1. ความในใจ
ตั้งแต่เขียนคอลัมน์ประจำมากว่า 10 ปี ผมยังไม่เคยเขียนถึงปัญหาของชาวนาโดยตรงและไม่เคยเปิดเผยตัวเองเลยว่า ผมเป็นลูกชาวนา ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะรู้สึกเป็นปมด้อย แต่เรื่องที่ผมให้ความสนใจและเขียนถึงส่วนใหญ่เป็นเรื่องพลังงานและสิ่งแวดล้อมซึ่งมีคนเขียนน้อย
มาวันนี้ ชาวนาไทยกำลังประสบปัญหาราคาข้าวตกต่ำ สังคมไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนชั้นกลางได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้ค่อนข้างมาก ประกอบกับผมเองได้มีโอกาสไปเยี่ยมบ้านชาวนาญี่ปุ่นหลังเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิด จึงถือโอกาสนี้นำเสนอทั้งปัญหาของชาวนาไทยซึ่งเป็นปัญหาของพ่อแม่ผมเอง และปัญหาของชาวนาญี่ปุ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดของปัญญาชนญี่ปุ่นที่ได้ผันตัวเองมาเป็นชาวนา
2. บทบาทลูกชาวนาในวัยเด็ก
ผมจำไม่ได้ว่า ผมเริ่มเกี่ยวข้าวตอนกี่ขวบ แต่จำได้ดีว่า หลังจากผมส่งข้าวกำแรกที่ผมเกี่ยวให้พ่อเพื่อผูกเลียง พ่อบอกว่า “กูนึกว่ามึงเป็นคนทำงานเรียบร้อย” เพราะข้าวที่ผมเกี่ยวคอรวงยาวไม่เสมอกันเลย
ตอนวัยเด็กผมมักจะถูกใช้ให้เอาข้าวเปลือกไปแลกข้าวสารที่โรงสีเล็กๆ ซึ่งไม่ไกลนัก ถ้าข้าวเปลือกแห้งดีและมีเมล็ดลีบไม่มากนักจำนวน 10 กิโลกรัม จะได้ข้าวสาร 6 กิโลกรัมกลับบ้าน เป็นเช่นนี้มาตลอดจนสามารถจำได้อย่างขึ้นใจ
ในปี 2518 ยุคที่นักศึกษาสนใจปัญหาชาวนาชาวไร่ โจทย์หนึ่งที่นักศึกษาอยากจะทราบก็คือ อัตราส่วนในการเปลี่ยนข้าวเปลือกมาเป็นข้าวสาร ผมจำได้ว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์ว่า “ข้าวเปลือก 10 กิโลกรัม ได้ข้าวสาร 5 กิโลกรัม” ผมรู้สึกโกรธมากเพราะว่าเป็นการแหกตาลูกชาวนา
ก่อนเขียนบทความนี้ ผมได้สอบถามพี่ชายซึ่งเคยเป็นชาวนาและผันตัวเองมาเป็นเจ้าของโรงสีขนาดเล็กนานถึง 15 ปี ก่อนที่จะถูกกองทัพนากุ้งบุก บอกว่า “ถ้าข้าวเปลือกแยกเมล็ดลีบและเอาสิ่งเจือปนออกอย่างดี (เรียกว่าข้าวโรย) 1,000 กิโลกรัมจะได้ข้าวสาร 640 กิโลกรัม” มากกว่าที่ผมได้กล่าวในตอนต้นเสียอีก
โรงสีของพี่ผมสีข้าวสารได้ปีละประมาณ 500-600 เกวียนเป็นโรงสีมือสอง ใช้เงินลงทุนประมาณ 2 แสนบาท สามารถเลี้ยงครอบครัวได้อย่างสบายๆ แม้เพียงรับแลกข้าวเปลือกกับข้าวสารอย่างเดียวในอัตรา 10 ต่อ 6 กิโลกรัม ก็ยังมีกำไร เพราะมีรายได้จากการขายปลายข้าวและรำข้าววันละไม่ต่ำกว่า 500 บาท นอกจากนี้ ทุกๆ 1,000 กิโลกรัมข้าวเปลือกจะมีข้าวสารเหลืออีก 16 กิโลกรัม หลังจากให้เจ้าของข้าวเปลือกไปแล้ว 600 กิโลกรัม
กำไรของเจ้าของโรงสีอีกก้อนหนึ่ง จะได้จากการรับซื้อข้าวเปลือกในช่วงหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวเสร็จใหม่ๆ (เดือน 5) เพราะมีราคาถูก แล้วนำไปขายในราคาสูงกว่าในช่วงเดือน 12 เขาจะเรียกการกดราคาหรือกลไกการตลาด ผมไม่ทราบครับ
