เพื่อไทยใช้โอกาสเรื่องร้อน “ปรีชา จันทร์โอชา” น้องนายกฯ ดิสเครดิตพลเอกประยุทธ์ ยิ่งลักษณ์ฉวยจังหวะซ้ำต้องไม่เลือกปฏิบัติ วงในเผยทีมยุทธศาสตร์เพื่อไทยเตรียมขยายผล ไม่ได้หวังผลต่อรองทางคดี เพราะอยู่ในชั้นศาล แต่เป้าหลักมุ่งไปที่การสกัดนายกฯ คนนอกของ “บิ๊กตู่” ในการเลือกตั้งครั้งหน้า หวังกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งเคลียร์ทุกคดีของเพื่อไทย
กว่า 2 ปีของการตัดสินใจเข้ามายุติความขัดแย้งทางการเมืองเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี ดูเหมือนจะไปได้ดี ผลโพลสำนักต่างๆ ที่สำรวจความคิดเห็นของประชาชน ล้วนแต่ชื่นชมนายกรัฐมนตรี ชื่นชอบที่จัดการกับปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ยากที่รัฐบาลปกติจะทำได้
การเอาจริงเอาจังกับการทุจริต คอร์รัปชัน ถือเป็นจุดเด่นของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ทำให้ได้ใจคนไปไม่น้อย เห็นได้จากการเอาผิดกับโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศ ทั้งอดีตนายกรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ถูกคำสั่งทางปกครองให้มีการชำระความเสียหายให้กับประเทศ
กรณีนายบุญทรงต้องชดใช้เบื้องต้น 1,770 ล้านบาท ส่วนนางสาวยิ่งลักษณ์ต้องชดใช้ 35,717 ล้านบาท อีกทั้งยังมีคดีอาญาที่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีก ซึ่งรัฐบาลไม่ได้ปิดกั้นผู้ที่ถูกกล่าวโทษ สามารถใช้สิทธิ์ต่อสู้ได้ตามกระบวนการยุติธรรม
ขณะที่รัฐบาลได้ใช้เวทีสหประชาชาติยืนยันว่าจะเปิดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปได้ในปี 2560 เพื่อแสดงความจริงใจที่ต้องการให้การเมืองของประเทศไทยเข้าสู่ภาวะปกติ
แน่นอนว่าการเข้ามายุติปัญหาทางการเมือง พร้อมกับการเข้ามาวางและจัดระเบียบให้กับภาคการเมืองกันใหม่ ย่อมทำให้ผู้ที่สูญเสียประโยชน์เกิดอาการไม่พอใจ และหนักไปกว่านั้นคือการดำเนินคดีทั้งในส่วนของแพ่งและอาญากับพวกเขา โดยเฉพาะกำลังพลของพรรคเพื่อไทยที่หาตัวผู้นำทัพยากขึ้นทุกวัน หลังจากที่ยิ่งลักษณ์ต้องเว้นวรรคทางการเมืองไปอีก 5 ปี
แม้จะไม่สามารถทำอะไรต่อรัฐบาลนี้ได้มากนัก อีกทั้งตัวผู้นำอย่างพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ยังไม่มีบาดแผลใดให้จ้องถล่ม ทุกอย่างจึงต้องต่อสู้ไปในรูปของรัฐบาลชุดนี้ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่เป็นธรรม จ้องเล่นงานพรรคเพื่อไทย
เปิดแผลจันทร์โอชาผู้น้อง
แต่แล้วก็มาค้นพบจุดที่จะดิสเครดิตรัฐบาลชุดนี้ได้ แม้ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ตัวนายกรัฐมนตรีโดยตรง แต่พุ่งไปที่จุดอ่อนของครอบครัวน้องชายนายกรัฐมนตรีแทนนั่นคือพลเอกปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในสิ้นเดือนกันยายนนี้
3 แผลใหญ่ของพลเอกปรีชา แน่นอนว่าย่อมต้องกระทบชิ่งไปยังพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้พี่ที่กุมอำนาจอยู่ในเวลานี้
เริ่มต้นด้วย 15 เมษายน 2559 เฟสบุ๊ก หยุดดัดจริตประเทศไทย ได้นำเอาเอกสารลับในการสั่งบรรจุนายปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา อายุ 25 ปี บุตรชายของ พลเอกปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นหลานชาย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เข้ารับราชการตำแหน่งรักษาราชการนายทหารปฏิบัติการกิจการพลเรือน สังกัดกองทัพภาคที่ 3 พร้อมกับมียศร้อยตรี รับเงินเดือนจำนวน 15,000 บาท
นายปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา ลูกชายคนเล็กของพลเอกปรีชา จบการศึกษาปริญญานิเทศศาสตรบัณฑิต (สื่อสารมวลชน) มหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นการบรรจุในตำแหน่งอัตราที่ว่าง ซึ่ง ทบ.ได้พิจารณาวิชาที่ศึกษาในหลักสูตรว่าสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของตำแหน่งที่จะบรรจุได้ และท้ายคำสั่งยังอนุมัติในอำนาจของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยมี พล.อ.ปรีชา รับมอบทำการให้แทน และลงนามในคำสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
แม้จะมีความพยายามในการออกมาอธิบายต่อสังคมทั้งเจ้ากระทรวงและพี่ใหญ่อย่างพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รวมทั้งผู้เป็นลุง แต่ก็สร้างปมคาใจให้กับผู้คนในสังคมไม่น้อย
ฝายน้องสะใภ้
ถัดมาเป็นการเผยแพร่บนโลกออนไลน์เช่นเดียวกัน คราวนี้เป็นเรื่องของนางผ่องพรรณ จันทร์โอชา ภรรยาพลเอกปรีชา จันทร์โอชา ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องสะใภ้ของพลเอกประยุทธ์ โดยเมื่อ 12 กันยายน 2559 นางผ่องพรรณ จันทร์โอชา นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานมอบฝายชะลอน้ำที่จัดสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในปีมหามงคลเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี และเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษาซึ่งเป็นการดำเนินการตามโครงการพระราชดำริป่ารักษ์น้ำ ณ อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา (ปางปอย) ตำบลแม่คะ อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่
หน้างานมีป้ายขนาดใหญ่พร้อมรูปและเรียกฝายแห่งนี้ว่า “ฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนา” โดยโลกออนไลน์ได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงภาพกิจกรรมต่างๆ ที่ดูยิ่งใหญ่อลังการ
ร้อนจนพลเอกปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ต้องออกมาชี้แจงว่าสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมได้สนับสนุนงบประมาณซื้อหินจำนวน 7,800 บาท ที่เหลือชาวบ้านในพื้นที่หาไม้ไผ่มาลงแรงร่วมกันสร้างฝาย
ไม่เพียงแค่นั้นยังโยงไปถึงการใช้เครื่องบิน C130 ของกองทัพอากาศที่ใช้รับส่งคณะของภริยาสำนักงานปลัดกลาโหม ซึ่งโฆษกกองทัพอากาศชี้แจงว่า กองทัพอากาศได้รับการประสานด้วยหนังสือจากสำนักปลัดกระทรวงกลาโหมในการขอสนับสนุนเครื่องบิน C130 รับส่งคณะของปลัดกระทรวงกลาโหม ในหนังสือไม่ได้ระบุว่าเป็นคณะของสมาคมภริยาสำนักปลัดกระทรวงกลาโหมหรือพลเรือน
ตามมาด้วยการรายงานสภาพชองฝายดังกล่าวเมื่อ 23 กันยายน 2559 พบว่าดินริมตลิ่งถูกน้ำกัดเซาะ ทำให้ฝายไม่สามารถทดน้ำได้ ซึ่งเป็นการรายงานจากเฟซบุ๊ก CSI LA
รับเหมาหลานคนโต
หลังจากเรื่องของฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนา ยังไม่ทันจางหายไปจากความสนใจของคนบนโลกออนไลน์ 19 กันยายน 2559 สำนักข่าวอิศราก็มีการตรวจสอบห้างหุ้นส่วนจำกัด คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ที่มีนายปฐมพล จันทร์โอชา บุตรชายพลเอกปรีชา จันทร์โอชา เป็นผู้ถือหุ้น ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวจดทะเบียนวันที่ 4 พฤษภาคม 2555 ทุน 1,500,000 บาท รับเหมาก่อสร้างทั่วไป ที่ตั้งเลขที่ 128/31/007 ตำบลอรัญญิก อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก
ทั้งนี้ห้างหุ้นส่วนคอนเทมโพรารีฯ เป็นคู่สัญญารับเหมาหน่วยงานภาครัฐทั้งสิ้น 11 โครงการ (สัญญา) รวมวงเงิน 155,603,000 บาท โดย 7 โครงการเป็นโครงการของกองทัพบก (กองทัพภาคที่ 3) มูลค่า 97,651,000 บาท
พร้อมด้วยการตั้งข้อสังเกตถึงที่ตั้งของห้างหุ้นส่วนฯ ดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่ในค่ายทหารและเป็นบ้านพักที่พลเอกปรีชา พักระหว่างปฏิบัติหน้าที่แม่ทัพภาคที่ 3 รวมถึงทุนจดทะเบียนเพียง 1.5 ล้านบาท ซึ่งต่ำมากในการรับงานรับเหมาก่อสร้างกับภาครัฐ
ทั้งนี้พลเอกปรีชา จันทร์โอชา น้องชายพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เคยดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 3 (พิษณุโลก) ระหว่าง 1 ตุลาคม 2556-30 กันยายน 2557 จากนั้นเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกเมื่อ 1 ตุลาคม 2557-30 กันยายน 2558 จากนั้นเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมเมื่อ 1 ตุลาคม 2558 และเกษียณอายุราชการสิ้นเดือนกันยายนนี้
ยิ่งลักษณ์ฉวยจังหวะร้องเป็นธรรม
ขณะที่การดำเนินการทางปกครอง ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ เรียกค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว ในส่วนของนางสาวยิ่งลักษณ์ ทางกระทรวงการคลังได้สรุปตัวเลข 35,717 ล้านบาทเมื่อ 24 กันยายนที่ผ่านมา
รุ่งขึ้นนางสาวยิ่งลักษณ์ได้โพสต์เฟซบุ๊กตอบโต้ว่า “ทุกอย่างที่นายกฯ ยืนยันออกมาจากปากท่านว่าการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับคดีดิฉันเป็นไปตามกฎหมายไม่ได้กลั่นแกล้ง ก็อยากให้นายกฯ ใช้หลักคิดและให้ความเป็นธรรมกับดิฉันเหมือนที่ท่านให้ความเป็นธรรมและปกป้องน้องชายท่าน รวมทั้งคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพวกเดียวกับท่านเพราะกฎหมายมีไว้บังคับใช้กับทุกคนไม่ใช่เลือกปฏิบัติกับฝั่งดิฉันเพียงฝ่ายเดียว”
นับเป็นการใช้โอกาสกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของพลเอกปรีชาเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะต่อสู้ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันจี้ตรวจสอบ
3 เรื่องนี้ถือว่าทำให้พลเอกประยุทธ์หนักใจไม่น้อย แม้จะเป็นเรื่องส่วนตัวของน้องชาย แต่ในด้านของสายสัมพันธ์แล้วย่อมต้องห่วงใยกันเป็นธรรมดา อีกทั้งนับแต่เข้ามาบริหารประเทศ พลเอกประยุทธ์ให้ความสำคัญกับการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชันมาโดยตลอด จากนี้คงต้องดูว่าท่านนายกฯ จะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร หากมีการดำเนินการในลักษณะช่วยเหลือน้องชาย ฝ่ายเพื่อไทยเขาจ้องขยายผลอยู่แล้ว แม้เรื่องอาจจะไม่เหมือนกรณีทักษิณกับยิ่งลักษณ์ แต่ก็เป็นเรื่องของพี่น้องเหมือนกัน
เสียงเหน็บแนมไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบ แม้ระยะแรกจะนิ่งไประยะหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ต้องออกมาเร่งให้รัฐบาลดำเนินการ อย่าง องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ที่ออกมาแสดงจุดยืนในเรื่องดังกล่าวเมื่อ 27 กันยายน 2559 มีความเห็นต่อกรณีข่าวของครอบครัวพลเอกปรีชา จันทร์โอชา ที่กำลังเป็นประเด็นสังคมอันอาจจะนำพาไปสู่ปัญหาของความเชื่อมั่นในความซื่อตรงของผู้นำประเทศดังนี้
1. จะต้องมีการตรวจสอบติดตามให้ข้อเท็จจริงปรากฏอย่างชัดเจนและรวดเร็ว และการตรวจสอบต้องเป็นไปตามกระบวนการขั้นตอนของกฎหมายโดยไม่มีการเข้าไปก้าวก่ายหรือครอบงำอย่างเด็ดขาด ทุกอย่างต้องให้โปร่งใส อยู่ในสายตาของสาธารณชน
