ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กว่าจะออกแอ๊กชันขึงขังได้ คนร้ายก็ลอยนวลเข้ากลีบเมฆอีกตามเคย!
หลังสำนักข่าวต่างประเทศยี่ห้อ “บีบีซีไทย” นำเสนอรายงานพิเศษในลักษณะ “ปล่อยของ” จาบจ้วงสถาบัน หยามเหยียดจิตใจคนไทยทั้งประเทศ
แถมแช่ทิ้งบทความไว้บนหน้าเว็บอยู่นานร่วมสัปดาห์ จนเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กระหึ่มโซเชียล ทว่า “หน่วยงานรัฐ” กลับไม่ไหวติง ราวกับไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับภัยต่อความมั่นคงของประเทศชาติ
ทั้งที่ “ความแรง” ของบทความที่ว่า พวก “แดงตัวพ่อ - เพจล้มเจ้า” ยังสัมผัสได้ เตือนสาวกว่าอย่าริแชร์หรือเผยแพร่ต่อเชียว มิเช่นนั้นภัยอาจมาถึงตัว แต่ก็มีพวกหน้ามืดไม่รู้เหนือรู้ใต้แชร์ออกไปร่วม 3 พันครั้ง
ก่อนจะมาปรากฏข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ เข้าจับกุม “ไผ่ ดาวดิน” จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ในข้อหาความผิดตามประมวกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่าด้วยการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ สืบเนื่องจากการแชร์ “สกู๊ปพิเศษของบีบีซีไทย” นั่นเอง โดยปรากฏชื่อ พ.ท.พิทักษ์พล ชูศรี รองหัวหน้ากองยุทธการ มณฑลทหารบกที่ 23 ขอนแก่น เป็นผู้แจ้งความจับ “ไผ่ ดาวดิน” ต่อ สภ.เมืองขอนแก่น ก่อนที่ศาลจังหวัดขอนแก่นจะอนุมัติหมายจับ
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกเชื่อมโยงกับการเผยแพร่บทความหมิ่นสถาบันฯของสำนักข่าวบีบีซีไทย และการคเลื่อนไหวของแก๊งหมิ่นสถาบันที่ลี้ภัยอยู่ใน สปป.ลาว
พลันที่ “ไผ่ ดาวดิน” ถูกจับ ก็เหมือนเป็นการเขี่ยลูกกลับมายังรัฐบาลถึงการดำเนินการต่อ “ต้นตอ” หรือสำนักข่าวบีบีซีไทย ผู้นำเสนอบทความที่มีเนื้อหาแบบที่คนไทยรับไม่ได้ และก็เป็น “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ที่ “ต้วมเตี้ยม” ออกมาสั่งการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ให้จัดชุดเข้าไปตรวจค้น “สำนักงานบีบีซีไทย” ย่านเพลินจิต แต่ปรากฏว่า เจอแต่ลม!!
ตามกระแสข่าวว่า นักข่าวไทยที่ทำงานให้บีบีซีไทยเผ่นแน่บออกต่างประเทศไประยะหนึ่งแล้ว ซึ่งก่อนที่ทางการไทยจะเพิ่งสะดุ้งด้วยซ้ำ งานนี้เลยจบแบบกรณีแก๊งหมิ่นสถาบันคนอื่นๆ คือ จับไม่ได้ แถมพวกนี้ยังออกไปฐานตั้งฐานบัญชาการอยู่ต่างประเทศเพื่อถล่มไทย
แต่กรณีนี้ก็มีความต่างกับ “แก๊งหมิ่นฯ” อื่นๆ เพราะครั้งนี้ผู้เผยแพร่อาศัย “หัว” สื่อต่างประเทศที่มีชื่อเสียงพอสมควร และได้รับการยอมรับในการนำเสนอข่าว ที่สำคัญหลายครั้งหลายคราที่ “บีบีซีไทย” นำเสนอข้อมูลในลักษณะอยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่เสมอ