ผมได้สอบถามราคาข้าวสารที่พี่ผมซื้อกินในตอนนี้ได้ความว่า ถังละ 350-450 บาท เฉลี่ยกิโลกรัมละ 25 บาท ถ้ายึดราคาข้าวสารที่กิโลกรัมละ 25 บาท เราสามารถคำนวณได้ว่าราคาข้าวเปลือกควรจะอยู่ที่ 15 บาทต่อกิโลกรัม หรือเกวียนละ 15,000 บาท ไม่ใช่ 7,000 บาท ดังที่เป็นอยู่ตอนนี้นี่คือกำไรของพ่อค้า
ผมได้สรุปไว้ดังตารางข้างล่างนี้เพื่อให้ดูกันง่ายๆ ครับ

3. ปัญหาชาวนาไทย คือปัญหาการถูกเอาเปรียบเชิงโครงสร้าง
ตอนที่เรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 (2515) ผมเป็นประธาน “ชมรมการพูดการเขียน” เราได้ออกหนังสือชื่อ “ปฏิวัติ” ผมได้เขียนงานชิ้นหนึ่ง โดยเปรียบชาวนาเป็นเสมือน “นั่งร้านของชาติ” ไม่ใช่ “กระดูกสันหลังของชาติ” ตามที่ทางราชการพยายามปลอบใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วชาวนาได้ถูกเหยียบย่ำและถูกทอดทิ้งเหมือนนั่งร้านจากนโยบายของรัฐมาตลอด
พูดกันชัดๆ ก็คือในตอนนั้น รัฐบาลเก็บภาษีส่งออกข้าวที่เรียกกันว่า “พรีเมียมข้าว (rice premium)” ในราคาที่สูงมาก โดยในปี พ.ศ. 2499 ร้อยละ 16.6 ของงบประมาณของรัฐบาลมาจากค่าพรีเมียมข้าวนี้ (จากบทความที่อ้างถึงในภาพ) และเคยสูงถึงร้อยละ 32 ในปี 2496
ตัวเลขดังกล่าว ยืนยันได้ว่าชาวนาคือผู้ที่หาเงินให้รัฐบาลใช้ครับ

จากกราฟจะเห็นได้ว่า ในปี 2516 รัฐบาลเก็บภาษีส่งออกข้าว (ซึ่งก็คือเงินจากชาวนานั่นเอง) ในราคาตันละ 530 บาท ในขณะที่ผมซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยได้รับเงินเดือน 1,360 บาท แทบไม่ต้องจ่ายภาษี ขณะเดียวกัน นักลงทุน เช่น บริษัทน้ำตาล บริษัทยางรถยนต์ เป็นต้น จะได้รับการยกเว้นภาษีจากโครงการบีโอไอ โดยอ้างอย่างสวยหรูว่าเพื่อทดแทนการนำเข้า แต่ความจริงก็คือ “กูช่วยเหลือพวกกูเอง” ซึ่งในระยะหลังแม้แต่โรงงานผลิตรังนกก็ยังได้รับการส่งเสริมการลงทุน
นี่คือความไม่เป็นธรรมเชิงโครงสร้างที่ชาวนาไทยได้รับมาโดยตลอดจนกลายเป็น “ความทุกข์สะสม” แม้ได้รับการยกเลิกไปแล้วก็แทบไม่มีประโยชน์เพราะชาวนาไทยเหลือแต่ร่างผุๆ
ในเชิงสังคม ระบบการศึกษาไทยก็สอนให้คนดูถูกและรังเกียจชาวนา ในช่วงปี 2512 แม้ชาวนาเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่จำนวนนักศึกษาในมหาวิทยาลัยก็มีลูกชาวนาเพียง 5% เท่านั้น
อนึ่ง เพื่อให้คนได้เข้าใจถึงมูลค่าของเงินในช่วนนั้น พี่ชายผมคนเดิมได้ย้ำว่า ในปี 2514 ราคาทองคำบาทละ 400 บาท ที่จำได้แม่นเพราะว่า โดนแม่ยายด่าที่เอาสร้อยวันแต่งงานไปขายเพื่อนำเงินไปซื้อที่นา ถ้าไม่มีการเก็บค่าพรีเมียมข้าวพี่ผมคงไม่ต้องขายทองคำมาซื้อที่นา เพราะทุกๆ ประมาณไม่ถึงสองเกวียนข้าวเปลือกรายได้ของชาวนาจะเพิ่มขึ้นอีกเท่ากับราคาทองคำ 1 บาทกว่าๆ
4. เยี่ยมบ้านชาวนาญี่ปุ่น
เมื่อเดือนมิถุนายน 2557 ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมบ้านชาวนาญี่ปุ่นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะระเบิด แม้ประเด็นจะเน้นไปที่ผลกระทบ แต่ก็ทำให้เข้าใจภาพรวมของปัญหาชาวนาญี่ปุ่นได้พอสมควร