2. และเพื่อเป็นการป้องกันมิให้กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นอีก รัฐบาลต้องให้ความสำคัญในการกำหนดนโยบายเรื่อง ประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) ในการบริหารจัดการโครงการต่างๆ ทั้งนี้เพราะระบบอุปถัมภ์ หรือ การเอื้อประโยชน์ต่อคนใกล้ชิดเป็นจุดอ่อนของสังคมไทย และเป็นจุดเริ่มต้นที่ร้ายแรงของการทุจริตคอร์รัปชัน เป็นสิ่งที่จะต้องทำให้หมดไปจากประเทศ ต้องช่วยกันต่อต้านไม่ให้ค่านิยมในการอุปถัมภ์เป็นข้ออ้างในการทุจริตคดโกง
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ สนับสนุนการทำงานของรัฐบาลในการต่อสู้กับการคอร์รัปชันและชื่นชมในความสุจริตซื่อตรงของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้นำประเทศที่มีนโยบายชัดเจนและมีผลงานในการปราบปรามลงโทษผู้ทุจริตคดโกง เราเชื่อมั่นว่า เรื่องนี้จะได้รับการตรวจสอบ สะสางอย่างโปร่งใสตามกระบวนการยุติธรรม และจะเป็นการกำหนดบรรทัดฐานใหม่ของประเทศไทยต่อไปในภายหน้า
เกมยาว-สกัด“ประยุทธ์”นายกฯคนนอก
อดีตนักการเมืองในสายของพรรคเพื่อไทยประเมินว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้กับน้องชายนายกรัฐมนตรี ไม่น่าจะเป็นผลใดๆ ในการต่อรองคดีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เนื่องจากหลายคดีอยู่ในชั้นศาล นอกจากนี้นายกฯ ออกมากล่าวแล้วว่าจะให้เรื่องของน้องชายเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย หลังจากที่มีผู้ยื่นเรื่องร้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้ามาตรวจสอบเรื่องการสร้างฝาย ที่จังหวัดเชียงใหม่
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องของน้องชายนายกฯ มีผลต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาล จากนี้ไปคนในสังคมจะจับตาไปที่คดีเหล่านี้ รวมไปถึงหน่วยงานที่เข้าไปตรวจสอบและผลของการสอบที่จะออกมา คนที่เคยชื่นชอบการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ก็ต้องถอยออกมาดูว่าจะมีการจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร
หากพิจารณาเรื่องแรกในการรับบุตรชายคนเล็กของพลเอกปรีชา เข้ารับราชการทหาร เอกสารลับที่ถูกนำมาเปิดเผยในเฟซบุ๊ก หยุดดัดจริตประเทศไทย ซึ่งเป็นเพจที่นำเสนอเนื้อหาไปในทิศทางเดียวกับพรรคเพื่อไทย เรื่องนี้ต้องมีคนในสำนักปลัดกลาโหมเป็นคนเอาออกมาให้กับเพจดังกล่าว ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนในสายของเพื่อไทยหรือคนที่รักความยุติธรรม แต่ได้ผลในทางการเมืองแม้เรื่องดังกล่าวจะเงียบลงไปแล้วก็ตาม
ส่วนเรื่องฝายแม่ผ่องพรรณ ด้านหนึ่งคือเว็บไซต์ของสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ที่เผยแพร่ภาพกิจกรรมดังกล่าวเอง อีกทั้งพื้นที่เชียงใหม่ก็ทราบกันดีว่าเป็นพื้นที่ของตระกูลชินวัตรโดยตรง ทุกกิจกรรมของรัฐบาลจึงถูกจับตาเป็นพิเศษ เมื่อพลาดย่อมต้องถูกนำมาขยายผล รวมไปถึงการใช้เครื่องบินหลวงนำคณะภริยาเดินทางไปและกลับ และนำไปเปรียบเทียบกับเงินที่คณะภริยาช่วยเรื่องฝายเพียง 7,800 บาท
เช่นเดียวกับเรื่องบริษัทก่อสร้างของลูกชายคนโตของพลเอกปรีชา ที่รับงานสิ่งปลูกสร้างในกองทัพภาคที่ 3 ซึ่งมีพ่อเป็นแม่ทัพภาคอยู่ ที่สามารถสืบค้นได้จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
