดเป็นผู้ต้องขังคดีทั่วไปที่มีสิทธิ์ได้รับการลดโทษตามลำดับชั้น
นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า ตามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ประกาศพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ เนื่องในโอกาสแรกนับแต่ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ.2559 ตามที่ทราบกันแล้วนั้น เบื้องต้นคาดว่าจะมีผู้ต้องโทษที่ได้รับการพระราชทานอภัยโทษและได้รับการปล่อยตัวทันทีราว 30,000 คน โดยแต่ละเรือนจำจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบคุณสมบัติ เพื่อให้ผู้ต้องโทษที่ได้รับการปล่อยตัวมีคุณสมบัติตรงตามหลักเกณฑ์ คือ ต้องเป็นผู้ต้องโทษชั้นดีขึ้นไป จึงจะได้รับสิทธิ์ และไม่เป็นผู้ที่กระทำผิดซ้ำ ไม่ใช่ผู้ต้องโทษคดีฆ่าข่มขืน ฉ้อโกงประชาชน หรือค้ายาเสพติด
ทั้งนี้ ในส่วนของเรือนจำในต่างจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้พิพากษา และอัยการ จะร่วมเป็นคณะกรรมการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ต้องขัง และหลังตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ต้องโทษแล้ว เรือนจำจะส่งรายชื่อให้ศาลจังหวัดทำหมายปล่อยและดำเนินการปล่อยตัวเป็นอิสระต่อไป โดยจะสามารถปล่อยตัวผู้ต้องขังที่ได้รับการอภัยโทษล็อตแรกได้ภายใน 3 วัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ต้องโทษน้อยไม่เกิน 2 ปี และหลังจากพ้นโทษไปแล้ว จะมีหน่วยงานภาคีในพื้นที่คอยสอดส่องดูแลไม่ให้กระทำความผิดซ้ำ
สำหรับกลุ่มผู้ต้องโทษที่เข้าข่ายได้รับสิทธิ์อภัยโทษปล่อยตัวรอบนี้ เช่น นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ผู้ต้องขังคดีรื้อบาร์เบียร์ที่ต้องโทษจำคุก 2 ปี ส่วนนายเฉลิมชัย มัจฉากล่ำ หรือผู้พันตึ๋ง ผู้ต้องโทษคดีฆาตกรรมนายปรีณะ ลีพัฒนะพันธ์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร ที่ได้รับการลดวันต้องโทษและพักโทษไปก่อนหน้านี้ แต่ได้กระทำความผิดซ้ำจนถูกนำตัวเข้าคุมขังตามกำหนดโทษที่ได้รับการพักไว้ในเรือนจำกลางบางขวาง ทำให้ผู้พันตึ๋งไม่เข้าข่ายได้รับการอภัยโทษ เพราะถูกลดชั้นปรับเป็นนักโทษชั้นเลวแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผู้กระทำผิดคดีมาตรา112 ก็เข้าข่ายได้รับประโยชน์จาก พ.ร.ฎ.อภัยโทษครั้งนี้ด้วย โดยจัดเป็นผู้ต้องขังคดีทั่วไปที่มีสิทธิ์ได้รับการลดโทษตามลำดับชั้น