ชาวนาที่คณะของผมไปเยี่ยมคือคุณอะคิฮิโร (ขออภัยที่จดชื่อมาได้แค่นี้) อายุ 47 ปี โดยที่ตัวเขาเองไม่ได้เป็นลูกชาวนา พ่อของเขาเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งที่ไปตั้งสาขาในประเทศมาเลเซีย ตัวเขาเองจบปริญญาตรีในสาขาเกี่ยวกับอุตสาหกรรมผลิตเหล็ก จึงต้องไปเข้าอบรมการทำนานาน 1 ปี ผมขอนำรูปมาให้ดูกันก่อน เผื่อว่าจะได้เข้าใจได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องบรรยายกันมาก


คุณอะคิฮิโร เล่าว่า ตนทำนา 9 ไร่ ปลูกผักอีก 3 ไร่ และเลี้ยงไก่ไข่ 150 ตัว เขาผลิตอาหารไก่เองโดยใช้ถั่วเหลืองเป็นหลักเขาเรียกการเกษตรของเขาว่า “เกษตรอินทรีย์”
เขาเล่ามาตอนนี้ ผมก็รู้สึกตื่นเต้นแล้วครับ เพราะเกษตรกรที่ผู้เลี้ยงไก่ในบ้านเราต้องซื้อทุกอย่างตั้งแต่ลูกไก่ อาหาร และยารักษาโรค และตอนขายก็ไม่สามารถกำหนดราคาเองได้
ผมดูสารคดีทางทีวี พบว่าชาวชนบทในอินโดนีเซียยังฟักลูกเป็ดเองคราวละหนึ่งหมื่นฟอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ครอบครัวผมเคยทำเมื่อผมเป็นเด็ก และใช้ข้าวเปลือกเลี้ยงเป็ด ทำให้เรามีอาหารกินและรายได้เพิ่มขึ้น ทุกวันนี้ทำได้ยากมาก
คุณอะคิฮิโรเล่าต่อไปว่า เขาแปรรูปอาหาร ทำไส้กรอก ทำเส้นก๋วยเตี๋ยว นี่คือสิ่งที่ชาวนาบ้านเราขาดครับ สำหรับไข่ไก่และผักจะมีสมาชิกมารับซื้อถึงบ้าน หากมีเหลือก็จะนำไปฝากที่ร้านขาย ผมทราบว่ากลุ่มประชาสังคมในประเทศไทยบางกลุ่มก็พยายามผลักดันแนวคิดการเป็นสมาชิกหรือการหาตลาดไว้ก่อน
ต่อคำถามที่ว่า เรียนมาทางอุตสาหกรรมแล้วทำไมจึงกลายมาเป็นชาวนา
เขาตอบว่า “ในปี 2536 อากาศในญี่ปุ่นหนาวมาก ผลผลิตข้าวเสียหาย ข้าวญี่ปุ่นจึงไม่พอกิน มีการนำข้าวจากประเทศไทยเข้ามาแทน แต่ข้าวจากประเทศไทยไม่อร่อยและเป็นข้าวเก่า ผมจึงเริ่มคิดถึงเรื่องนี้ ตอนอยู่ประเทศมาเลเซียก็ได้เห็นสภาพปัญหาของคนรวย คนจน ประกอบกับผมเป็นคนชอบธรรมชาติ”
“ปัจจุบัน หมู่บ้านเกษตรกรในญี่ปุ่นมีปัญหามาก คนหนุ่มคนสาวนิยมเข้าไปอยู่ในเมืองใหญ่ แล้วใครจะดูแลชุมชน”
“บทบาทของเกษตรกรคือการผลิตอาหาร และเป็นผู้สร้างสมดุลให้กับระบบสิ่งแวดล้อม การที่เรามีพื้นที่นาจะทำให้น้ำท่วมได้ช้าลง และการทำนาอยู่ที่บ้านจะได้มีโอกาสดูแลคนแก่ด้วย การจะให้เกษตรกรอยู่ได้จะต้องมี น้ำ มีภูเขา และมีชุมชนเพื่อช่วยรักษาธรรมชาติ”
เขากล่าวต่อไปว่า “ปัญหาของชาวนามีมานานแล้ว เหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดเมื่อเดือนมีนาคม 2553 นั้น เป็นการทำให้ปัญหามันชัดเจนขึ้นเท่านั้น ในช่วงหลังความไว้วางใจระหว่างผู้บริโภคกับผู้ผลิตหายไป ผมเคยถามตัวเองเหมือนกันว่าจะเลิกอาชีพชาวนาดีไหม”
