xs
xsm
sm
md
lg

รอยปริ “พี่ใหญ่ - น้องเล็ก” ผ่านคำสั่งมาตรา 44 ผ่าทางตันเลือกผู้ตรวจฯ

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวการเมือง


ป้อมพระสุเมรุ

จู่ๆ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 สั่งให้งดเว้นการสรรหาและการเลือกบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งใน 5 องค์กรอิสระอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

แม้คำสั่งจะระบุชัดว่าทั้ง 5 องค์กรอิสระจะประกอบไปด้วยหน่วยงานไหนบ้าง แต่กวาดตาดูแล้วห้วงเวลานี้ มีเพียง “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” เท่านั้นที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการสรรกากรรมการใหม่อยู่ ส่วนองค์กรอื่นสรรหาและแต่งตั้งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

คำสั่ง คสช.ที่ 40/2559 ที่ออกมาเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา จึงมองเป็นอื่นไม่ได้นอกจากความต้องการแก้ไขปัญหาแบบ “ตัดไฟแต่ต้นลม” ในกระบวนการสรรหาผู้ตรวจการแผ่นดินคนใหม่ แทน ศรีราชา วงศารยางกูร ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่ครบวาระไปตั้งแต่เมื่อเดือนเมษายน 2559

เป็นข่าวไปพอสมควรแลัวกับกรณีที่คณะกรรมการสรรหาผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอชื่อ นพ.เรวัต วิศรุตเวช อดีตอธิบดีกรมการแพทย์ ให้เป็นผู้เหมาะสม และส่งต่อไปยัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาลงมติเห็นชอบเป็น “คำรบที่ 2” หลังจากก่อนหน้านี้เมื่อช่วงเดือนมิถุนายน 2559 ก็เพิ่งส่งชื่อ “หมอเรวัต” ให้ สนช.โหวตรับรองไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่ก็ “สอบตก” ที่ประชุม สนช.ลงมติหนุนและค้าน 66 เสียงเท่ากัน และมีอีก 24 เสียงที่งดออกเสียง

ส่งผลให้ “หมอเรวัต” ฝันค้างไม่ผู้ตรวจการแผ่นดินตามที่คาดไว้ แต่ก็ไม่วายเดินดุ่มๆไปสมัครเข้ารับการสรรหาอีกรอบ ตลกร้ายยิ่งกว่าเมื่อคณะกรรมการสรรหาฯที่ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากสาขาต่างๆรวม 6 คน หยิบชื่อ “หมอเรวัต” เป็นผู้เหมาะสม และส่งให้ สนช. จนมีการประชุมรับวาระ และตั้งกรรมการสอบประวัติไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน

หนึ่งในคณะกรรมการสรรหาฯมีชื่อ พรเพชร พิชิตชลชัย ประธาน สนช.ร่วมอยู่ด้วย เป็น “พรเพชร” ที่ร่วมในการประชุม สนช.ที่มีมติไม่เลือก “หมอเรวัต” ด้วยเหตุผลมีความสัมพันธ์อิงแอบฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง เคยมีตำแหน่งเป็นทีมงาน “เดอะเต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ สมัยเป็น รมช.พาณิชย์ และยังเคยเป็นที่ปรึกษาฝ่ายต่างประเทศ “ขุนค้อน” สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ สมัยเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรอีกด้วย

ตอนลงมติครั้งแรก สมาชิก สนช.ดาหน้าไล่ถล่มว่า “เด็กเพื่อไทย” อยู่หลัดๆ แต่เชื่อไมว่า “พรเพชร” ที่ร่วมเป็นกรรมสรรหาฯ ก็เป็นเสียงหนึ่งที่เลือก “หมอเรวัต” ตลอด 30 รอบที่กรรมการสรรหาฯได้ลงมติกัน เป็นเหตุให้เมื่อการประชุมรับหลักการของ สนช. กล้านรงค์ จันทิก จึงถามเสียงดังฟังชัดว่า ทำไมจึงเสนอชื่อ “หมอเรวัต” กลับมาอีก แบบนี้เท่ากับว่าคณะกรรมการสรรหาฯ “ไม่เห็นหัว” ให้ความสำคัญในข้อสังเกตของ สนช.เลย