กลับกันถ้าเป็นข่าวความเคลื่อนไหวของฟากฝั่ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มักจะนำเสนอในลักษณะของการสนับสนุน เห็นใจ อุ้มกันสุดฤทธิ์ ไม่เว้นแม้แต่ข่าวคราวของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้เป็นพี่ชาย จนทำให้มีการตั้งข้อสงสัยแล้วนำไปสู่การสืบค้นเบื้องลึกเบื้องหลังแล้วพบว่า นักข่าวไทยที่สังกัดบีบีซีไทยแท้จริงคือ นักข่าวที่มีความสนิทสนมกับพี่น้องตระกูลชินวัตร ซึ่งปัจจุบันโกยไปอยู่ต่างแดนแล้วเพราะกลัวซังเต หลังนำเสนอข่าวคราวและรายงานที่ทิ่มแทงจิตใจคนไทย
ในส่วนของ “บีบีซีไทย” นั้น ปรากฏชื่อ นพพร วงศ์อนันต์ เป็นบรรณาธิการ โดยในอดีต “นพพร” เคยเป็นบรรณาธิการนิตยสาร ฟอร์บส์ ไทยแลนด์ และก็เคยสร้างผลงานบิดเบือนเกี่ยวกับสถาบันเช่นกัน การมา “ปล่อยของ” ยั่วยุประชาชนชาวไทยในช่วงเวลาสำคัญนี้ ก็ถือเป็นเครื่องการันตีแล้วว่า “นพพร” เลือกยืนข้างไหน
สำทับด้วยเสียงของ สุทิน วรรณบวร อดีตผู้สื่อข่าวอาวุโสสังกัดสำนักข่าวเอพี เจ้าของคอลัมน์ “วิภาคสื่อเทศ วิเทศสื่อไทย” ใน นสพ.แนวหน้า และแนวหน้าออนไลน์ ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กเพจส่วนตัวชื่อ "Sutin Wannabovorn" ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังกรณีสำนักข่าวบีบีซี ไทย เผยแพร่บทความไม่เหมาะสม เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ระบุข้อความว่า
"ผมเตือนเพื่อน มาตลอดว่าอย่าอ่านอย่าแชร์ข่าว บีบีซี ภาษาไทย เพราะรู้จักและติดตามผลงาน นายนพพร บก.ข่าวบีบีซี มานาน ผลงานเด่นของนายนพพร เมื่อคราวทำงานให้สำนักข่าวรอยเตอร์ คือบินเดี่ยวไปสัมภาษณ์ นายทักษิณ ที่ต่างประเทศ นายนพพร เป็นนักข่าวที่ได้รับการไว้ใจจากนายทักษิณ และประเด็นที่นายนพพร ฝังใจและเกาะติดเป็นพิเศษ คือเรื่องทีกำลังกล่าวขาน ประเด็นนี้ นายนพพร บินจากกรุงเทพฯ ไปถาม นายอภิสิทธิ์ ถึงสิงคโปร์ (เมื่อคราวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ) นายอภิสิทธิ์ ตอบว่าคงไม่เป็นไปดังที่ถาม ทุกอย่างจะราบรื่น นายนพพร ติดใจฝังใจเรื่องนี้ตลอดมา ดังนั้นท่านที่อ่านข่าว บีบีซี โปรดเข้าใจว่าทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หรือเผลอเรอ แต่มันความเชื่อ เป็นอุดมการณ์ ของนายนพพร"
นพพร วงศ์อนันต์ บรรณาธิการสำนักข่าวบีบีซีไทย ที่ถูกเชื่อมโยงสายสัมพันธ์กับนายทักษิณ และถูกขุดคุ้ยจุดยืนต่อสถาบัน
เป็นเสียงหนึ่งที่ยืนยันถึง “คอนเน็กชันพิเศษ” ระหว่าง “นพพร” บก.บีบีซีไทย กับ “ทักษิณ ชินวัตร” หัวโจกของพรรคเพื่อไทย และแก๊งเสื้อแดง