ยิ่งฟังไปผมได้พบกับความลึกซึ้งเชิงแนวคิดของหนุ่มคนนี้มากขึ้น “ชาวนาไม่ได้เป็นแค่อาชีพเท่านั้น แต่เป็นผู้รักษาสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมไว้สำหรับอนาคตต่อไปด้วย เป็นผู้เชื่อมโยงระหว่างคนกับคนและระหว่างคนกับธรรมชาติ ผมจึงตัดสินใจไม่หนี แต่พยายามจะแก้ปัญหา”
“วิธีการแก้ปัญหา เราต้องเป็นเพื่อนกับคนหลายคน หลายกลุ่ม ต้องมีความเข้าใจกัน ต้องรับผิดชอบชีวิตตนเอง ดูแลสุขภาพ ดูแลสิ่งแวดล้อม รักษาชุมชน คนในเมืองใหญ่ต้องซื้อทุกอย่าง ชีวิตจึงไม่มีคุณค่า คุณค่าที่แท้จริงของมนุษย์คือการดูแลสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับทุกคน” สุดยอด! ผมคิดในใจ
การเดินทางของผมครั้งนั้นใช้เวลา 8 วัน ได้เจอกับชาวนาอีก 2 ครอบครัว หนึ่งในนั้นผมได้เขียนเล่าไว้แล้วในเรื่อง “เมล็ดพันธุ์แห่งความหวัง” …เมื่อบัณฑิตสาวญี่ปุ่นผันตัวเองเป็นชาวนา หาอ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บไซต์ (http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9570000081888)
เพื่อนคนไทยที่ร่วมเดินทางไปกับผมคนหนึ่ง (คุณสนั่น ชูสกุล -เสียชีวิตปี 2559) ซึ่งได้รับทุนวิจัยไปศึกษาก่อนผมหลายเดือนได้เล่าให้ผมฟังว่า ประเทศญี่ปุ่นได้มีการปฏิรูปที่ดินครั้งใหญ่ในปีพ.ศ. 2489 โดยรัฐบาลรับซื้อที่ดินจากรายใหญ่แล้วนำมาแบ่งขายให้กับชาวนารายย่อย นอกจากนี้ยังมีกฎหมายระบุว่า ที่ดินที่เคยเป็นที่นาแล้ว ห้ามนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น ดังนั้น เราจะเห็นแปลงนาอยู่ใกล้ๆ กับตึกหลังใหญ่ๆ เต็มไปหมด
เรื่องการปฏิรูปที่ดิน เป็นปัญหาเรื้อรังของประเทศไทย ในช่วง 14 ตุลาคม 2516 ได้มีการเรียกร้องให้ปฏิรูปที่ดิน แต่ก็ไม่มีการซื้อคืนจากรายใหญ่ซึ่งบางรายมีมากถึง 6 แสนไร่ แต่ได้นำพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมมาทำการปฏิรูป
ถ้าผมจำไม่ผิดเกษตรกรไทยนับล้านคนอาศัยอยู่ในเขตป่าที่ทางรัฐอ้างว่าเป็นการบุกรุก แต่ทางชาวบ้านมีหลักฐานว่าเขาอยู่มาก่อนที่กฎหมายจะประกาศ เรื่องราวก็ยังคาราคาซังมาถึงปัจจุบัน ในบางพื้นที่ เช่น จังหวัดตาก ทางรัฐบาลก็เอาพื้นที่ที่ชาวบ้านทำกินอยู่ไปประกาศเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษให้ต่างชาติมาลงทุนอย่างไม่มีความละอายต่อบาปความ “พิเศษ” คือ การได้ใช้แรงงานต่างชาติและเสียภาษีน้อยลง!กลับมาที่ชาวนาญี่ปุ่นอีกนิดครับ ผมเห็นโรงสีข้าวหยอดเหรียญอยู่ทั่วไปครับ โดยจ่ายเงินในราคาประมาณกิโลกรัมข้าวสารละ 1 บาท ก็จะได้ข้าวสารกลับไปกิน ดูเป็นเรื่องง่ายๆ แต่เราก็ไม่ได้ค่อยคิดกัน
ผมเพิ่งทราบจากพระครูวิมลปัญญาคุณ ว่าโรงเรียนศรีแสงธรรม จังหวัดอุบลราชธานี กำลังสั่งซื้อโรงสีข้าวโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์มาสีข้าวของโรงเรียนที่นักเรียนช่วยกันปลูก และอาจจะขยายไปให้ชาวบ้านนำข้าวมาสีฟรีด้วย สาธุๆ
หวังว่าการตื่นตัวด้วยจิตใจอันเป็นกุศลของชนชั้นกลางที่จะช่วยเหลือชาวนาในครั้งนี้ จะแตกดอกออกผลเป็นสิ่งดีๆ เพื่อถวายในหลวงอย่างจริงๆ จังๆ เสียทีครับ
