ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -อุ๊ยตาย...ว้ายกรี๊ด....
เรียกว่าต้องอุทานให้เสียกิริยากันเลยทีเดียว สำหรับเรื่องราว “เตร๊ง...เตรง...เตร่ง...เตร๊งงงง...” ของ “คุณนายอู๊ด-ผ่องพรรณ จันทร์โอชา” กับกรณี “ฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนา” ที่สร้างชนิดตดยังไม่ทันหายเหม็นก็มีอันเป็นไป “พังครืน” ประจานให้เห็นกันชัดๆ ว่า ฝายที่ใช้งบประมาณสร้างมูลค่า 7,800 บาทนั้น ไม่ได้คุ้มกับ “ค่าเครื่องบิน C130” ที่ขนคณะเดินทางไปก่อสร้างเลยแม้แต่น้อย
งานนี้วงในสุดๆ รายงานตรงกันว่า ต้นเหตุที่ทำให้เรื่องแดงโร่มาจาก “ความขัดแย้งภายใน สมาคมภริยาข้าราชการกระทรวงกลาโหม” ที่คุณนายอู๊ดภรรยาของ “บิ๊กติ๊ก-พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา” ปลัดกระทรวงกลาโหม นั่งแท่นเป็นนายกฯ สมาคม เพราะถ้าไม่มีคนปล่อยทั้งข่าวปล่อยทั้งภาพออกมา ก็ไม่มีวันที่เรื่องและภาพเช่นนี้จะหลุดออกมาให้คนไทยได้เห็นเป็นแน่แท้
อย่างไรก็ตาม ผลพลอยได้ที่ “แม่ผ่องพรรณ” คนสวยที่บิ๊กติ๊กเอ่ยปากชมผ่านสื่อว่า “ผิวผ่องพรรณจริงๆ” ก็คือเธอได้กลายเป็น “เซเลบริลิตี้” ในชั่วข้ามคืนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะใครๆ ก็รู้จัก แถมเรตติ้งยังพุ่งกระฉูดไม่ต่างจากละครดังหลังข่าวอีกต่างหาก ส่วนเรื่องราวอันเป็นที่มาของความดัง เชื่อเถอะว่า จะค่อยๆ เงียบหายไปทีละน้อย
แต่ที่หนักหนาสาหัสและ “เตร๊ง...เตรง...เตร่ง...เตร๊งงงง...” เสียยิ่งกว่าฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนาของคุณนายอู๊ดก็คือเรื่องราวของ “ลูก” เรื่องราวของ “ห้างหุ้นส่วนจำกัด คอนเทมโพลารี คอนสตรัคชั่น” ซึ่งมี “หนุ่มกบ-ปฐมพล จันทร์โอชา” บุตรชายคนโตของพ่อติ๊ก-แม่อู๊ด เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ และไปรับงานก่อสร้างของกองทัพภาคที่ 3 ครั้งแต่เดือนธันวาคม 2557 ถึงเดือนเมษายน 2559 รวมทั้งสิ้น 7 โครงการ มูลค่ากว่าร้อยล้านบาท
เพราะ ยิ่งไล่เรียงข้อมูลออกมา ยิ่งเห็นชัดเจนว่า หจก.คอนเทมโพลารีฯ ของหนุ่มกบนั้นไม่ธรรมดา ชนิดที่จะอาศัย “ระฆังช่วย” เพื่อคลี่คลายปัญหาด้วยการรอคอยให้ พล.อ.ปรีชา เกษียณอายุราชการตามที่ “ฝ่ายเสนาธิการ” ปรารถนาให้เป็นคงจะไม่ได้
แม้ว่า “น้องก็คือน้อง” และ “หลานก็คือหลาน” แต่เรื่องส่วนตัวกับเรื่องผลประโยชน์ของประเทศชาตินั้น เป็นคนละเรื่องกัน ถ้าจะใช้สโลแกน “ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน” ก็จะทำให้เรื่องลุกลามบานปลายไปกันใหญ่ ดังเช่นที่ “พี่ตู่ของน้องติ๊ก” และ “ลุงตู่ของหลานกบ” บอกเอาไว้ชัดเจนว่า “พี่ช่วยอะไรไม่ได้”
ดังนั้น ทุกอย่างจำเป็นจะต้องเคลียร์
27 กันยายน 2559
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องน้องและเรื่องหลานของตนเองเอาไว้ชัดเจนว่า พล.อ.ปรีชาได้มาขอโทษ แต่ก็ไม่ได้เป็นการยอมรับว่าทำความผิด แต่ยอมรับว่าบางอย่างอาจไม่สมควรไปบ้าง และได้ยืนยันว่าได้เตรียมหลักฐานอย่างเต็มที่ ส่วนนายปฐมพลก็โตแล้ว แต่เพิ่งมาเจอหน้ากันเมื่อไม่กี่ปี เพราะตนเองเป็นคนไม่ค่อยเจอกับครอบครัว แต่ความผูกพันสายเลือดต้องมีอยู่แล้ว หากใครทำอะไรก็ต้องระวังและรับผิดชอบตัวเอง ซึ่ง พล.อ.ปรีชาไม่สามารถรับผิดชอบแทนตนได้
