xs
xsm
sm
md
lg

ทรัมป์ก็คือทักษิณบวกชูวิทย์

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

การเมืองในสหรัฐอเมริกานั้นยังเป็นที่พูดถึง แต่ระบบการเลือกตั้งของอเมริกานั้นดูซับซ้อนกว่าบ้านเรา หลายคนสงสัยว่า เขาเลือกกันอย่างไร ทำไมฮิลลารีได้คะแนนจากประชาชนมากกว่าถึงไม่ได้เป็นประธานาธิบดี ตลอดจนสงสัยว่า ทรัมป์ที่ตามข่าวบอกว่า ไม่มีทางชนะคลินตันได้ และโพลทุกโพลบอกว่า ทรัมป์แพ้แบบสู้ไม่ได้แน่ แต่ทำไมทรัมป์กลับมาชนะได้

ผมเห็นด้วยกับส่วนใหญ่วิเคราะห์กันนะว่า คนอเมริกันมันเบื่อระบบการเมืองแบบเก่าที่อเมริกาทำตัวเป็นเจ้าโลกไปวุ่นวายกับเขาทุกเรื่อง คิดว่าตัวเองเป็นผู้พิทักษ์โลก แต่ปัญหาในประเทศมีมากมาย โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจและปัญหาสังคม พอทรัมป์บอกว่า “อเมริกาต้องมาก่อน” คือ เน้นให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ และความมั่นคงของพลเมืองอเมริกัน เลิกไปจุ้นจ้านกับประเทศอื่น จะไม่ส่งทหารไปรบที่โน่นที่นี่ คนส่วนหนึ่งจึงบอกว่าใช่เลย

แต่จะบอกว่าคนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับทรัมป์ก็ไม่ใช่นะ เพราะทรัมป์แพ้คะแนนแบบหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงของประชาชนไปประมาณ 7 แสนกว่าคะแนน ฮิลลารีได้ 61,324,576 คะแนน หรือ 47.85% ทรัมป์ได้ 60,526,852 คะแนน หรือ 47.23% ถ้านับแบบบ้านเรานั้นฮิลลารีจะเป็นคนชนะ

ที่นี้มาดูว่า ทำไมฮิลลารีชนะเลือกตั้งเสียงข้างมากจากประชาชนแล้วไม่ได้เป็นประธานาธิบดี คือ อเมริกาเขาตัดสินกันด้วย Electoral College หรือคณะผู้เลือกตั้ง ซึ่งผู้ที่จะได้เป็นประธานาธิบดีต้องได้คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Voter) ของรัฐต่างๆ รวมกันอย่างน้อย 270 เสียง จากจำนวนทั้งสิ้น 538 เสียง คือใครถึง 270 คนนั้นชนะ แล้วคะแนนนี้มายังไง

คืออย่างนี้ แต่ละมลรัฐจะมีจำนวน “คณะผู้เลือกตั้ง” ไม่เท่ากันเอาตามจำนวนประชากร รัฐใหญ่จะมีมากกว่ารัฐเล็ก เช่น รัฐแคลิฟอร์เนียมีคณะผู้เลือกตั้งรวม 55 คน เท็กซัสมี 38 เสียง ฟลอริด้ามี 29 เสียง ในขณะที่รัฐมอนทาน่า, นอร์ทดาโกตา, เซาท์ดาโกตา มีคณะผู้เลือกตั้งเพียงแค่รัฐละ 3 คนเพราะประชากรน้อย รวมแล้ว 538 คน ใครจะชนะเลือกตั้งรัฐไหนคนนั้นเอาเสียงคณะผู้แทนไปทั้งหมด