ตั้งแต่เขียนคอลัมน์ประจำมากว่า 10 ปี ผมยังไม่เคยเขียนถึงปัญหาของชาวนาโดยตรงและไม่เคยเปิดเผยตัวเองเลยว่า ผมเป็นลูกชาวนา ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะรู้สึกเป็นปมด้อย แต่เรื่องที่ผมให้ความสนใจและเขียนถึงส่วนใหญ่เป็นเรื่องพลังงานและสิ่งแวดล้อมซึ่งมีคนเขียนน้อย
มาวันนี้ ชาวนาไทยกำลังประสบปัญหาราคาข้าวตกต่ำ สังคมไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนชั้นกลางได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้ค่อนข้างมาก ประกอบกับผมเองได้มีโอกาสไปเยี่ยมบ้านชาวนาญี่ปุ่นหลังเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิด จึงถือโอกาสนี้นำเสนอทั้งปัญหาของชาวนาไทยซึ่งเป็นปัญหาของพ่อแม่ผมเอง และปัญหาของชาวนาญี่ปุ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดของปัญญาชนญี่ปุ่นที่ได้ผันตัวเองมาเป็นชาวนา
2. บทบาทลูกชาวนาในวัยเด็ก
ผมจำไม่ได้ว่า ผมเริ่มเกี่ยวข้าวตอนกี่ขวบ แต่จำได้ดีว่า หลังจากผมส่งข้าวกำแรกที่ผมเกี่ยวให้พ่อเพื่อผูกเลียง พ่อบอกว่า “กูนึกว่ามึงเป็นคนทำงานเรียบร้อย” เพราะข้าวที่ผมเกี่ยวคอรวงยาวไม่เสมอกันเลย
ตอนวัยเด็กผมมักจะถูกใช้ให้เอาข้าวเปลือกไปแลกข้าวสารที่โรงสีเล็กๆ ซึ่งไม่ไกลนัก ถ้าข้าวเปลือกแห้งดีและมีเมล็ดลีบไม่มากนักจำนวน 10 กิโลกรัม จะได้ข้าวสาร 6 กิโลกรัมกลับบ้าน เป็นเช่นนี้มาตลอดจนสามารถจำได้อย่างขึ้นใจ
ในปี 2518 ยุคที่นักศึกษาสนใจปัญหาชาวนาชาวไร่ โจทย์หนึ่งที่นักศึกษาอยากจะทราบก็คือ อัตราส่วนในการเปลี่ยนข้าวเปลือกมาเป็นข้าวสาร ผมจำได้ว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์ว่า “ข้าวเปลือก 10 กิโลกรัม ได้ข้าวสาร 5 กิโลกรัม” ผมรู้สึกโกรธมากเพราะว่าเป็นการแหกตาลูกชาวนา
ก่อนเขียนบทความนี้ ผมได้สอบถามพี่ชายซึ่งเคยเป็นชาวนาและผันตัวเองมาเป็นเจ้าของโรงสีขนาดเล็กนานถึง 15 ปี ก่อนที่จะถูกกองทัพนากุ้งบุก บอกว่า “ถ้าข้าวเปลือกแยกเมล็ดลีบและเอาสิ่งเจือปนออกอย่างดี (เรียกว่าข้าวโรย) 1,000 กิโลกรัมจะได้ข้าวสาร 640 กิโลกรัม” มากกว่าที่ผมได้กล่าวในตอนต้นเสียอีก
โรงสีของพี่ผมสีข้าวสารได้ปีละประมาณ 500-600 เกวียนเป็นโรงสีมือสอง ใช้เงินลงทุนประมาณ 2 แสนบาท สามารถเลี้ยงครอบครัวได้อย่างสบายๆ แม้เพียงรับแลกข้าวเปลือกกับข้าวสารอย่างเดียวในอัตรา 10 ต่อ 6 กิโลกรัม ก็ยังมีกำไร เพราะมีรายได้จากการขายปลายข้าวและรำข้าววันละไม่ต่ำกว่า 500 บาท นอกจากนี้ ทุกๆ 1,000 กิโลกรัมข้าวเปลือกจะมีข้าวสารเหลืออีก 16 กิโลกรัม หลังจากให้เจ้าของข้าวเปลือกไปแล้ว 600 กิโลกรัม
กำไรของเจ้าของโรงสีอีกก้อนหนึ่ง จะได้จากการรับซื้อข้าวเปลือกในช่วงหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวเสร็จใหม่ๆ (เดือน 5) เพราะมีราคาถูก แล้วนำไปขายในราคาสูงกว่าในช่วงเดือน 12 เขาจะเรียกการกดราคาหรือกลไกการตลาด ผมไม่ทราบครับ