นี่คือสิ่งที่ถูกต้องในฐานะผู้นำประเทศ และคงต้องขอ “คารวะหนึ่งจอก” เพราะในความเป็นจริงแล้ว พล.อ.ประยุทธ์สามารถเลือกที่จะเลี่ยงตอบคำถามได้ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่ทำ
“บริษัทบ้าบอคอแตกอะไรนั่นอยากจะสอบอะไรก็สอบไป จะสอบครัว สอบส้วม ก็สอบไป จะมาโยงกับผมทำไม ไอ้ห่า ตระกูลผมเสียหาย มันคนละเรื่องคนละคน แต่ถามว่าผมรักน้องไหม ผมก็รัก แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ ผมช่วยเขาไม่ได้ และผมก็มาตะแบงชี้แจงส่งเดชไม่ได้ ผมก็ไม่ตอบโต้ให้น้องผมทางสื่อ ไปว่าตามกระบวนการ หากผิดก็ผิด”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว ซึ่งหากฟังน้ำเสียง และอ่านคำให้สัมภาษณ์ก็พอจะรับรู้ถึงอารมณ์และหัวอกของนายกฯ ลุงตู่ได้เป็นอย่างดี
นั่นหมายความว่า เรื่องของ หจก.คอนเทมโพลารี่ฯ ก็จะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบตามที่มีผู้ไปยื่นไว้ ส่วนผลจะออกมาเป็นอย่างไร จะจบอย่างไร ตอบได้เลยว่า ยากแท้หยั่งถึง แต่ถ้าจะให้เดา ก็เชื่อได้ว่า สุดท้ายเรื่องร้ายๆ ก็จะผ่านพ้นไป
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
ทั้งนี้ หลังจากที่ได้มีการเปิดเผยถึง “ความผิดปกติ” ในการคว้างานเป็นคู่สัญญารับเหมาก่อสร้างหน่วยงานภาครัฐทั้งสิ้น 11 โครงการ (สัญญา) รวมวงเงิน 155,603,000 บาท ในจำนวนนี้เป็นโครงการของกองทัพบก (กองทัพภาคที่ 3) จำนวน 7 โครงการ 97,651,000 บาท (ธ.ค.57-เม.ย.59) สำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 9 กรมทรัพยากรน้ำ 1 โครงการ 44,887,000 บาท (5 มี.ค. 58) และ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) พิษณุโลก 3 โครงการ 13,065,000 บาท (ส.ค.-ต.ค.58) เรื่องที่ซุกๆ เอาไว้ก็ถูกขุดออกมาเป็นลำดับ
ประเด็นแรก เรื่องสถานที่ตั้งของ หจก.คอมเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ซึ่งจดแจ้งเอาไว้กับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าว่า ตั้งอยู่เลขที่ 128/31007 หมู่ที่ 2 ตำบลอรัญญิก อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก
เพราะทำไปทำมา หจก.แห่งนี้มีที่ตั้งอยู่ในค่ายทหาร ซึ่งก็คือค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ กองทัพภาคที่ 3 และเป็นที่อยู่ของนายปฐมพลตามที่ระบุในบัตรประชาชน รวมทั้งเป็นบ้านพักของ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา เมื่อครั้งรับราชการในกองทัพภาคที่ 3
พล.อ.ปรีชายอมรับว่า เพิ่งทราบเรื่องที่ลูกชายใช้บ้านพักในค่ายทหารจดทะเบียนตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้าง รับงานกองทัพภาคที่ 3 เพราะไม่รู้เห็น
“เขาจัดการเองเพราะไม่มีบ้านมีแต่บ้านในค่าย ผมก็ไม่ทราบว่ามันจะทำได้หรือไม่ได้ อาจจะถามหน่วยงานที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผมพร้อมให้ตรวจสอบ พร้อมชี้แจงต่อป.ป.ช.”
