เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช.คนที่ 1 เป็นประธานการประชุม ซึ่งได้แจ้งผลการสรรหาบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ตรวจการแผ่นดินคือ นายเรวัต วิศรุตเวช อดีตอธิบดีกรมการแพทย์ โดยที่ประชุมให้ความเห็นชอบตั้งคณะกรรมาธิการสามัญทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน 17 คน เช่น พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ เป็นต้น เพื่อพิจารณาตรวจสอบประวัติให้เสร็จภายใน 20 วัน แล้วส่งให้ที่ประชุม สนช.พิจารณาต่อไป
อย่างไรก็ตาม นายกล้านรงค์ จันทิก สมาชิก สนช.ตั้งข้อสังเกตกรณีคณะกรรมการสรรหาฯ เสนอชื่อนายเรวัต กลับมาอีกครั้งว่า ถือเป็นครั้งแรกของสนช.หรือสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ที่คณะกรรมการสรรหาฯเสนอชื่อบุคคลเดิม ที่ถูกสภาไม่ให้ความเห็นชอบกลับมาอีกครั้ง ซึ่งกรณีของผู้ตรวจการแผ่นดินในรอบนี้จากการลงคะแนนของ สนช. ครั้งแรกพบว่า มีคะแนนเสียงเห็นชอบและไม่เห็นชอบเท่ากันคือ 66 ต่อ 66 งดออกเสียง 24 ซึ่งการงดออกเสียงก็คือการไม่ให้เห็นชอบ เมื่อนำตัวเลขมารวมกันก็กลายเป็นเสียงไม่เห็นชอบ 90 ต่อ 66 และยังทราบว่าในกระบวนการสรรหาต้องมีการลงคะแนนถึง 30 รอบ
นายกล้านรงค์ กล่าวต่อว่า ในอดีตเคยมีการเลือกประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ป.ป.ป.) และกรรมการ ป.ป.ป. โดยรายชื่อประธานและกรรมการ ป.ป.ป. ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว แต่เมื่อเข้าที่ประชุมวุฒิสภา ปรากฏว่า วุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบตัวประธาน ป.ป.ป. จึงส่งเรื่องกลับไปยังรัฐบาล แต่รัฐบาลยังส่งชื่อประธาน ป.ป.ป. คนเดิม ซึ่งนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานวุฒิสภาขณะนั้นยืนยันว่าถ้าเสนอชื่อบุคคลเดิมเข้ามา จะถือเป็นการเสนอญัตติซ้ำ ในสมัยเดียวกันทำไม่ได้ รัฐบาลต้องเสนอรายชื่อบุคคลอื่นเข้ามาแทน
“ขอฝากให้คณะกรรมาธิการตรวจสอบลงลึกในประวัติการทำงานของผู้ได้รับการเสนอชื่อ เพราะถ้าตรวจสอบไม่ลึกพอแล้ว สนช.มีคำถามที่คณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติฯ ไม่ได้สอบถามอาจเกิดความไม่สบายใจแก่สมาชิกในการลงคะแนน เพราะต้องลงมติด้วยความรู้สึกรับรู้ข้อเท็จจริง และเหตุผลอย่างแท้จริงบนพื้นฐานของความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ ผมเห็นชื่อคณะกรรมาธิการฯแล้วเชื่อในเกียรติคุณว่าจะสามารถตรวจสอบประวัติได้อย่างลึกซึ้ง และตอบคำถามของสมาชิกได้” นายกล้านรงค์กล่าว
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการสรรหาผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งมีนายวีระพล ตั้งสุวรรณ ประธานศาลฎีกา เป็นประธาน ได้ประชุมและมีมติเลือกนายเรวัต วิศรุตเวช ด้วยคะแนน 4 ต่อ 2 จากรายชื่อผู้สมัครเข้ารับการสรรหาเป็นผู้ตรวจการแผ่นดินทั้งหมด 21 คน แทนนายศรีราชา วงศารยางกูร อดีตประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่ครบวาระเมื่อวันที่ 5 เมษษยนที่ผ่านมา โดยที่ประชุมทำการคัดเลือกถึง 30 รอบ ซึ่งรอบสุดท้ายนายเรวัตชนะนางเสาวนีย์ อัศวโรจน์ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) โดยผู้ที่ได้รับเลือกต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของคณะกรรมการสรรหาซึ่งมี 6 คน และได้นำรายชื่อเสนอที่ประชุม สนช.พิจารณาในวันนี้ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ที่ประชุม สนช.เคยมีมติไม่เห็นชอบให้นายเรวัตดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดินมาแล้ว แต่นายเรวัตก็สามารถกลับเข้ามาสมัครและผ่านการสรรหาจากคณะกรรมการฯได้อีก