จริงๆแล้ว “บทความฉาวโฉ่” ที่ว่านั้น มีการเผยแพร่ในเวอร์ชันภาษาอังกฤษผ่านเว็บหลักของสำนักข่าวบีบีซีในต่างประเทศมาระยะหนึ่งแล้ว และมีการวิพากษ์วิจารณ์ในวงแคบๆ เท่านั้น เพราะไม่มีการเผยแพร่ในไทย การที่ “บีบีซีไทย” ปล่อยเวอร์ชั่นภาษาไทยออกมาโดยเลือกห้วงเวลาหรือ “ไทม์มิ่ง” หลังจากเหตุการณ์สำคัญ จึงมั่นใจได้ว่ามี “นัยซ่อนเร้น” แบบปิดไม่อยู่
แม้จะมีการอ้างว่าเป็นเพียงฉบับแปลมาจากฉบับภาษาต่างประเทศ แต่ก็ฟังไม่ขึ้น เนื่องจากเมื่อทำการเปรียบเทียบ “เวอร์ชั่นไทย” กับ “เวอร์ชั่นอังกฤษ” จะเห็นได้ชัดว่าฉบับที่เผยแพร่เป็นภาษาต่างประเทศนั้นใช้สำนวนที่ “นุ่มนวล” มากกว่า ต่างจากฉบับภาษาไทยที่ “หยาบช้า” จนเกินจะรับได้ และอาจจะสรุปได้ว่า “ต้นฉบับ” ที่แท้จริงนั้นเป็นภาษาไทย เพียงแต่มีการเผยแพร่เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษในต่างประเทศไปก่อน
ก่อนที่จะนำ “เวอร์ชั่นไทย” มาฉายซ้ำ โดยเลือกไทม์มิ่งไว้เรียบร้อยแล้ว
การนำเสนอรายงานชิ้นนี้ จึงมีลับลมคมในมากกว่าปกติ ไม่ใช่การนำเสนอธรรมดา แต่ต้องการทำให้เกิดประเด็นในสังคมไทยอย่างตั้งใจ ซึ่ง “บีบีซีใหญ่” ไม่น่าจะใช่โต้โผ หากแต่ต้องเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลกับบีบีซีไทย หรือระดับตัดสินใจในบีบีซีไทย เพื่อหวังทำอะไรสักอย่าง ซึ่งคนที่มีอิทธิพลขนาดนั้นย่อมเป็นคนที่บีบีซีไทยให้ความเกรงใจ
จึงมีการพูดถึงความเชื่อมโยงระหว่าง “นพพร” บก.บีบีซีไทย กับ “อดีตนายกฯทักษิณ” อย่างช่วยไม่ได้
โดยเฉพาะระยะหลังมีข่าวว่า “ทักษิณ” พยายามอย่างไม่ลดละ ในการจูนคลื่น “ต่อสัญญาณ” ให้ติดตลอดช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่กลับมีเพียงเสียงตู๊ด...ตู๊ด คล้ายวลีคุ้นหู “ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายคุณเรียก” จึงเป็นที่มาของปฏิบัติการ “ลองของ” เสี่ยงดวงทิ้งระเบิด เพื่อหวังให้มีช่องทางในการต่อให้ติด
เรื่องทำนองนี้ทางการไทยเองรู้มาตลอดว่า คนในบีบีซีไทยไม่ได้มีเจตนาแค่นำเสนอข่าว หรือบทความที่เข้ากับสถานการณ์ แต่เป็นเพราะ “มีงาน” มากกว่า ดังจะเห็นว่า ก่อนหน้านี้คนในรัฐบาลออกมาตำหนิ “สื่อเลือกข้าง” อยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
แต่ครั้งนี้ต้องโทษความชะล่าใจของ “ฝ่ายความมั่นคง” ที่ไม่ระแวดระวัง ทั้งที่เพิ่งจัดแจงของบประมาณจัดตั้ง “ศูนย์ไซเบอร์” ตามหน่วยงานความมั่นคงต่างๆ ซึ่งก็มีภารกิจหลักในการเฝ้าระวัง และควบคุมไม่ให้มีการเผยแพร่เนื้อหาที่บิดเบือนและเป็นลบต่อสถาบันทางโลกโซเชี่ยล แต่กลับพลาดง่ายๆกับ “บทความบีบีซีไทย” แถมไม่ตื่นตัวหลังจากเกิดเรื่องอีกต่างหาก
