00 น่าชื่นชมยินดีอีกครั้งเมื่อ“กรุงเทพฯ”คว้าแชมป์เมืองที่มีผู้เดินทางมาเยือนมากที่สุดในโลกประจำปี 2559 จากผลสำรวจของ“มาสเตอร์การ์ด” รายงานครั้งนี้ไม่ได้เป็นแบบขี้หมูขี้หมาเสียด้วย โดยสำรวจ 132 เมืองทั่วโลกที่มีผู้มาเยือนมากที่สุด ซึ่งทำมาเป็นปีที่ 6 ติดต่อกันแล้ว ปีที่ผ่านๆ มา “กรุงเทพฯ”ก็ติดอันดับทอปทรี ทอปไฟว์ มาเรื่อย มาปีนี้เป็นปีทองทะยานขึ้นเบอร์ 1 ด้วยจำนวน 21.47 ล้านคน มากกว่า“ลอนดอน - ปารีส”ที่ตามมาเป็นเบอร์ 2 และ 3 ตามลำดับ
00 จากผลสำรวจที่ว่า ก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักความจำเป็นให้โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เฟส 2 ที่ “รัฐบาลลุงตู่”สั่งคิกออฟไปแล้ว เมื่อกลางเดือนก่อน ตัว“บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไปตัดริบบิ้นเปิดโครงการด้วยตัวเอง เชื่อว่าทุกคนเห็นด้วยกับการ“ขยายประตูบ้าน”ที่ส่งผลดีทั้งในแง่เศรษฐกิจ-การท่องเที่ยว แต่ก็ไม่ควรลืมว่า โครงการนี้ถูกจับตามอง และมีข้อมูลในเชิงเสียหายออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่งั้นป่านนี้ทำเสร็จไปไหนต่อไหนแล้ว เพราะคิดกันไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งเปิดใช้สุวรรณภูมิใหม่ๆ
00 สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะ “ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก”แบบนี้ มีปัจจัยสำคัญอยู่ที่กลุ่นทุนยักษ์“คิงเพาเวอร์”ผู้ผูกขาดร้านค้าปลอดภาษีในสนามบิน เนื่องจากทุกครั้งที่มีการพูดถึง“สุวรรณภูมิ เฟส 2”ก็มักมีข้อมูล หรือการตั้งข้อสังเกตว่า เจ้าของสนามบินอย่าง บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (ทอท.) มีพฤติกรรมเอื้อเอกชนยักษ์รายนี้มาโดยตลอด
00 ล่าสุดก็เป็น ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะ อดีตรองประธาน กมธ. ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ของสภาผู้แทนราษฎร ออกมา“แฉ”ว่า ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ ทอท. จงใจเอื้อประโยชน์ให้แก่“คิงเพาเวอร์”ทั้งการขยายสัญญาให้“คิงเพาเวอร์” แถมลดค่าตอบแทนที่รัฐควรได้รับ จนเป็นเหตุให้ประเทศเสียหายมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท
00 แถมยังมีปมการรื้อถอนอาคารของ“คิงเพาเวอร์”ที่กีดขวาง ทำให้โครงการล่าช้าไปถึง 2 ปีอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นพอ“ตั้งลำ”ทำเป็นโครงการได้แล้ว ก็ยังใช้“ลูกเล่น”แบ่งสัญญาแบบ“พิสดาร” อย่างอาคารผู้โดยสารหลังเดียว แต่แบ่งสัญญาเป็น 2 เฟส คือ เฟสแรก ชั้นใต้ดินกับชั้น 1 อีกเฟสเป็นชั้น 2 ขึ้นไป มาทรงนี้ถ้าได้ผู้รับเหมารายเดียวกัน ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ถ้าคนละบริษัทขึ้นมานี่ปัญหาคงตามมาอีกเป็นยวง
00 ส่วนการจัดซื้อจัดจ้างอุปกรณ์เครื่องมือสำคัญ ก็มีข่าวว่า “ล็อกสเปก–จิ้มผู้รับเหมา”กันไว้เรียบร้อย ทั้งสายพานลำเลียง-ระบบเอกซเรย์-ระบบรถไฟฟ้า จ้องเขมือบกันแบบมืออาชีพ แยกสัญญา แบ่งซื้อ แบ่งจ้าง อย่าง“ผิดสังเกต” และไม่น่าจะตรงตามระเบียบพัสดุชัดเจน เรื่องพรรค์นี้“สตง.”มองแว่บเดียวก็น่าจะดูออก อยู่ที่ว่าเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ รึป่าว ส่วน“ทอท.”นับวันก็ยิ่งจะเลอะเทอะ-เละเทะไปกันใหญ่ เจ้ากระทรวงคมนาคมอย่าง อาคม เติมพิทยาไพสิฐ - ออมสิน ชีวะพฤกษ์ น่าจะเข้าไปตรวจสอบซักหน่อยนะ ถ้าชักช้าเดี๋ยวคงมี“เจ้ากระทรวงคนใหม่”เข้ามาตรวจสอบแทน