นอกจากนี้ยังมีเรื่องมาตรา 44 ถูกพรรคเพื่อไทยหยิบยกขึ้นมากล่าวหาว่าไม่ให้ความเป็นธรรมโดยเฉพาะในเรื่องของคดีรับจำนำข้าว ที่ดำเนินการกับนางสาวยิ่งลักษณ์ รวมไปถึงการใช้มาตรา 44 ในการโยกย้ายข้าราชการบางหน่วยงาน ที่กล่าวถึงกันมากเป็นพิเศษคือการให้พลตรีสรรเสริญ แก้วกำเนิด หรือเสธ.ไก่อู เข้ามารักษาราชการแทนอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ทำให้มีการมองกันในเรื่องความรู้ความสามารถของผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในตำแหน่งดังกล่าว ซึ่งหากเป็นการแต่งตั้งลูกหม้อของกรมประชาสัมพันธ์เข้ามาทำหน้าที่ก็จะลดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ลงไปได้มาก
ตอนนี้ทีมยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยก็ต้องขยายผลเรื่องเหล่านี้มากเป็นพิเศษ แม้จะไม่เป็นผลบวกกับพรรคเพื่อไทยในตอนนี้ แต่เป้าหมายของเรื่องนี้มุ่งไปที่การเลือกตั้งในครั้งหน้าที่จะเกิดขึ้น เพราะรัฐธรรมนูญใหม่ที่เปิดช่องให้มีนายกรัฐมนตรีคนนอกได้
เรื่องของพลเอกปรีชาจะถูกใช้เป็นแรงบีบให้การกลับเข้ามาเป็นนายกฯ คนนอกของพลเอกประยุทธ์ยากขึ้น ไม่เช่นนั้นก็จะใช้เรื่องนี้ขยายผลเพื่อลดความชอบธรรมของพลเอกประยุทธ์ เพราะหากพรรคเพื่อไทยได้กลับเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ภายใต้การเลือกตั้งครั้งหน้า ปมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับพรรคเพื่อไทยย่อมสามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้อย่างสะดวก
กว่า 2 ปีของการตัดสินใจเข้ามายุติความขัดแย้งทางการเมืองเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี ดูเหมือนจะไปได้ดี ผลโพลสำนักต่างๆ ที่สำรวจความคิดเห็นของประชาชน ล้วนแต่ชื่นชมนายกรัฐมนตรี ชื่นชอบที่จัดการกับปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ยากที่รัฐบาลปกติจะทำได้
การเอาจริงเอาจังกับการทุจริต คอร์รัปชัน ถือเป็นจุดเด่นของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ทำให้ได้ใจคนไปไม่น้อย เห็นได้จากการเอาผิดกับโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศ ทั้งอดีตนายกรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ถูกคำสั่งทางปกครองให้มีการชำระความเสียหายให้กับประเทศ
กรณีนายบุญทรงต้องชดใช้เบื้องต้น 1,770 ล้านบาท ส่วนนางสาวยิ่งลักษณ์ต้องชดใช้ 35,717 ล้านบาท อีกทั้งยังมีคดีอาญาที่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีก ซึ่งรัฐบาลไม่ได้ปิดกั้นผู้ที่ถูกกล่าวโทษ สามารถใช้สิทธิ์ต่อสู้ได้ตามกระบวนการยุติธรรม
ขณะที่รัฐบาลได้ใช้เวทีสหประชาชาติยืนยันว่าจะเปิดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปได้ในปี 2560 เพื่อแสดงความจริงใจที่ต้องการให้การเมืองของประเทศไทยเข้าสู่ภาวะปกติ
แน่นอนว่าการเข้ามายุติปัญหาทางการเมือง พร้อมกับการเข้ามาวางและจัดระเบียบให้กับภาคการเมืองกันใหม่ ย่อมทำให้ผู้ที่สูญเสียประโยชน์เกิดอาการไม่พอใจ และหนักไปกว่านั้นคือการดำเนินคดีทั้งในส่วนของแพ่งและอาญากับพวกเขา โดยเฉพาะกำลังพลของพรรคเพื่อไทยที่หาตัวผู้นำทัพยากขึ้นทุกวัน หลังจากที่ยิ่งลักษณ์ต้องเว้นวรรคทางการเมืองไปอีก 5 ปี
แม้จะไม่สามารถทำอะไรต่อรัฐบาลนี้ได้มากนัก อีกทั้งตัวผู้นำอย่างพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ยังไม่มีบาดแผลใดให้จ้องถล่ม ทุกอย่างจึงต้องต่อสู้ไปในรูปของรัฐบาลชุดนี้ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่เป็นธรรม จ้องเล่นงานพรรคเพื่อไทย