ชัดเจนแจ้มแจ๋วว่า เรื่องนี้มันไม่ธรรมดามี “ใบสั่ง” ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินคนใหม่ต้องชื่อ “เรวัต วิศรุตเวช” เท่านั้น

และในเมื่อยุคนี้ผู้มีอำนาจคือ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จึงหลีกหนีไม่พ้นที่ “บิ๊ก คสช.” จะถูกมองว่าอยู่เบื้องหลังของ “ใบสั่ง” ที่ว่า

และในขณะที่ สนช.ส่วนใหญ่แสดงความไม่พอใจที่ถูกยัดเยียดชื่อ “หมอเรวัต” หลับมาอีกครั้ง ก็มี สนช.อีกสายหนึ่งแสดงความมั่นอกมั่นใจว่า รอบนี้คงไม่ยากที่จะส่ง “หมอเรวัต” ให้ถึงฝั่งฝัน โดยมีชื่อของ “คสช.ผู้มากบารมี” เข้ามาอยู่ในท้องเรื่องว่าได้ต่อสายถึง “พรเพชร” รวมทั้ง “สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย - พีระศักดิ์ พอจิต” รองประธาน สนช. ให้คุมเกมในช่วงการโหวตรอบใหม่กันอย่างดีแล้ว หลังจากที่คราวก่อนก็มีข่าวว่า “พรเพชร” ต่อสายหา สนช.เรียงตัวเพื่อล็อบบี้ด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่สำเร็จ

ทว่า “หมอเรวัต” บุญมี แต่กรรมบัง เพราะขั้นตอนการสรรหารอบที่ 2 ยังไม่ได้ทันได้ผ่านพ้นการสอบประวัติของก็เกิดความวุ่นวายทะเลาะกันทั้งสภา เมื่อกรรมาธิการตรวจสอบประวัติฯพากันลาออกไปถึง 3 คน ท่ามกลางข่าวความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงของ “สนช.สายพี่ใหญ่” กับ “สนช.สายน้องเล็ก” เพราะหนึ่งรายที่ไขก๊อกออกไปมีชื่อ พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ เตรียมทหารรุ่น 12 เพื่อนร่วมรุ่นของ “บิ๊กตู่” อยู่ด้วย

ว่ากันว่า สายแข็งที่ส่ง “หมอเรวัต” เข้ามาไม่ใช่สายแดง สายนายใหญ่ หรือสายเจ๊ที่ไหน แท้จริงแล้ว “หมอเรวัต” มีคอนเนกชั่นพาดไปที่ “ค่ายสีน้ำเงิน” ของ เนวิน ชิดชอบ-อนุทิน ชาญวีรกุล แห่งพรรคภูมิใจไทย วิชัย ศรีวัฒนประภา แห่งคิงเพาเวอร์กรุ๊ป และ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกฯสมาคมฟุตบอลคนปัจจุบัน มากกว่า

“4 ขาใหญ่” ที่ว่ามาก็มีสายสัมพันธ์อันดีกับ “ป๋าป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ คสช.เสียด้วย

โยงไปโยงมาก็เลยมาสะดุดเรื่องที่ ผู้ตรวจการแผ่นดิน กำลังตรวจสอบขุมข่ายธุรกิจ “กลุ่มคิงเพาเวอร์” ที่ส่อไปในทางผิดกฎหมายในหลายเรื่องอยู่ ตามที่ “บิ๊กตุ้ม” พล.ร.อ.พระจุณณ์ ตามประทีป สมาชิกสภาปฏิรูปประเทศ (สปท.) ได้ยื่นเรื่องไว้ และชี้ให้เห็นว่า“คิง เพาเวอร์” ทำให้ ทอท.ขาดรายได้ไปถึง 41,000 ล้านบาท