00 เงียบฉี่ไปเลยกับกรณีที่ บอร์ด อสมท. มีมติให้ ศิวะพร ชมสุวรรณ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท. หยุดการปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราวไปตั้งแต่เมื่อต้นเดือนก.ย. ที่ผ่านมา ทาง “ศิวะพร”ก็แก้เกมด้วยการลาพักผ่อนยาวรวดเดียว 21 วัน นับถึงวันนี้ก็ครบกำหนดต้องกลับมาทำงานแล้ว แต่เจ้าตัวก็คงรู้ดีว่า หมดสิทธิ์ขาดจากตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท.ไปแล้ว หรือถ้าพูดตามข้อกฎหมาย ต้องถือว่า ไม่เคยนั่งเก้าอี้นี้ด้วยซ้ำ เพราะขัดคุณสมบัติมาตั้งแต่ต้น เนื่องจากเคยเป็นผู้บริหารในบริษัทเอกชนที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับ อสมท. และลาออกในช่วงเวลาไม่ถึง 3 ปี
00 ตัว“ศิวะพร”ตอนนี้คงทำใจ ยอมรับชะตากรรม แต่กลับมีพวก“ลุกลี้ลุกลน”กลัวไฟจะลามเข้าบ้าน เหตุมีส่วนในการสรรหา เมื่อ 2 ปีก่อน ชิ่งไปก่อนใครก็ พล.อ.สกนธ์ สัจจานิตย์ ประธานบอร์ดสรรหา ที่จู่ๆ ก็ลาออกจากบอร์ด อสมท ไปตั้งแต่ปลายเดือนส.ค. ก่อนที่เรื่องจะแดง ส่วน“บอร์ดสรรหา”ที่เหลือตอนนี้ “อยู่ไม่สุข” ล่าสุดเริ่ม“จนตรอก”ไปเกลี้ยกล่อมให้ “ศิวะพร”ทำหนังสือลาออกเข้ามา เพื่อเสนอบอร์ด ทั้งๆ ที่รู้ว่าเจ้าตัวไม่มีสิทธิ์ ย้ำชัดๆ อีกทีว่า “ถือว่าไม่เคยนั่งเก้าอี้นี้ด้วยซ้ำ” ที่สุดก็เอาหนังสือลาออกยื่นเข้าบอร์ดจนได้ แต่บอร์ดก็รับไว้เฉยๆ โดยไร้มติใดๆ ออกมา
00 ตอนนี้ก็รอลุ้นผลการพิจารณาคุณสมบัติ“ศิวะพร”จากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ที่บอร์ด อสมท. มีมติยื่นไปให้ตรวจสอบตาม พ.ร.บ.คุณสมบัติมาตรฐานสาหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 ข่าวว่าเรื่องนี้ไม่ลึกซึ้ง พิจารณาเสร็จนานแล้ว ผลไม่พลิก “ศิวะพร”ขาดคุณสมบัติ “บอร์ดสรรหา”ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย แต่ปรากฏว่า หนังสือที่จะแจ้งผลมาที่บอร์ด อสมท. ดันไปหล่นอยู่แถวหน้าห้อง สมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ไม่รู้ป่านนี้หาเจอหรือยัง.
00 จากผลสำรวจที่ว่า ก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักความจำเป็นให้โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เฟส 2 ที่ “รัฐบาลลุงตู่”สั่งคิกออฟไปแล้ว เมื่อกลางเดือนก่อน ตัว“บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไปตัดริบบิ้นเปิดโครงการด้วยตัวเอง เชื่อว่าทุกคนเห็นด้วยกับการ“ขยายประตูบ้าน”ที่ส่งผลดีทั้งในแง่เศรษฐกิจ-การท่องเที่ยว แต่ก็ไม่ควรลืมว่า โครงการนี้ถูกจับตามอง และมีข้อมูลในเชิงเสียหายออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่งั้นป่านนี้ทำเสร็จไปไหนต่อไหนแล้ว เพราะคิดกันไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งเปิดใช้สุวรรณภูมิใหม่ๆ
00 สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะ “ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก”แบบนี้ มีปัจจัยสำคัญอยู่ที่กลุ่นทุนยักษ์“คิงเพาเวอร์”ผู้ผูกขาดร้านค้าปลอดภาษีในสนามบิน เนื่องจากทุกครั้งที่มีการพูดถึง“สุวรรณภูมิ เฟส 2”ก็มักมีข้อมูล หรือการตั้งข้อสังเกตว่า เจ้าของสนามบินอย่าง บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (ทอท.) มีพฤติกรรมเอื้อเอกชนยักษ์รายนี้มาโดยตลอด