ผมได้สอบถามราคาข้าวสารที่พี่ผมซื้อกินในตอนนี้ได้ความว่า ถังละ 350-450 บาท เฉลี่ยกิโลกรัมละ 25 บาท ถ้ายึดราคาข้าวสารที่กิโลกรัมละ 25 บาท เราสามารถคำนวณได้ว่าราคาข้าวเปลือกควรจะอยู่ที่ 15 บาทต่อกิโลกรัม หรือเกวียนละ 15,000 บาท ไม่ใช่ 7,000 บาท ดังที่เป็นอยู่ตอนนี้นี่คือกำไรของพ่อค้า
ผมได้สรุปไว้ดังตารางข้างล่างนี้เพื่อให้ดูกันง่ายๆ ครับ
3. ปัญหาชาวนาไทย คือปัญหาการถูกเอาเปรียบเชิงโครงสร้าง
ตอนที่เรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 (2515) ผมเป็นประธาน “ชมรมการพูดการเขียน” เราได้ออกหนังสือชื่อ “ปฏิวัติ” ผมได้เขียนงานชิ้นหนึ่ง โดยเปรียบชาวนาเป็นเสมือน “นั่งร้านของชาติ” ไม่ใช่ “กระดูกสันหลังของชาติ” ตามที่ทางราชการพยายามปลอบใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วชาวนาได้ถูกเหยียบย่ำและถูกทอดทิ้งเหมือนนั่งร้านจากนโยบายของรัฐมาตลอด
พูดกันชัดๆ ก็คือในตอนนั้น รัฐบาลเก็บภาษีส่งออกข้าวที่เรียกกันว่า “พรีเมียมข้าว (rice premium)” ในราคาที่สูงมาก โดยในปี พ.ศ. 2499 ร้อยละ 16.6 ของงบประมาณของรัฐบาลมาจากค่าพรีเมียมข้าวนี้ (จากบทความที่อ้างถึงในภาพ) และเคยสูงถึงร้อยละ 32 ในปี 2496
ตัวเลขดังกล่าว ยืนยันได้ว่าชาวนาคือผู้ที่หาเงินให้รัฐบาลใช้ครับ
จากกราฟจะเห็นได้ว่า ในปี 2516 รัฐบาลเก็บภาษีส่งออกข้าว (ซึ่งก็คือเงินจากชาวนานั่นเอง) ในราคาตันละ 530 บาท ในขณะที่ผมซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยได้รับเงินเดือน 1,360 บาท แทบไม่ต้องจ่ายภาษี ขณะเดียวกัน นักลงทุน เช่น บริษัทน้ำตาล บริษัทยางรถยนต์ เป็นต้น จะได้รับการยกเว้นภาษีจากโครงการบีโอไอ โดยอ้างอย่างสวยหรูว่าเพื่อทดแทนการนำเข้า แต่ความจริงก็คือ “กูช่วยเหลือพวกกูเอง” ซึ่งในระยะหลังแม้แต่โรงงานผลิตรังนกก็ยังได้รับการส่งเสริมการลงทุน
นี่คือความไม่เป็นธรรมเชิงโครงสร้างที่ชาวนาไทยได้รับมาโดยตลอดจนกลายเป็น “ความทุกข์สะสม” แม้ได้รับการยกเลิกไปแล้วก็แทบไม่มีประโยชน์เพราะชาวนาไทยเหลือแต่ร่างผุๆ
ในเชิงสังคม ระบบการศึกษาไทยก็สอนให้คนดูถูกและรังเกียจชาวนา ในช่วงปี 2512 แม้ชาวนาเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่จำนวนนักศึกษาในมหาวิทยาลัยก็มีลูกชาวนาเพียง 5% เท่านั้น
อนึ่ง เพื่อให้คนได้เข้าใจถึงมูลค่าของเงินในช่วนนั้น พี่ชายผมคนเดิมได้ย้ำว่า ในปี 2514 ราคาทองคำบาทละ 400 บาท ที่จำได้แม่นเพราะว่า โดนแม่ยายด่าที่เอาสร้อยวันแต่งงานไปขายเพื่อนำเงินไปซื้อที่นา ถ้าไม่มีการเก็บค่าพรีเมียมข้าวพี่ผมคงไม่ต้องขายทองคำมาซื้อที่นา เพราะทุกๆ ประมาณไม่ถึงสองเกวียนข้าวเปลือกรายได้ของชาวนาจะเพิ่มขึ้นอีกเท่ากับราคาทองคำ 1 บาทกว่าๆ
4. เยี่ยมบ้านชาวนาญี่ปุ่น
เมื่อเดือนมิถุนายน 2557 ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมบ้านชาวนาญี่ปุ่นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะระเบิด แม้ประเด็นจะเน้นไปที่ผลกระทบ แต่ก็ทำให้เข้าใจภาพรวมของปัญหาชาวนาญี่ปุ่นได้พอสมควร