ตรงนี้เองอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ “หมอเรวัต” ผู้ใกล้ชิดข่ายอำนาจสีน้ำเงิน จึง เป็น คนที่ถูกเลือกแล้วสำหรับเก้าอี้ผู้ตรวจการแผ่นดิน

การที่ “บิ๊กตู่” งัด “ดาบอาญาสิทธิ์” มาตรา 44 มาเบรกการสรรหา แสดงให้เห็นว่า สะดุดใจกับความไม่ชอบมาพากลครั้งนี้ไม่น้อย และเชื่อว่าหากปล่อยไว้ ไม่เพียงแต่ความขัดแย้งใน สนช.เท่านั้น ยังอาจลามมาถึงแม่น้ำสายหลักอย่าง คสช.ได้

ทั้งนี้ แม้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจะรู้กันว่า ประธานพรเพชร เป็น “สายตรงบิ๊กตู่” แต่ก็ใช่ว่ามีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะเม้ากันให้แซ่ดว่า หนึ่งในคณะที่ปรึกษาของ “พรเพชร” มี “สายตรงป๋าป้อม” ร่วมอยู่และเป็นผู้คุมเกมใน สนช.แทบจะเบ็ดเสร็จ

สนช.ผู้นี้ยิ่งใหญ่ขนาด “ชี้นิ้วสั่ง” และ “ตะคอก” ประธาน สนช.แบบไม่ไว้หน้าได้เสียด้วย

ไล่เรียงดูทีมงานกุนซือประธาน สนช. ก็ไปสะดุดกับชื่อ ชัชวาล อภิบาลศรี สมาชิก สนช. ซึ่งเมื่อเช็กจากฐานข้อมูล สนช.ชี้ให้เห็นว่า “สนช.ชัชวาล” ไม่ธรรมดาทีเดียว เพราะเป็น สนช.เพียงหนึ่งเดียวที่ไม่ได้มีชื่ออยู่ในคณะกรรมาธิการสามัญชุดใดเลย เอาง่ายๆ ก็มีหน้าที่เป็น “กุนซือ” ของประธาน สนช.เพียงอย่างเดียว

เป็น “ชัชวาล” ที่โลดแล่นในกลุ่มผู้มีอำนาจมาเป็นเวลาหลายสิบปี แม้จะไม่ได้ออกไปยืนเด่นอยู่หน้าฉาก แต่ในวงการรู้กันดีว่าคนๆนี้เป็น “ล็อบบี้ยีสต์” ระดับซูเปอร์คอนเนกชั่น เข้าได้ทุกวงการทั้งในประเทศ-ต่างประเทศ เชี่ยวชาญเรื่องการค้าขายอาวุธยุทโธปกรณ์ ทำให้เข้ากันได้กับ “บิ๊กสีเขียว” อย่างเป็นเนื้อเดียวกัน จนมีประวัติได้เป็น ส.ว.หรือ สนช.ในทุกๆครั้งที่มีการรัฐประหาร

การเข้ามาเป็น สนช.รอบนี้ “ชัชวาล” มาใน “สายป๋าป้อม” มีบทบาทอย่างสูงในการกำหนดทิศทางการดำเนินงานของ สนช. รวมทั้งตัวประธาน สนช.ด้วย แม้จะไม่ได้ออกหน้าก็ตาม

อย่างการลงโทษ 2 ข้าราชการระดับสูงของสภาผู้แทนราษฎร ที่ “พรเพชร” ลงนามคำสั่ง ปลดออก คุณวุฒิ ตันตระกูล รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานกรรมการบริหารจัดการที่ดินในการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ฐานบริหารจัดการขนย้ายดินออกจากพื้นที่ก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ล่าช้า ทำให้กระทบกับแผนการก่อสร้าง จึงเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่องบประมาณจำนวนมาก