00 ล่าสุดก็เป็น ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะ อดีตรองประธาน กมธ. ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ของสภาผู้แทนราษฎร ออกมา“แฉ”ว่า ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ ทอท. จงใจเอื้อประโยชน์ให้แก่“คิงเพาเวอร์”ทั้งการขยายสัญญาให้“คิงเพาเวอร์” แถมลดค่าตอบแทนที่รัฐควรได้รับ จนเป็นเหตุให้ประเทศเสียหายมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท
00 แถมยังมีปมการรื้อถอนอาคารของ“คิงเพาเวอร์”ที่กีดขวาง ทำให้โครงการล่าช้าไปถึง 2 ปีอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นพอ“ตั้งลำ”ทำเป็นโครงการได้แล้ว ก็ยังใช้“ลูกเล่น”แบ่งสัญญาแบบ“พิสดาร” อย่างอาคารผู้โดยสารหลังเดียว แต่แบ่งสัญญาเป็น 2 เฟส คือ เฟสแรก ชั้นใต้ดินกับชั้น 1 อีกเฟสเป็นชั้น 2 ขึ้นไป มาทรงนี้ถ้าได้ผู้รับเหมารายเดียวกัน ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ถ้าคนละบริษัทขึ้นมานี่ปัญหาคงตามมาอีกเป็นยวง
00 ส่วนการจัดซื้อจัดจ้างอุปกรณ์เครื่องมือสำคัญ ก็มีข่าวว่า “ล็อกสเปก–จิ้มผู้รับเหมา”กันไว้เรียบร้อย ทั้งสายพานลำเลียง-ระบบเอกซเรย์-ระบบรถไฟฟ้า จ้องเขมือบกันแบบมืออาชีพ แยกสัญญา แบ่งซื้อ แบ่งจ้าง อย่าง“ผิดสังเกต” และไม่น่าจะตรงตามระเบียบพัสดุชัดเจน เรื่องพรรค์นี้“สตง.”มองแว่บเดียวก็น่าจะดูออก อยู่ที่ว่าเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ รึป่าว ส่วน“ทอท.”นับวันก็ยิ่งจะเลอะเทอะ-เละเทะไปกันใหญ่ เจ้ากระทรวงคมนาคมอย่าง อาคม เติมพิทยาไพสิฐ - ออมสิน ชีวะพฤกษ์ น่าจะเข้าไปตรวจสอบซักหน่อยนะ ถ้าชักช้าเดี๋ยวคงมี“เจ้ากระทรวงคนใหม่”เข้ามาตรวจสอบแทน
00 เงียบฉี่ไปเลยกับกรณีที่ บอร์ด อสมท. มีมติให้ ศิวะพร ชมสุวรรณ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท. หยุดการปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราวไปตั้งแต่เมื่อต้นเดือนก.ย. ที่ผ่านมา ทาง “ศิวะพร”ก็แก้เกมด้วยการลาพักผ่อนยาวรวดเดียว 21 วัน นับถึงวันนี้ก็ครบกำหนดต้องกลับมาทำงานแล้ว แต่เจ้าตัวก็คงรู้ดีว่า หมดสิทธิ์ขาดจากตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท.ไปแล้ว หรือถ้าพูดตามข้อกฎหมาย ต้องถือว่า ไม่เคยนั่งเก้าอี้นี้ด้วยซ้ำ เพราะขัดคุณสมบัติมาตั้งแต่ต้น เนื่องจากเคยเป็นผู้บริหารในบริษัทเอกชนที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับ อสมท. และลาออกในช่วงเวลาไม่ถึง 3 ปี
00 ตัว“ศิวะพร”ตอนนี้คงทำใจ ยอมรับชะตากรรม แต่กลับมีพวก“ลุกลี้ลุกลน”กลัวไฟจะลามเข้าบ้าน เหตุมีส่วนในการสรรหา เมื่อ 2 ปีก่อน ชิ่งไปก่อนใครก็ พล.อ.สกนธ์ สัจจานิตย์ ประธานบอร์ดสรรหา ที่จู่ๆ ก็ลาออกจากบอร์ด อสมท ไปตั้งแต่ปลายเดือนส.ค. ก่อนที่เรื่องจะแดง ส่วน“บอร์ดสรรหา”ที่เหลือตอนนี้ “อยู่ไม่สุข” ล่าสุดเริ่ม“จนตรอก”ไปเกลี้ยกล่อมให้ “ศิวะพร”ทำหนังสือลาออกเข้ามา เพื่อเสนอบอร์ด ทั้งๆ ที่รู้ว่าเจ้าตัวไม่มีสิทธิ์ ย้ำชัดๆ อีกทีว่า “ถือว่าไม่เคยนั่งเก้าอี้นี้ด้วยซ้ำ” ที่สุดก็เอาหนังสือลาออกยื่นเข้าบอร์ดจนได้ แต่บอร์ดก็รับไว้เฉยๆ โดยไร้มติใดๆ ออกมา
00 ตอนนี้ก็รอลุ้นผลการพิจารณาคุณสมบัติ“ศิวะพร”จากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ที่บอร์ด อสมท. มีมติยื่นไปให้ตรวจสอบตาม พ.ร.บ.คุณสมบัติมาตรฐานสาหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 ข่าวว่าเรื่องนี้ไม่ลึกซึ้ง พิจารณาเสร็จนานแล้ว ผลไม่พลิก “ศิวะพร”ขาดคุณสมบัติ “บอร์ดสรรหา”ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย แต่ปรากฏว่า หนังสือที่จะแจ้งผลมาที่บอร์ด อสมท. ดันไปหล่นอยู่แถวหน้าห้อง สมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ไม่รู้ป่านนี้หาเจอหรือยัง.