กรณีนี้ ยากที่จะคาดเดาว่า ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้นหรือผิดพลาดเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ที่แน่ๆ คือเป็นสิ่งที่สังคมเห็นว่า “ไม่เหมาะสม” ยิ่งตั้งในค่ายทหารแล้วชนะงานประมูลในค่ายทหาร ก็ยิ่งไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
พล.ท.สมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล แม่ทัพภาคที่ 3 ตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า “ผมไม่ทราบรายละเอียด เพราะไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการประมูลงาน ผมดูแลกองทัพภาคที่ 3 ก็ดูแลงานคุมกำลังเป็นหลัก ส่วนการประมูลโครงการต่างๆก็มีหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลอยู่ และไม่ทราบด้วยซ้ำว่ามี หจก.ลูกพล.อ.ปรีชา เข้ามาประมูลโครงการของกองทัพภาคที่ 3 เพิ่งรู้ก็ตอนเป็นข่าว ช่วงนี้นายปฐมพลไม่ได้อยู่ค่ายแล้ว ออกไปอยู่ข้างนอกนานแล้ว”
ขณะที่ “เนติบริกร” อย่าง “วิษณุ เครืองาม” แจกแจงเอาไว้ว่า “พูดกันตรง ๆ นะ ไม่มีอะไรห้ามเลย ลองคิดว่าเป็นบ้านเช่าก็ได้ คุณไปอาศัยเขาอยู่ และขอบ้านนั้นเป็นที่ตั้งบริษัท มันก็สามารถทำได้ และถามกลับว่าถ้ามันเป็นของข้าราชการล่ะ มันก็ไม่มีปัญหานี่ ส่วนเรื่องความเหมาะสมไม่รู้ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ประเทศไทยมีอะไรที่โดยหลักการไม่น่าทำมีอีกเยอะ แต่ก็ทำ”
ประเด็นที่สอง กรณีข้อมูลอันน่าปริวิตกในการประกอบกิจการและการได้มาซึ่งการชนะงานประมูลต่างๆ แบบมีข้อกังขา เพราะบริษัทเล็กๆ ของหนุ่มกบซึ่งมิได้มีทรัพย์สินหรือผ่านการประมูลกับหน่วยงานของภาครัฐมาก่อนกลับสามารถชนะบริษัทคู่แข่งขันที่ผ่านศึกมาอย่างโชกโชนได้ชนิดค้านสายตา
จากการตรวจสอบของ “สำนักข่าวอิศรา” พบว่า ห้างหุ้นส่วนแห่งนี้ จดทะเบียนเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2555 ทุนเริ่มแรก 1 ล้านบาท ทุนปัจจุบัน 1.5 ล้านบาท จากการตรวจสอบงบการเงิน พบว่า หจก.คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น แจ้งผลประกอบการปี 2555-2556 ไม่มีรายได้
ต่อมาในปีปี 2557 รายได้ 9,583,177 บาท กำไรสุทธิ 445,227 บาท สินทรัพย์ 11,025,515 บาท หนี้สิน 9,092,666 บาท ประเภทรายการสินทรัพย์ ได้แก่ 1.สินทรัพย์หมุนเวียน 3 รายการ รวม 10,639,941 บาท ได้แก่ เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 266,894 บาท ลูกหนี้การค้า 9,583,177 บาท และ สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น 789,869 บาท 2.สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 1 รายการ ได้แก่ ที่ดินและอาคาร 385,574 บาท
ส่วนผลประกอบการปี 2558 พบมีรายได้ 45,342,927 บาท กำไรสุทธิ 1,968,111 บาท สินทรัพย์ 9,537,331 บาท หนี้สิน 5,636,371 บาท ประเภทรายการสินทรัพย์ ได้แก่ 1.สินทรัพย์หมุนเวียน 7,759,575 บาท ได้แก่ เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 806,633 บาท ลูกหนี้การค้าและลูกหนี้อื่น 6,161,028 บาท สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น 791,913 บาท 2.สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 1 รายการ ได้แก่ ที่ดินและอาคาร 1,777,756 บาท