อย่างไรก็ตาม นายกล้านรงค์ จันทิก สมาชิก สนช.ตั้งข้อสังเกตกรณีคณะกรรมการสรรหาฯ เสนอชื่อนายเรวัต กลับมาอีกครั้งว่า ถือเป็นครั้งแรกของสนช.หรือสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ที่คณะกรรมการสรรหาฯเสนอชื่อบุคคลเดิม ที่ถูกสภาไม่ให้ความเห็นชอบกลับมาอีกครั้ง ซึ่งกรณีของผู้ตรวจการแผ่นดินในรอบนี้จากการลงคะแนนของ สนช. ครั้งแรกพบว่า มีคะแนนเสียงเห็นชอบและไม่เห็นชอบเท่ากันคือ 66 ต่อ 66 งดออกเสียง 24 ซึ่งการงดออกเสียงก็คือการไม่ให้เห็นชอบ เมื่อนำตัวเลขมารวมกันก็กลายเป็นเสียงไม่เห็นชอบ 90 ต่อ 66 และยังทราบว่าในกระบวนการสรรหาต้องมีการลงคะแนนถึง 30 รอบ
นายกล้านรงค์ กล่าวต่อว่า ในอดีตเคยมีการเลือกประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ป.ป.ป.) และกรรมการ ป.ป.ป. โดยรายชื่อประธานและกรรมการ ป.ป.ป. ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว แต่เมื่อเข้าที่ประชุมวุฒิสภา ปรากฏว่า วุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบตัวประธาน ป.ป.ป. จึงส่งเรื่องกลับไปยังรัฐบาล แต่รัฐบาลยังส่งชื่อประธาน ป.ป.ป. คนเดิม ซึ่งนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานวุฒิสภาขณะนั้นยืนยันว่าถ้าเสนอชื่อบุคคลเดิมเข้ามา จะถือเป็นการเสนอญัตติซ้ำ ในสมัยเดียวกันทำไม่ได้ รัฐบาลต้องเสนอรายชื่อบุคคลอื่นเข้ามาแทน
“ขอฝากให้คณะกรรมาธิการตรวจสอบลงลึกในประวัติการทำงานของผู้ได้รับการเสนอชื่อ เพราะถ้าตรวจสอบไม่ลึกพอแล้ว สนช.มีคำถามที่คณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติฯ ไม่ได้สอบถามอาจเกิดความไม่สบายใจแก่สมาชิกในการลงคะแนน เพราะต้องลงมติด้วยความรู้สึกรับรู้ข้อเท็จจริง และเหตุผลอย่างแท้จริงบนพื้นฐานของความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ ผมเห็นชื่อคณะกรรมาธิการฯแล้วเชื่อในเกียรติคุณว่าจะสามารถตรวจสอบประวัติได้อย่างลึกซึ้ง และตอบคำถามของสมาชิกได้” นายกล้านรงค์กล่าว
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการสรรหาผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งมีนายวีระพล ตั้งสุวรรณ ประธานศาลฎีกา เป็นประธาน ได้ประชุมและมีมติเลือกนายเรวัต วิศรุตเวช ด้วยคะแนน 4 ต่อ 2 จากรายชื่อผู้สมัครเข้ารับการสรรหาเป็นผู้ตรวจการแผ่นดินทั้งหมด 21 คน แทนนายศรีราชา วงศารยางกูร อดีตประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่ครบวาระเมื่อวันที่ 5 เมษษยนที่ผ่านมา โดยที่ประชุมทำการคัดเลือกถึง 30 รอบ ซึ่งรอบสุดท้ายนายเรวัตชนะนางเสาวนีย์ อัศวโรจน์ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) โดยผู้ที่ได้รับเลือกต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของคณะกรรมการสรรหาซึ่งมี 6 คน และได้นำรายชื่อเสนอที่ประชุม สนช.พิจารณาในวันนี้ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ที่ประชุม สนช.เคยมีมติไม่เห็นชอบให้นายเรวัตดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดินมาแล้ว แต่นายเรวัตก็สามารถกลับเข้ามาสมัครและผ่านการสรรหาจากคณะกรรมการฯได้อีก