เข้าใจไหมครับ เช่น ถ้านับคะแนนเสียงของประชาชนที่ไปลงคะแนนในรัฐแคลิฟอร์เนียแล้วใครชนะก็เอาไปทั้ง 55 เสียงเลย 55 เสียงนี่เท่ากับ 20.4% ของ 270 เชียวนะครับ ส่วนใหญ่จากการเลือกตั้งที่ผ่านมาคนชนะเลือกตั้งในแคลิฟอร์เนีย 80%กว่าจะชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดี แต่ปีนี้ฮิลลารีชนะที่นี่แล้วได้เสียง “คณะผู้เลือกตั้ง” ไป 55 เสียงแต่แพ้ เพราะทรัมป์เก็บเล็กเก็บน้อยจากทุกรัฐได้มากกว่า

แล้วคณะผู้แทนจะมาลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีกันอีกทีนะครับ ถามว่าคณะผู้แทนของพรรคนั้นมีสิทธิไปเลือกฝ่ายตรงข้ามมั้ยก็มีสิทธินะครับ แต่ส่วนใหญ่พรรคจะเลือกคนที่ไว้ใจได้มาเป็นคณะผู้แทน ดังนั้น โอกาสการหักหลังจึงเป็นไปได้น้อย ตอนนี้เลดี้กาก้าก็กำลังเคลื่อนไหวให้คณะผู้แทนพรรคเปลี่ยนใจมาเลือกคลินตันซึ่งคงเป็นไปไม่ได้หรอก

แต่ตอนนี้ที่บานปลายออกมาคือ แคลิฟอร์เนียซึ่งเลือกฮิลลารีถล่มทลาย มีการเสนอให้ลงประชามติแยกประเทศ แคลิฟอร์เนียเป็นรัฐที่มีประชากรมากที่สุดในสหรัฐฯ คือ 11.6% ถ้าแยกตัวสำเร็จแคลิฟอร์เนียจะเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับที่ 6 ของโลกเลยทีเดียว

กลับมาที่ทรัมป์ ทรัมป์นี่ไม่ใช่แค่คนไม่คาดหมายว่าจะได้เป็นประธานาธิบดีนะครับ แต่ตอนที่แข่งเป็นตัวแทนสมาชิกพรรครีพับลิกัน คนก็ไม่คาดหมายมาก่อนว่า ทรัมป์จะชนะได้เป็นตัวพรรคมาชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เพราะมีคนบอกว่าบุคลิกของทรัมป์นั้นขัดกับความเป็นรีพับลิกันที่เป็นคนพวกอนุรักษนิยม แต่ทรัมป์ก็ฝ่าฝันจนเกิดเป็น “ปรากฏการณ์ทรัมป์” สถานีโทรทัศน์หลายช่องต้องปรับตัวเพื่อรับกระแสทรัมป์ ทำให้ทรัมป์ได้เวลาไปแบบฟรีๆ จนทรัมป์ชนะได้เป็นตัวแทนพรรค

เมื่อมาเจอกับฮิลลารีสื่อและนักวิเคราะห์มองว่าทรัมป์ไม่มีทางชนะ เพราะทรัมป์มีจุดยืนทางการเมืองไม่ชัดเจน และรวมถึงเรื่องการพูดที่มีลักษณะเหยียดเพศ เหยียดผิว เหยียดศาสนา เหยียดเชื้อชาติ ฯลฯ

แต่การพูดแบบไม่กลัวเสียภาพลักษณ์และคะแนนนิยมของทรัมป์นี่แหละตรงคนอเมริกันที่เบื่อโวหาร และการบริหารแบบนักการเมืองในระบบเดิม จึงหันมาลงคะแนนให้ทรัมป์จำนวนมากโดยเฉพาะคนอเมริกันระดับล่าง ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายก็พอจะพูดได้ว่าทรัมป์เป็นส่วนผสมระหว่างทักษิณกับชูวิทย์คือ ร่ำรวยจากธุรกิจแล้วมาเล่นการเมืองแบบทักษิณ ซึ่งเข้ามาในตอนที่คนเบื่อชวนพอดีแต่มีความบ้าระห่ำไม่ห่วงภาพลักษณ์แบบชูวิทย์ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าทรัมป์จะมีพฤติกรรมแบบทักษิณนะ