เปิดแผลจันทร์โอชาผู้น้อง
แต่แล้วก็มาค้นพบจุดที่จะดิสเครดิตรัฐบาลชุดนี้ได้ แม้ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ตัวนายกรัฐมนตรีโดยตรง แต่พุ่งไปที่จุดอ่อนของครอบครัวน้องชายนายกรัฐมนตรีแทนนั่นคือพลเอกปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในสิ้นเดือนกันยายนนี้
3 แผลใหญ่ของพลเอกปรีชา แน่นอนว่าย่อมต้องกระทบชิ่งไปยังพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้พี่ที่กุมอำนาจอยู่ในเวลานี้
เริ่มต้นด้วย 15 เมษายน 2559 เฟสบุ๊ก หยุดดัดจริตประเทศไทย ได้นำเอาเอกสารลับในการสั่งบรรจุนายปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา อายุ 25 ปี บุตรชายของ พลเอกปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นหลานชาย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เข้ารับราชการตำแหน่งรักษาราชการนายทหารปฏิบัติการกิจการพลเรือน สังกัดกองทัพภาคที่ 3 พร้อมกับมียศร้อยตรี รับเงินเดือนจำนวน 15,000 บาท
นายปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา ลูกชายคนเล็กของพลเอกปรีชา จบการศึกษาปริญญานิเทศศาสตรบัณฑิต (สื่อสารมวลชน) มหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นการบรรจุในตำแหน่งอัตราที่ว่าง ซึ่ง ทบ.ได้พิจารณาวิชาที่ศึกษาในหลักสูตรว่าสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของตำแหน่งที่จะบรรจุได้ และท้ายคำสั่งยังอนุมัติในอำนาจของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยมี พล.อ.ปรีชา รับมอบทำการให้แทน และลงนามในคำสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
แม้จะมีความพยายามในการออกมาอธิบายต่อสังคมทั้งเจ้ากระทรวงและพี่ใหญ่อย่างพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รวมทั้งผู้เป็นลุง แต่ก็สร้างปมคาใจให้กับผู้คนในสังคมไม่น้อย
ฝายน้องสะใภ้
ถัดมาเป็นการเผยแพร่บนโลกออนไลน์เช่นเดียวกัน คราวนี้เป็นเรื่องของนางผ่องพรรณ จันทร์โอชา ภรรยาพลเอกปรีชา จันทร์โอชา ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องสะใภ้ของพลเอกประยุทธ์ โดยเมื่อ 12 กันยายน 2559 นางผ่องพรรณ จันทร์โอชา นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานมอบฝายชะลอน้ำที่จัดสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในปีมหามงคลเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี และเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษาซึ่งเป็นการดำเนินการตามโครงการพระราชดำริป่ารักษ์น้ำ ณ อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา (ปางปอย) ตำบลแม่คะ อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่
หน้างานมีป้ายขนาดใหญ่พร้อมรูปและเรียกฝายแห่งนี้ว่า “ฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนา” โดยโลกออนไลน์ได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงภาพกิจกรรมต่างๆ ที่ดูยิ่งใหญ่อลังการ
ร้อนจนพลเอกปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ต้องออกมาชี้แจงว่าสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมได้สนับสนุนงบประมาณซื้อหินจำนวน 7,800 บาท ที่เหลือชาวบ้านในพื้นที่หาไม้ไผ่มาลงแรงร่วมกันสร้างฝาย
ไม่เพียงแค่นั้นยังโยงไปถึงการใช้เครื่องบิน C130 ของกองทัพอากาศที่ใช้รับส่งคณะของภริยาสำนักงานปลัดกลาโหม ซึ่งโฆษกกองทัพอากาศชี้แจงว่า กองทัพอากาศได้รับการประสานด้วยหนังสือจากสำนักปลัดกระทรวงกลาโหมในการขอสนับสนุนเครื่องบิน C130 รับส่งคณะของปลัดกระทรวงกลาโหม ในหนังสือไม่ได้ระบุว่าเป็นคณะของสมาคมภริยาสำนักปลัดกระทรวงกลาโหมหรือพลเรือน