ชาวนาที่คณะของผมไปเยี่ยมคือคุณอะคิฮิโร (ขออภัยที่จดชื่อมาได้แค่นี้) อายุ 47 ปี โดยที่ตัวเขาเองไม่ได้เป็นลูกชาวนา พ่อของเขาเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งที่ไปตั้งสาขาในประเทศมาเลเซีย ตัวเขาเองจบปริญญาตรีในสาขาเกี่ยวกับอุตสาหกรรมผลิตเหล็ก จึงต้องไปเข้าอบรมการทำนานาน 1 ปี ผมขอนำรูปมาให้ดูกันก่อน เผื่อว่าจะได้เข้าใจได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องบรรยายกันมาก
คุณอะคิฮิโร เล่าว่า ตนทำนา 9 ไร่ ปลูกผักอีก 3 ไร่ และเลี้ยงไก่ไข่ 150 ตัว เขาผลิตอาหารไก่เองโดยใช้ถั่วเหลืองเป็นหลักเขาเรียกการเกษตรของเขาว่า “เกษตรอินทรีย์”
เขาเล่ามาตอนนี้ ผมก็รู้สึกตื่นเต้นแล้วครับ เพราะเกษตรกรที่ผู้เลี้ยงไก่ในบ้านเราต้องซื้อทุกอย่างตั้งแต่ลูกไก่ อาหาร และยารักษาโรค และตอนขายก็ไม่สามารถกำหนดราคาเองได้
ผมดูสารคดีทางทีวี พบว่าชาวชนบทในอินโดนีเซียยังฟักลูกเป็ดเองคราวละหนึ่งหมื่นฟอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ครอบครัวผมเคยทำเมื่อผมเป็นเด็ก และใช้ข้าวเปลือกเลี้ยงเป็ด ทำให้เรามีอาหารกินและรายได้เพิ่มขึ้น ทุกวันนี้ทำได้ยากมาก
คุณอะคิฮิโรเล่าต่อไปว่า เขาแปรรูปอาหาร ทำไส้กรอก ทำเส้นก๋วยเตี๋ยว นี่คือสิ่งที่ชาวนาบ้านเราขาดครับ สำหรับไข่ไก่และผักจะมีสมาชิกมารับซื้อถึงบ้าน หากมีเหลือก็จะนำไปฝากที่ร้านขาย ผมทราบว่ากลุ่มประชาสังคมในประเทศไทยบางกลุ่มก็พยายามผลักดันแนวคิดการเป็นสมาชิกหรือการหาตลาดไว้ก่อน
ต่อคำถามที่ว่า เรียนมาทางอุตสาหกรรมแล้วทำไมจึงกลายมาเป็นชาวนา
เขาตอบว่า “ในปี 2536 อากาศในญี่ปุ่นหนาวมาก ผลผลิตข้าวเสียหาย ข้าวญี่ปุ่นจึงไม่พอกิน มีการนำข้าวจากประเทศไทยเข้ามาแทน แต่ข้าวจากประเทศไทยไม่อร่อยและเป็นข้าวเก่า ผมจึงเริ่มคิดถึงเรื่องนี้ ตอนอยู่ประเทศมาเลเซียก็ได้เห็นสภาพปัญหาของคนรวย คนจน ประกอบกับผมเป็นคนชอบธรรมชาติ”
“ปัจจุบัน หมู่บ้านเกษตรกรในญี่ปุ่นมีปัญหามาก คนหนุ่มคนสาวนิยมเข้าไปอยู่ในเมืองใหญ่ แล้วใครจะดูแลชุมชน”
“บทบาทของเกษตรกรคือการผลิตอาหาร และเป็นผู้สร้างสมดุลให้กับระบบสิ่งแวดล้อม การที่เรามีพื้นที่นาจะทำให้น้ำท่วมได้ช้าลง และการทำนาอยู่ที่บ้านจะได้มีโอกาสดูแลคนแก่ด้วย การจะให้เกษตรกรอยู่ได้จะต้องมี น้ำ มีภูเขา และมีชุมชนเพื่อช่วยรักษาธรรมชาติ”
เขากล่าวต่อไปว่า “ปัญหาของชาวนามีมานานแล้ว เหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดเมื่อเดือนมีนาคม 2553 นั้น เป็นการทำให้ปัญหามันชัดเจนขึ้นเท่านั้น ในช่วงหลังความไว้วางใจระหว่างผู้บริโภคกับผู้ผลิตหายไป ผมเคยถามตัวเองเหมือนกันว่าจะเลิกอาชีพชาวนาดีไหม”
