ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เป็นวาระอันเป็นมหามงคลของปวงพสกนิกรชาวไทย และเป็นที่ปลื้มปีติอย่างหาที่สุดมิได้ เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทำหนังสือด่วนที่สุด เลขที่ นร.0503/44549 ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2559 เรื่องแจ้งเรื่องการสถาปนาแต่งตั้งพระรัชทายาท ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบพระราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 มายังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ความว่า....
“บัดนี้ราชบัลลังก์ว่างลงและพระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้ง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นรัชทายาทไว้แล้ว ครม.จึงขอแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ และประธานรัฐสภาเรียกประชุมเพื่อทราบ และให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์สืบไป”
ทั้งนี้ ในวันเดียวกัน นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. หารือทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้แจ้งการประชุมวาระพิเศษดังกล่าวให้สมาชิก สนช.ที่เข้าประชุมจำนวน 243 คน รับทราบและดำเนินการตามมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ประกอบมาตรา 23 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลอัญเชิญ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของประชาชนชาวไทยต่อไป
วันสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 29 พฤศจิกายน 2559 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาวาระพิเศษที่จะส่งต่อให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณา โดยเชิญสมาชิก คสช. รวมถึงนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เข้าร่วมด้วย
ต่อมา เวลา 09.35 น. ที่ประชุมครม.ได้เห็นชอบและรับทราบวาระพิเศษเรื่อง การแต่งตั้งพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ และมอบหมายให้ พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นำมติของวาระพิเศษส่งไปยัง สนช.
ภายหลังการประชุม ครม. วาระพิเศษ พล.อ.ประยุทธ์ แถลงว่า การประชุมร่วม ครม.-คสช. เพื่อทำภารกิจอันสำคัญเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศไทย คือ กระบวนการอัญเชิญรัชทายาทเป็นผู้สืบราชสันตติวงศ์ โดยขั้นตอนได้กำหนดไว้ตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญซึ่งกำหนดมา 25 ปีแล้ว และครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในการดำเนินการดังกล่าว ในกรณีที่พระราชบัลลังก์ว่างลงจึงต้องมีการสถาปนาพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ ซึ่งมีการแต่งตั้งรัชทายาทไว้แล้ว
ทั้งนี้ ครม.ได้รับทราบและเป็นการเริ่มต้นกระบวนการ โดยทำหนังสือแจ้งไปยัง สนช. ถือเป็นไปตามราชประเพณี กฎมณเฑียรบาลและรัฐธรรมนูญทุกประการ จากนั้น เมื่อ สนช.ได้รับทราบแล้วก็จะได้อัญเชิญองค์รัชทายาทขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๑๐ ต่อไป เป็นไปตามความในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 23 วรรคหนึ่ง ถือเป็นเรื่องน่ายินดี
จากนั้น เมื่อเวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา พล.อ.วิลาศ เดินทางเข้าพบนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ถึงการเตรียมนัดประชุม สนช. วาระพิเศษ เพื่อพิจารณาวาระตามที่ได้รับแจ้งจาก ครม.
การประชุม สนช. ครั้งที่ 76/2559 (เป็นพิเศษ) มีนายพรเพชร ทำหน้าที่ประธานการประชุม เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 11.19 น. โดยนายพรเพชร ได้แจ้งระเบียบวาระต่อที่ประชุม เรื่องการดำเนินการตามมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ประกอบมาตรา 23 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ว่า
ตามที่มีประกาศของพระราชสำนักราชวัง เรื่อง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร สวรรคต บัดนี้ นายกรัฐมนตรี ได้มีหนังสือด่วนที่สุด เลขที่ นร.0503/44549 ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2559 เรื่อง แจ้งเรื่องการสถาปนาแต่งตั้งพระรัชทายาท ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 แจ้งว่า บัดนี้ราชบัลลังก์ว่างลงและพระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้ง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นรัชทายาทไว้แล้ว ครม.จึงขอแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ และประธานรัฐสภาเรียกประชุมเพื่อทราบ และให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป
นายพรเพชร กล่าวว่า ตามที่ที่ประชุม สนช.ทำหน้าที่รัฐสภาได้รับทราบการแจ้งมติ ครม.แล้ว ในขั้นตอนต่อไป จะได้นำความนำกราบบังคมทูลอัญเชิญ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของประชาชนชาวไทยต่อไป ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 มาตรา 2 ประกอบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 23
และในโอกาสอันเป็นมหามงคล ขอให้สมาชิกทุกคนยืนขึ้นเพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อม ถวายพระพรชัยแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลใหม่ และกล่าวคำถวายพระพรพร้อมกัน โดยสมาชิกได้ยืนขึ้นพร้อมกับกล่าวว่าคำ “ขอพระองค์ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้องไปทั่วห้องประชุมรัฐสภา จากนั้น นายพรเพชร ได้สั่งปิดประชุมเมื่อเวลา 11.23 น.
วันที่ 1 ธันวาคม 2559 เวลา 19.16 น. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระราชวโรกาสให้ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ นายวีระพล ตั้งสุวรรณ ประธานศาลฎีกา เข้าเฝ้าฯ
โอกาสนี้ นายพรเพชร วิชิตชลชัยกราบบังคมทูลเชิญองค์รัชทายาท เสด็จฯ ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ สืบราชสันตติวงศ์
ในการนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร มีพระราชดำรัสตอบรับการขึ้นทรงราชย์ ความว่า
"ตามที่ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภาได้กล่าวในนามของปวงชนชาวไทย เชิญข้าพเจ้าขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ ว่าเป็นไปตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎมณเฑียรบาล ว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์กับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนั้น ข้าพเจ้าขอตอบรับเพื่อสนองพระราชปณิธาน และเพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวไทยทั้งปวง"
จากนั้น เสด็จฯ ไปประทับราบ ณ พระสุจหนี่ หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงกราบถวายบังคม ทรงเปิดกรวยกระทงดอกไม้ ธูปเทียนแพ ทรงกราบราบ
พล.อ.เปรมกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล จากนั้นทรงมีพระราชปฏิสันถารกับคณะผู้เข้าเฝ้าฯ
ทั้งนี้ ในระหว่างที่ยังมิได้ถวายพระปรมาภิไธยเนื่องในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามพระราชประเพณี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เฉลิมพระปรมาภิไธยว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร”
คำอ่าน สม - เด็ด - พระ - เจ้า - อยู่ - หัว - มะ - หา - วะ - ชิ - รา - ลง - กอน - บอ - ดิน - ทระ - เทบ - พะ - ยะ - วะ - ราง - กูน
ภาษาอังกฤษว่า “His Majesty King Maha Vajiralongkorn Bodindradebayavarangkun”
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