ตามมาด้วยการรายงานสภาพชองฝายดังกล่าวเมื่อ 23 กันยายน 2559 พบว่าดินริมตลิ่งถูกน้ำกัดเซาะ ทำให้ฝายไม่สามารถทดน้ำได้ ซึ่งเป็นการรายงานจากเฟซบุ๊ก CSI LA
รับเหมาหลานคนโต
หลังจากเรื่องของฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนา ยังไม่ทันจางหายไปจากความสนใจของคนบนโลกออนไลน์ 19 กันยายน 2559 สำนักข่าวอิศราก็มีการตรวจสอบห้างหุ้นส่วนจำกัด คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ที่มีนายปฐมพล จันทร์โอชา บุตรชายพลเอกปรีชา จันทร์โอชา เป็นผู้ถือหุ้น ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวจดทะเบียนวันที่ 4 พฤษภาคม 2555 ทุน 1,500,000 บาท รับเหมาก่อสร้างทั่วไป ที่ตั้งเลขที่ 128/31/007 ตำบลอรัญญิก อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก
ทั้งนี้ห้างหุ้นส่วนคอนเทมโพรารีฯ เป็นคู่สัญญารับเหมาหน่วยงานภาครัฐทั้งสิ้น 11 โครงการ (สัญญา) รวมวงเงิน 155,603,000 บาท โดย 7 โครงการเป็นโครงการของกองทัพบก (กองทัพภาคที่ 3) มูลค่า 97,651,000 บาท
พร้อมด้วยการตั้งข้อสังเกตถึงที่ตั้งของห้างหุ้นส่วนฯ ดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่ในค่ายทหารและเป็นบ้านพักที่พลเอกปรีชา พักระหว่างปฏิบัติหน้าที่แม่ทัพภาคที่ 3 รวมถึงทุนจดทะเบียนเพียง 1.5 ล้านบาท ซึ่งต่ำมากในการรับงานรับเหมาก่อสร้างกับภาครัฐ
ทั้งนี้พลเอกปรีชา จันทร์โอชา น้องชายพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เคยดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 3 (พิษณุโลก) ระหว่าง 1 ตุลาคม 2556-30 กันยายน 2557 จากนั้นเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกเมื่อ 1 ตุลาคม 2557-30 กันยายน 2558 จากนั้นเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมเมื่อ 1 ตุลาคม 2558 และเกษียณอายุราชการสิ้นเดือนกันยายนนี้
ยิ่งลักษณ์ฉวยจังหวะร้องเป็นธรรม
ขณะที่การดำเนินการทางปกครอง ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ เรียกค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว ในส่วนของนางสาวยิ่งลักษณ์ ทางกระทรวงการคลังได้สรุปตัวเลข 35,717 ล้านบาทเมื่อ 24 กันยายนที่ผ่านมา
รุ่งขึ้นนางสาวยิ่งลักษณ์ได้โพสต์เฟซบุ๊กตอบโต้ว่า “ทุกอย่างที่นายกฯ ยืนยันออกมาจากปากท่านว่าการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับคดีดิฉันเป็นไปตามกฎหมายไม่ได้กลั่นแกล้ง ก็อยากให้นายกฯ ใช้หลักคิดและให้ความเป็นธรรมกับดิฉันเหมือนที่ท่านให้ความเป็นธรรมและปกป้องน้องชายท่าน รวมทั้งคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพวกเดียวกับท่านเพราะกฎหมายมีไว้บังคับใช้กับทุกคนไม่ใช่เลือกปฏิบัติกับฝั่งดิฉันเพียงฝ่ายเดียว”
นับเป็นการใช้โอกาสกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของพลเอกปรีชาเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะต่อสู้ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันจี้ตรวจสอบ