เรียกว่าเป็นบริษัทเล็กๆ ที่สามารถรับงานใหญ่ในระดับวงเงินร้อยล้านบาทได้
ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ กรณีที่บริษัทของหนุ่มกบชนะการประมูลกองทัพภาคที่ 3 นั้น บริษัทคู่แข่ง ซึ่งภาษาการประมูลใช้คำว่า “คู่เทียบ” ไม่ใช่บริษัทโนเนม หากแต่เป็นบริษัทที่สามารถชนะการประมูลระดับพันล้านบาทมาแล้ว นั่นก็คือ บริษัท นำพลอินเตอร์เทรด จำกัด
โครงการแรกคือ โครงการก่อสร้างอาคารของกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 14 จังหวัดตาก โครงการจัดตั้งกองพลทหารราบที่ 7 ปีงบประมาณ 2558 ราคากลาง 25,411,400 บาท ซึ่งเป็นโครงการที่ประกวดราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (อี-อ๊อกชั่น)
งานนี้ บริษัทของหนุ่มกบสามารถชนะ บริษัท นำพลอินเตอร์เทรด จำกัด ด้วยวงเงิน 25,355,000 บาท ต่ำกว่าราคากลาง 56,400 บาท และ เสนอราคาต่ำกว่า บริษัท นำพลอินเตอร์เทรด จำกัด 1,900 บาท (มีผู้ร่วมแข่งขัน 4 ราย)
โครงการที่สองคือ โครงการประกวดราคาก่อสร้างอาคาร ของ โรงพยาบาลค่ายวชิรปราการ ซึ่งบริษัทของหนุ่มกบเสนอราคาต่ำสุด 13,280,000 บาท และคว้าชัยไปครอง โดยมีผู้ร่วมเสนอราคา 4 ราย คือ ก.ทวีศักดิ์ก่อสร้าง หจก. โชคนคร หจก. คอนเทมโพรารี่ คอนสตรัคชั่น และ บริษัท นำพลอินเตอร์เทรด จำกัด (ไม่มีข้อมูลการเสนอราคา)
โครงการที่สามคือ โครงการประกวดราคาจ้างก่อสร้างโรงทหาร ,ห้องน้ำ ,ส้วมทหาร ของมณฑลทหารบกที่ 36 ค่ายพ่อขุนผาเมือง จ.เพชรบูรณ์ โดยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ และเช่นเคยบริษัทของหนุ่มกบ เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด 13,790,900 บาท โดยมีผู้ร่วมเสนอราคา 3 ราย คือ หจก.ทวีศักดิ์ก่อสร้าง หจก.คอนเทมโพรารี่ คอนสตรัคชั่น และ บริษัท นำพลอินเตอร์เทรด จำกัด (ไม่มีข้อมูลการเสนอราคา)
กล่าวสำหรับบริษัท นำพลอินเตอร์เทรด จำกัด เป็นผู้รับเหมารายใหญ่ของกระทรวงกลาโหม จากการตรวจสอบพบว่า นับจากปี 2542 เป็นต้นมาจนถึงปี 2558 เอกชนรายนี้เป็นคู่สัญญา 107 โครงการ (สัญญา) รวมวงเงิน 1,589,269,109 บาท ในจำนวนนี้เป็นงานของกองทัพบก 102 โครงการ วงเงิน 1,502,449,609 บาท จำแนกลึกลงไปพบเป็นงานของกองทัพภาคที่ 3 จำนวน 82 รายการ วงเงิน 928,171,386 บาท
บริษัท นำพลอินเตอร์เทรด จำกัด แปรสภาพมาจาก ห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) นำพลอินเตอร์เทรด มีผู้ถือหุ้น 5 คน คือ 1.นายสมศักดิ์ ตันติมาสกุล ถือหุ้นใหญ่ 420,000 หุ้น (84%) 2.นางจุฬาลักษณ์ ตันติมาสกุล 40,000 หุ้น 3.นายพชรพล ตันติมาสกุล 20,000 หุ้น 4.นายนำพล ตันติมาสกุล 10,000 หุ้น 5.น.ส.อิษฎา ตันติมาสกุล 10,000 หุ้น รวม 500,000 หุ้น มูลคุ้นละ 100 บาท
งานนี้ ถ้าไม่ใช้คำว่า “ฝีมือ” ก็คงไม่รู้ว่าจะใช้คำไหนกับ หจก.คอนเทมโพรารี่ คอนสตรัคชั่น ของหนุ่มกบแล้ว
อย่างไรก็ดี ถามว่า บริษัทของหนุ่มกบได้งานของกองทัพภาคที่ 3 เยอะไหม ก็ต้องตอบว่าไม่เยอะ เพราะมีแค่ประมาณ 5% จากโครงการก่อสร้างทั้งหมดที่มีกว่า 80 โครงการ และชนะมาด้วยการประกวดราคาและเคาะราคาผ่านระบบอินเตอร์เน็ต
