ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ขณะที่ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังจะมาถึงในอีก 1 เดือนเศษๆ มหาเศรษฐี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงบัลลังก์ทำเนียบขาวจากพรรครีพับลิกัน กลับต้องเผชิญ “สัปดาห์สุดห่วย” ที่มีแต่เรื่องร้ายเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ผลการดีเบตรอบแรกที่นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ยกให้เขาเป็นฝ่ายพ่าย ฮิลลารี คลินตัน และยังถูกสื่อดังแฉว่าไม่ได้จ่ายภาษีให้รัฐมานานถึง 18 ปี
เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ชาวนิวยอร์กยังถูกโจมตีเรื่องที่ไปวิจารณ์อดีตนางงามจักรวาลชาวเวเนซุเอลา อลิเซีย มาชาโด ว่า “อ้วน น่าขยะแขยง” อีกทั้งยังไปล้อเลียนอาการ “เซ” ของ คลินตัน ในงานรำลึกเหตุวินาศกรรม 9/11 และขุดคุ้ยเรื่องความไม่ซื่อสัตย์ของอดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน มาเยาะเย้ยเธอ
ผลสำรวจจากเอ็นบีซีเมื่อวันที่ 4 ต.ค. พบว่า ฮิลลารี คลินตัน มีคะแนนขึ้นนำ โดนัลด์ ทรัมป์ ทั่วสหรัฐฯ 46-40 จุด ขณะที่โพล CNN/ORC ยกให้ คลินตัน มีคะแนนนิยมระดับประเทศ 47 จุด ส่วน ทรัมป์ ยังอยู่แค่ 42 จุด
ผลสำรวจโดยเอบีซีนิวส์/วอชิงตันโพสต์ เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ยังพบว่า ชาวอเมริกันร้อยละ 53 คิดว่า คลินตัน ทำผลงานในศึกดีเบตครั้งแรกได้ดีกว่าทรัมป์ และมีเพียงร้อยละ 18 เท่านั้นที่คิดว่า ทรัมป์ ชนะ
เมื่อต้นเดือนนี้ หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ได้งัดหลักฐานเปิดโปงว่า บริษัทของ ทรัมป์ เคยมีผลประกอบการขาดทุนสูงถึง 916 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปี 1995 ซึ่งอาจเป็นช่องทางให้เขาไม่ต้องจ่ายภาษีให้แก่รัฐมานานถึง 18 ปี แต่ถึงกระนั้น บรรดาผู้เชี่ยวชาญภาษีก็ยืนยันว่า รายงานการเสียภาษีปี 1995 ไม่มีสิ่งใดบ่งชี้ว่า ทรัมป์ กระทำผิด
รูดี จูเลียนี อดีตนายกเทศมนตรีนิวยอร์กและที่ปรึกษาสำคัญของทรัมป์ ได้ออกมาแก้ต่างแทนกันว่า รายงานชิ้นนี้เป็นข้อพิสูจน์ว่า ทรัมป์ คือ “อัจฉริยะตัวจริง” เพราะคนเป็นนักธุรกิจจะต้องรู้ช่องทางทำกำไรให้ได้มากที่สุด
“ถ้ากฎหมายภาษีเปิดช่องให้ลดหย่อนได้ คุณก็ต้องขอลดหย่อนอยู่แล้ว” เขากล่าว
ทรัมป์ เป็นผู้สมัครประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกในรอบหลายสิบปีที่ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลการเสียภาษีของตนเอง
ระหว่างการประชันวิสัยทัศน์รอบแรก ณ มหาวิทยาลัยฮอฟสตรา เมื่อวันที่ 26 ก.ย. คลินตัน ซึ่งเป็นผู้สมัครชิงประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ชี้ว่า ทรัมป์ อาจกำลังซุกซ่อน “บางสิ่งที่เลวร้าย” จึงไม่ยอมแจ้งข้อมูลภาษีอย่างตรงไปตรงมา และยังเอ่ยเป็นนัยๆ ว่ามหาเศรษฐีรายนี้ไม่ได้เสียภาษีให้รัฐมาเป็นสิบปีแล้ว
ทรัมป์ ตอบโต้แบบไม่ยี่หระว่า นั่นเป็นเพราะตน “ฉลาด”
รายงานชี้ว่า การที่ ทรัมป์ อ้างเรื่องธุรกิจขาดทุนเป็นเหตุให้ไม่ต้องเสียภาษีช่วยให้เขาทำเงินเข้ากระเป๋าหลายล้านดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนและผู้ถือหุ้นต้องแบกรับความสูญเสีย คู่สัญญาหลายรายไม่ได้รับค่าจ้าง