แล้วรู้มั้ยว่าทรัมป์ใช้เงินหาเสียงน้อยกว่าฮิลลารีมาก โดยทรัมป์มุ่งไปที่โซเชียลมีเดีย ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊กซึ่งเป็นสื่อยุคใหม่ ฮิลลารีกลับมุ่งไปที่ทีวีและหนังสือพิมพ์

ระหว่างหาเสียงเว็บไซต์วอชิงตันโพสต์ ไปขุดเอาวิดีโอเมื่อครั้งทรัมป์ออกรายการเรียลลิตี้เมื่อปี 2548 มาเผยแพร่ ซึ่งในคลิปดังกล่าวมีเสียงทรัมป์พูดถึงการมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิงและวิจารณ์ผู้หญิงด้วยถ้อยคำลามก ทรัมป์พูดว่า “Grab them by the pussy. You can do anything.”

แต่ก็หยุดทรัมป์ไม่ได้เพราะคนอเมริกันเบื่อสไตล์แบบพรรคเดโมแครตที่บริหารประเทศโดยโอบามามาแปดปีแบบ “โลกสวยอเมริกาโทรม” เสรีนิยม ผู้พิทักษ์โลก สิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม การแข่งขันการค้าเสรี ซึ่งทรัมป์บอกจะไม่ให้ความสนใจกับพวกนี้จะเน้นเรื่องปากท้อง ขณะเดียวกันพอเกิดกระแสโลกาภิวัตน์ทุนก็ไหลออกจากอเมริกันไปลงทุนที่อื่น เพราะค่าแรงต่ำกว่า จนคนอเมริกันว่างงาน แล้วทรัมป์บอกว่า จะไล่แรงงานผิดกฎหมายออกไปแล้วขึ้นค่าแรง ต่อไปจะตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้า เพื่อให้เกิดการลงทุนในประเทศ ไม่เอาแล้วข้อตกลงทางการค้ากับประเทศโน้นประเทศนี้ หรือกลุ่มการค้าที่ตั้งขึ้นมา จะเก็บภาษีคนรวยเพิ่มขึ้นและลดภาษีคนชั้นกลาง จะไม่ส่งทหารไปรบนอกประเทศ

พอทรัมป์มีนโยบายแบบนี้พวกกลุ่มทุนวอลล์สตรีทก็บอกอย่างนี้ฉิบหายแน่ จากนโยบายการค้าต่างประเทศและภาษีของทรัมป์ บางคนกลัวว่าที่ทรัมป์จะขึ้นภาษีเพื่อสกัดกั้นสินค้าที่นำเข้าจากจีนคงจะเป็นชนวนนำไปสู่สงครามทางการค้า หรือทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอยได้ พวกนี้พากันต่อต้านทรัมป์กันใหญ่ ทั้งสื่อ ทั้งโพล และนักวิเคราะห์จึงบอกว่าทรัมป์แพ้แน่

แม้แต่นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการแดงยังบอกว่า ทรัมป์แพ้แน่ๆ นิธิบอกว่าทรัมป์วิเคราะห์ปัญหาเศรษฐกิจผิดพลาดอย่างที่ไม่มีนักเศรษฐศาสตร์สำนักไหนเห็นด้วย เสนอแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างไร้เดียงสา ข้อกล่าวหาพร้อมหลักฐานเกี่ยวกับความคิดเห็น และพฤติกรรมทางเพศวิถี เพศภาวะ และเพศรส ที่คนอเมริกันไม่เห็นด้วยไปจนขยะแขยง

ต้องเชื่อนะครับเพราะนิธิแกเชี่ยวชาญเรื่องเพศวิถี เพศภาวะ และเพศรส

แต่สุดท้ายทรัมป์ก็ชนะฮิลลารีได้เป็นประธานาธิบดีด้วยสไตล์แบบทักษิณ (ในวันที่เรายังไม่เห็นธาตุแท้) บวกกับชูวิทย์นั่นแหละ
กำลังโหลดความคิดเห็น