นอกจากนั้น บริษัทของหนุ่มกบก็ไม่ได้ชนะการประมูลกับกองทัพภาคที่ 3 เท่านั้น หากแต่ยังชนะการประมูลอีกหลายรายการ เช่น เป็นคู่สัญญากับ อบจ.พิษณุโลก 3 โครงการ ประกอบด้วย 1.ก่อสร้างอาคารป้อมยามบริเวณทางเข้าอาคารศูนย์ประวัติศาสตร์พระราชวังจันทน์ อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก วงเงิน 750,000 บาท ทำสัญญาเมื่อ 14 ส.ค. 58 (สัญญาเลขที่ 189/2558) 2.โครงการประกวดราคาจ้างปรับปรุงอาคารอนุรักษ์และจัดแสดงด้านหน้าอาคารศูนย์ประวัติศาสตร์พระราชวังจันทน์ อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก วงเงิน 6,865,000 บาท ทำสัญญาวันที่ 1 ก.ย. 58 (สัญญาเลขที่ 216/2558) 3.โครงการวางระบบไฟฟ้า เดินสายใต้ดิน ไฟฟ้าส่องสว่าง บริเวณโบราณสถานพระราชวังจันทน์ วงเงิน 5,450,000 บาท ทำสัญญาวันที่ 15 ต.ค. 58 (สัญญาเลขที่ 20/2559)
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม งานนี้ต้องเคลียร์
และในวันเดียวกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์คือวันที่ 27 กันยายน องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ก็ได้มีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดยเห็นว่า เป็นประเด็นสังคมอันอาจจะนำพาไปสู่ปัญหาของความเชื่อมั่นในความซื่อตรงของผู้นำประเทศ พร้อมทั้งเรียกร้อง 2 ข้อคือ
1.จะต้องมีการตรวจสอบติดตามให้ข้อเท็จจริงปรากฏอย่างชัดเจนและรวดเร็ว และการตรวจสอบต้องเป็นไปตามกระบวนการขั้นตอนของกฎหมายโดยไม่มีการเข้าไปก้าวก่ายหรือครอบงำอย่างเด็ดขาด ทุกอย่างต้องให้โปร่งใส อยู่ในสายตาของสาธารณชน
2. และเพื่อเป็นการป้องกันมิให้กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นอีก รัฐบาลต้องให้ความสำคัญในการกำหนดนโยบายเรื่อง ประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) ในการบริหารจัดการโครงการต่างๆ ทั้งนี้ เพราะระบบอุปถัมภ์ หรือการเอื้อประโยชน์ต่อคนใกล้ชิดเป็นจุดอ่อนของสังคมไทย และเป็นจุดเริ่มต้นที่ร้ายแรงของการทุจริตคอร์รัปชัน เป็นสิ่งที่จะต้องทำให้หมดไปจากประเทศ ต้องช่วยกันต่อต้านไม่ให้ค่านิยมในการอุปถัมภ์เป็นข้ออ้างในการทุจริตคดโกง
แปลไทยเป็นไทยก็คือ ป.ป.ช.ของ “บิ๊กกุ้ย-พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ” คนในบ้านของ “บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะต้องเข้ามาตรวจสอบให้กระจ่างแจ้งในทุกประเด็นตามที่องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน(ประเทศไทย) ให้ความเห็น รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ไฟเขียวให้ดำเนินการได้
ส่วนผลสอบจะออกมาอย่างไร จะออกมาในทิศทางเดียวกับอุทยานราชภักดิ์หรือเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม ก็คงต้องติดตามกันต่อไป
กระนั้นก็ดี สำหรับ พล.อ.ปรีชานั้น แม้ประกาศแน่ชัดแล้วว่า หลังเกษียณอายุราชการจะกลับบ้านไปเป็นคนสวน ปลูกผัก ตัดหญ้าและเลี้ยงหลาน รวมทั้ง “ไม่เคยคิดหวัง” จะกลับเข้ามาทำหน้าที่รัฐมนตรีซึ่ง “บิ๊กตู่” กำลังจะมีการปรับในอีกไม่ช้า แต่เชื่อเถอะว่า หลังผ่านเรื่องร้ายๆ จะมีหลายหน่วยงาน หลายองค์กร รอคอยให้บิ๊กติ๊กเข้าไปทำหน้าที่นอกจากตำแหน่ง “สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)”
แต่จะเป็น “บอร์ด” ไหน หน่วยงานใด อีกไม่ช้าคงรู้กัน
ขอขอบคุณข้อมูลจากสำนักข่าวอิศรา