และไล่ออก สมชาติ ธรรมศิริ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการสภา ในความผิดให้ กรรมการจัดสร้างวัตถุมงคล (หลวงปู่ทวด) ยืมเงินจากสโมสรรัฐสภา จำนวน 3.4 ล้านบาทเศษ เพื่อจัดสร้างหลวงปู่ทวด เพื่อเปิดให้ผู้สนใจเช่าบูชา โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจะนำเข้ากองทุนสวัสดิการข้าราชการรัฐสภา โดยคำสั่งไล่ออกระบุว่า เป็นการยืมเงินโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายรองรับ อีกทั้งยังไม่สามารถนำเงินมาคืนได้ครบจำนวน

แต่สืบสาวราวเรื่องไปปรากฏว่า “คุณวุฒิ” นอกจากจะไม่ได้ทำให้การก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ล่าช้าแล้ว เนื่องจากโครงการล่าช้ามาเป็นเวลานานด้วยหลายปัจจัย ทั้งทางรัฐสภาเอง และความไม่พร้อมของเอกชนผู้รับเหมาด้วย ก็ยังพยายามขัดขวางไม่ให้เกิดการหาประโยชน์จากดินที่ได้จากการเตรียมที่ดินสำหรับการสร้างรัฐสภาใหม่

ส่วน “สมชาติ” เคยเป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษาการติดตั้งระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ซึ่งเดิมคาดว่าจะว่าจ้างบริษัทเอกชนเป็นที่ปรึกษา แต่ “สมชาติ” พร้อมด้วยคณะกรรมการพิจารณาแล้วเสนอให้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี (บางมด) เป็นที่ปรึกษาในโครงการที่มีมูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้มีผู้ไม่พอใจ “สมชาติ” ได้

สำทับกับความเห็นของกลุ่มข้าราชการสภาฯ ที่เห็นว่าบทลงโทษทั้งคู่รุนแรงเกินกว่าข้อกล่าว และเชื่อว่ามี “วาระซ่อนเร้น” อยู่ เนื่องจาก “คุณวุฒิ - สมชาติ” ถือเป็นกลุ่มข้าราชการระดับสูงของรัฐสภา หากนับในกลุ่มรองเลขาธิการ “คุณวุฒิ” มีความอาวุโสเป็นลำดับ 3 ส่วน “สมชาติ” แม้จะมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษา ซี 10 เทียบเท่ารองเลขาฯ โดยมีความอาวุโสเป็นลำดับที่ 3 ต่อจาก “คุณวุฒิ” และในการแต่งตั้งโยกย้ายช่วงเดือน ก.ย.นี้ สายทิพย์ เชาวลิตถวิล เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรคนปัจจุบัน จะเกษียณอายุราชการ ซึ่งคาดว่า “คุณวุฒิ” มีลุ้นเป็นหนึ่งในแคนดิเดตสำคัญในรอบนี้ โดยมี “สมชาติ” เข้าคิวเป็นลำดับต่อไป

กระแสข่าวว่ากันไปถึงการเปลี่ยนตัว ประธาน สนช.เป็นคนอื่น ทั้งที่ “พรเพชร” ได้ชื่อว่าเป็นคนใกล้ชิด “บิ๊กตู่” มีอยู่เนืองๆ ก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักความน่าจะเป็นของการงัดง้างกันเองระหว่าง “พี่น้องบูรพาพยัคฆ์” เมื่อใกล้จุดแตกหัก ก็ต้องงัดตัวช่วย มาตรา 44 ซึ่งเป็นอำนาจเดียวที่ “บิ๊กตู่” มีเหนือกว่ามาแก้ปัญหาไปก่อน

ศึกของ “พี่ใหญ่ - น้องเล็ก” ยังดำเนินต่อไปในลักษณะ “สงครามตัวแทน” แต่วันใดที่หันมาเผชิญหน้ากันเอง ใครจะอยู่จะไป หรือจะพังพาบไปทั้งคู่ อันนี้น่าติดตามยิ่งนัก
กำลังโหลดความคิดเห็น