ยิ่งฟังไปผมได้พบกับความลึกซึ้งเชิงแนวคิดของหนุ่มคนนี้มากขึ้น “ชาวนาไม่ได้เป็นแค่อาชีพเท่านั้น แต่เป็นผู้รักษาสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมไว้สำหรับอนาคตต่อไปด้วย เป็นผู้เชื่อมโยงระหว่างคนกับคนและระหว่างคนกับธรรมชาติ ผมจึงตัดสินใจไม่หนี แต่พยายามจะแก้ปัญหา”
“วิธีการแก้ปัญหา เราต้องเป็นเพื่อนกับคนหลายคน หลายกลุ่ม ต้องมีความเข้าใจกัน ต้องรับผิดชอบชีวิตตนเอง ดูแลสุขภาพ ดูแลสิ่งแวดล้อม รักษาชุมชน คนในเมืองใหญ่ต้องซื้อทุกอย่าง ชีวิตจึงไม่มีคุณค่า คุณค่าที่แท้จริงของมนุษย์คือการดูแลสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับทุกคน” สุดยอด! ผมคิดในใจ
การเดินทางของผมครั้งนั้นใช้เวลา 8 วัน ได้เจอกับชาวนาอีก 2 ครอบครัว หนึ่งในนั้นผมได้เขียนเล่าไว้แล้วในเรื่อง “เมล็ดพันธุ์แห่งความหวัง” …เมื่อบัณฑิตสาวญี่ปุ่นผันตัวเองเป็นชาวนา หาอ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บไซต์ (http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9570000081888)
เพื่อนคนไทยที่ร่วมเดินทางไปกับผมคนหนึ่ง (คุณสนั่น ชูสกุล -เสียชีวิตปี 2559) ซึ่งได้รับทุนวิจัยไปศึกษาก่อนผมหลายเดือนได้เล่าให้ผมฟังว่า ประเทศญี่ปุ่นได้มีการปฏิรูปที่ดินครั้งใหญ่ในปีพ.ศ. 2489 โดยรัฐบาลรับซื้อที่ดินจากรายใหญ่แล้วนำมาแบ่งขายให้กับชาวนารายย่อย นอกจากนี้ยังมีกฎหมายระบุว่า ที่ดินที่เคยเป็นที่นาแล้ว ห้ามนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น ดังนั้น เราจะเห็นแปลงนาอยู่ใกล้ๆ กับตึกหลังใหญ่ๆ เต็มไปหมด
เรื่องการปฏิรูปที่ดิน เป็นปัญหาเรื้อรังของประเทศไทย ในช่วง 14 ตุลาคม 2516 ได้มีการเรียกร้องให้ปฏิรูปที่ดิน แต่ก็ไม่มีการซื้อคืนจากรายใหญ่ซึ่งบางรายมีมากถึง 6 แสนไร่ แต่ได้นำพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมมาทำการปฏิรูป
ถ้าผมจำไม่ผิดเกษตรกรไทยนับล้านคนอาศัยอยู่ในเขตป่าที่ทางรัฐอ้างว่าเป็นการบุกรุก แต่ทางชาวบ้านมีหลักฐานว่าเขาอยู่มาก่อนที่กฎหมายจะประกาศ เรื่องราวก็ยังคาราคาซังมาถึงปัจจุบัน ในบางพื้นที่ เช่น จังหวัดตาก ทางรัฐบาลก็เอาพื้นที่ที่ชาวบ้านทำกินอยู่ไปประกาศเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษให้ต่างชาติมาลงทุนอย่างไม่มีความละอายต่อบาปความ “พิเศษ” คือ การได้ใช้แรงงานต่างชาติและเสียภาษีน้อยลง!กลับมาที่ชาวนาญี่ปุ่นอีกนิดครับ ผมเห็นโรงสีข้าวหยอดเหรียญอยู่ทั่วไปครับ โดยจ่ายเงินในราคาประมาณกิโลกรัมข้าวสารละ 1 บาท ก็จะได้ข้าวสารกลับไปกิน ดูเป็นเรื่องง่ายๆ แต่เราก็ไม่ได้ค่อยคิดกัน
ผมเพิ่งทราบจากพระครูวิมลปัญญาคุณ ว่าโรงเรียนศรีแสงธรรม จังหวัดอุบลราชธานี กำลังสั่งซื้อโรงสีข้าวโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์มาสีข้าวของโรงเรียนที่นักเรียนช่วยกันปลูก และอาจจะขยายไปให้ชาวบ้านนำข้าวมาสีฟรีด้วย สาธุๆ
หวังว่าการตื่นตัวด้วยจิตใจอันเป็นกุศลของชนชั้นกลางที่จะช่วยเหลือชาวนาในครั้งนี้ จะแตกดอกออกผลเป็นสิ่งดีๆ เพื่อถวายในหลวงอย่างจริงๆ จังๆ เสียทีครับ