หากถามหาคนรับผิดชอบก็ต้องชี้ไปที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ที่คงพะว้าพะวงกับอนาคตของตัวเองที่อยู่ในช่วง “หุ้นตก” จนความรู้สึกช้า กว่าจะออกมาแอ็กชั่น คนร้ายก็ลอยนวลไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
ไม่เว้นแม้แต่กรณีที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า “ทางการ สปป.ลาว” กดดัน “แก๊งหมิ่นฯ” ที่ซุกหัวอยู่ในประเทศลาว ให้หยุดออกอากาศ-จัดรายการอันมีเนื้อหากระทบสถาบันเบื้องสูงของไทย ทั้งวิทยุเสื้อแดง ทั้งเซเลบล้มเจ้าทั้งหลาย หยุดเคลื่อนไหวไปร่วมสัปดาห์ จนคนในรัฐบาลออกมาเอาหน้าเอาตา โดยเฉพาะ “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” คุยฟุ้งว่า เกิดจากความร่วมมือของตัวเองเมื่อครั้งเดินทางไปประชุมที่ สปป.ลาว
“ผมไปประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ที่ประเทศลาว ผมบอกว่าผมขอร้องคนที่ไปอยู่ในประเทศที่ผมไปประชุม ถ้าไปทำแบบนี้อยากให้ช่วยดูแล ไม่ใช่มาโจมตีอยู่ข้างบ้าน คนที่ไปเหล่านี้มีคดีทั้งนั้น ผมบอกกับเขาเอง” เป็นคำโวที่ “บิ๊กป้อม” คุยเขื่องไว้เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน
ทว่าผลงานที่ “บิ๊กป้อม” เพิ่งจะฝากเอาไว้หยกๆ นั้น อาจกลายเป็นเพียง “ภาพลวงตา” เพราะล่าสุดปรากฏคลิปของ “แก๊งหมิ่นสถาบัน” ที่ซุกหัวอยู่ในประเทศลาวกลับมาอาละวาดอีกครั้ง จึงเกิดคำถามย้อนไปที่ตัว “บิ๊กป้อม” ว่า ความร่วมมือที่คุยเอาไว้ ตกลงของจริงหรือไม่?
สิ่งที่ทางการ สปป.ลาวกดดันคนเหล่านี้ให้อยู่นิ่งๆครั้งที่แล้ว เป็นเพราะการขอร้องจาก “บิ๊กป้อม” หรือเป็นคำสั่งของ “ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง” แก๊งหมิ่นสถาบันเอง ว่ากันว่ามาตรการกดดันของทางการลาวครั้งนั้นมาจากการขอความร่วมมือจาก “นายใหญ่” ให้ “ลิ่วล้อ” สงบปากสงบคำ เพื่อหวังต่อรองหรือขอเชื่อมสัญญาณกับ “ผู้มีอำนาจ” ในประเทศไทย ไม่ได้เกี่ยวกับ “บิ๊กป้อม” เลย แต่ดันเอามาเคลมผลงานหน้าตาเฉย
การประกาศกลับมาจัดรายการของคนเสื้อแดงในลาวผ่านหน้าเฟซบุ๊กของ “แยม ไฟเย็น”
แต่ที่แน่ๆ จากเหตุการณ์บีบีซีไทยนำเสนอรายงานอัปยศทิ่มแทงจิตใจคนไทย ผนวกกับสัญญาณให้แก๊งหมิ่นในลาวลดบทบาทการจาบจ้วงลง แต่จู่ๆกลับมาเหิมเกริมอาละวาดอีกครั้งในช่วงเวลาคาบเกี่ยวกัน มันสะท้อนให้เห็นว่า “ผู้อยู่เบื้องหลัง” อาจเป็นคนๆเดียวกัน
เพราะก่อนหน้านี้มีความพยายามจาก “คนดังกล่าว” ในการประนีประนอมหาช่องทาง “ต่อรอง” แต่เมื่อรู้ตัวว่าต่อไม่ติดแน่ๆ จึงปล่อยลูกทีมกลับมาปั่นป่วนเหมือนเดิม
สัญญาณชัดแจ๋วแบบนี้ไม่เป็นบวกกับทั้ง “ทักษิณ” หรือกระทั่ง “บิ๊กป้อม” เอง
รายแรกก็คงประมาณว่า “มันจบแล้วครับนาย”
ส่วนรายหลังเริ่มไม่มีที่ยืน เตรียมลาโรงกลับไปเลี้ยงหลานที่บ้านได้เลย