ผลสำรวจโดยรอยเตอร์/อิปซอสที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร (4 ต.ค.) พบว่า ชาวอเมริกันร้อยละ 67 เห็นว่าการที่ ทรัมป์ ไม่จ่ายภาษีให้รัฐเป็นความ “เห็นแก่ตัว” และร้อยละ 61 บอกว่าเข้าข่าย “ไม่รักชาติ”
แคมเปญหาเสียงของ ทรัมป์ ยังเผชิญมรสุมอีกด้านหนึ่ง เมื่อ อีริค ชไนเดอร์แมน อัยการสูงสุดรัฐนิวยอร์ก มีคำสั่งเมื่อวันที่ 30 ก.ย. ให้มูลนิธิการกุศลของ ทรัมป์ ยุติการระดมทุนภายในรัฐแห่งนี้ทันที เนื่องจากไม่ได้จดทะเบียนกับหน่วยงานของรัฐอย่างถูกต้อง โดยหากไม่ทำตามจะถือว่าเข้าข่าย “ฉ้อโกงอย่างต่อเนื่อง”
คำสั่งให้ยุติการระดมทุนนี้คาดว่าจะทำให้ ทรัมป์ ต้องเพลาๆ การวิจารณ์มูลนิธิการกุศลของครอบครัวคลินตัน (Clinton Foundation) หลังจากที่เขาเคยพยายามชี้นำให้สังคมเห็นว่า มูลนิธิคลินตันเป็นองค์กรที่ ฮิลลารี และอดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน ใช้เป็นช่องทางรับเงินจากผู้บริจาครายใหญ่ๆ และมีการเอื้อผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่มหาเศรษฐีเหล่านั้น
หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ได้ตีแผ่ความไม่ชอบมาพากลภายในมูลนิธิการกุศลของทรัมป์ เช่น การที่ ทรัมป์ นำเงินของมูลนิธิไปซื้อภาพวาดตัวเอง 2 ภาพ และนำไปติดไว้ที่สนามกอล์ฟส่วนตัวที่รัฐนิวยอร์กและฟลอริดา ซึ่งอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนกฎของกรมสรรพากรสหรัฐฯ ที่ห้ามการหาประโยชน์ให้ตนเอง (self-dealing) นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ ทรัมป์ นำเงินของมูลนิธิไปใช้ยุติคดีความที่เกี่ยวโยงกับธุรกิจของเขา โยกเงินรายได้จากบริษัทมาเข้ามูลนิธิเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี และเบิกเงินจากมูลนิธิไปจ่ายให้ แพม บอนดี อัยการสูงสุดรัฐฟลอริดา ซึ่งกำลังตรวจสอบ “มหาวิทยาลัยทรัมป์” ข้อหาใช้แผนการตลาดเชิงรุกที่เข้มข้นจนอาจเข้าข่ายต้มตุ๋นผู้บริโภค
สมาชิกพรรครีพับลิกันหลายคนเริ่มหวั่นใจว่า ทรัมป์ จะสามารถกอบกู้ภาพลักษณ์จากมรสุมข่าวฉาวในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาได้หรือไม่
“หลุมที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ขุดไว้ดักตัวเองนั้นลึกมาก” โจ วัตกินส์ อดีตผู้ช่วยของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ระบุ
“ดีเบตนัดแรกกับ คลินตัน มีผู้ชมล้นหลามเป็นประวัติการณ์ และ ทรัมป์ ยังเดินเกมพลาดอีกหลายอย่างในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงเป็นไปได้ว่าทุกอย่างอาจสายเกินไปแล้วสำหรับเขา”
อย่างไรก็ดี นักยุทธศาสตร์บางคนมองว่า ความปรารถนาของชาวอเมริกันที่อยากเห็นสหรัฐฯ เปลี่ยนไปในทิศทางใหม่ๆ ทำให้ ทรัมป์ ยังไม่หมดโอกาสเสียทีเดียว สอดคล้องกับโพลที่บ่งชี้ว่า ทรัมป์ ยังมีคะแนนนำ คลินตัน หลายขุมในแง่ที่ว่าใครจะเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่วอชิงตันได้มากกว่า
ทรัมป์ และ คลินตัน มีกำหนดขึ้นเวทีประชันวิสัยทัศน์อีก 2 ครั้งในวันอาทิตย์ที่ 9 ต.ค. และวันพุธที่ 19 ต.ค. จึงต้องติดตามกันว่า มหาเศรษฐีปากไม่มีหูรูดผู้นี้จะมีไม้เด็ดที่ช่วยพลิกสถานการณ์จนกลับมามีคะแนนสูสีหรือแซงหน้า คลินตัน ได้ก่อนวันเลือกตั้ง 8 พ.ย. หรือไม่