3 เรื่องนี้ถือว่าทำให้พลเอกประยุทธ์หนักใจไม่น้อย แม้จะเป็นเรื่องส่วนตัวของน้องชาย แต่ในด้านของสายสัมพันธ์แล้วย่อมต้องห่วงใยกันเป็นธรรมดา อีกทั้งนับแต่เข้ามาบริหารประเทศ พลเอกประยุทธ์ให้ความสำคัญกับการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชันมาโดยตลอด จากนี้คงต้องดูว่าท่านนายกฯ จะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร หากมีการดำเนินการในลักษณะช่วยเหลือน้องชาย ฝ่ายเพื่อไทยเขาจ้องขยายผลอยู่แล้ว แม้เรื่องอาจจะไม่เหมือนกรณีทักษิณกับยิ่งลักษณ์ แต่ก็เป็นเรื่องของพี่น้องเหมือนกัน
เสียงเหน็บแนมไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบ แม้ระยะแรกจะนิ่งไประยะหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ต้องออกมาเร่งให้รัฐบาลดำเนินการ อย่าง องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ที่ออกมาแสดงจุดยืนในเรื่องดังกล่าวเมื่อ 27 กันยายน 2559 มีความเห็นต่อกรณีข่าวของครอบครัวพลเอกปรีชา จันทร์โอชา ที่กำลังเป็นประเด็นสังคมอันอาจจะนำพาไปสู่ปัญหาของความเชื่อมั่นในความซื่อตรงของผู้นำประเทศดังนี้
1. จะต้องมีการตรวจสอบติดตามให้ข้อเท็จจริงปรากฏอย่างชัดเจนและรวดเร็ว และการตรวจสอบต้องเป็นไปตามกระบวนการขั้นตอนของกฎหมายโดยไม่มีการเข้าไปก้าวก่ายหรือครอบงำอย่างเด็ดขาด ทุกอย่างต้องให้โปร่งใส อยู่ในสายตาของสาธารณชน
2. และเพื่อเป็นการป้องกันมิให้กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นอีก รัฐบาลต้องให้ความสำคัญในการกำหนดนโยบายเรื่อง ประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) ในการบริหารจัดการโครงการต่างๆ ทั้งนี้เพราะระบบอุปถัมภ์ หรือ การเอื้อประโยชน์ต่อคนใกล้ชิดเป็นจุดอ่อนของสังคมไทย และเป็นจุดเริ่มต้นที่ร้ายแรงของการทุจริตคอร์รัปชัน เป็นสิ่งที่จะต้องทำให้หมดไปจากประเทศ ต้องช่วยกันต่อต้านไม่ให้ค่านิยมในการอุปถัมภ์เป็นข้ออ้างในการทุจริตคดโกง
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ สนับสนุนการทำงานของรัฐบาลในการต่อสู้กับการคอร์รัปชันและชื่นชมในความสุจริตซื่อตรงของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้นำประเทศที่มีนโยบายชัดเจนและมีผลงานในการปราบปรามลงโทษผู้ทุจริตคดโกง เราเชื่อมั่นว่า เรื่องนี้จะได้รับการตรวจสอบ สะสางอย่างโปร่งใสตามกระบวนการยุติธรรม และจะเป็นการกำหนดบรรทัดฐานใหม่ของประเทศไทยต่อไปในภายหน้า
เกมยาว-สกัด“ประยุทธ์”นายกฯคนนอก
อดีตนักการเมืองในสายของพรรคเพื่อไทยประเมินว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้กับน้องชายนายกรัฐมนตรี ไม่น่าจะเป็นผลใดๆ ในการต่อรองคดีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เนื่องจากหลายคดีอยู่ในชั้นศาล นอกจากนี้นายกฯ ออกมากล่าวแล้วว่าจะให้เรื่องของน้องชายเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย หลังจากที่มีผู้ยื่นเรื่องร้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้ามาตรวจสอบเรื่องการสร้างฝาย ที่จังหวัดเชียงใหม่
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องของน้องชายนายกฯ มีผลต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาล จากนี้ไปคนในสังคมจะจับตาไปที่คดีเหล่านี้ รวมไปถึงหน่วยงานที่เข้าไปตรวจสอบและผลของการสอบที่จะออกมา คนที่เคยชื่นชอบการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ก็ต้องถอยออกมาดูว่าจะมีการจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร
หากพิจารณาเรื่องแรกในการรับบุตรชายคนเล็กของพลเอกปรีชา เข้ารับราชการทหาร เอกสารลับที่ถูกนำมาเปิดเผยในเฟซบุ๊ก หยุดดัดจริตประเทศไทย ซึ่งเป็นเพจที่นำเสนอเนื้อหาไปในทิศทางเดียวกับพรรคเพื่อไทย เรื่องนี้ต้องมีคนในสำนักปลัดกลาโหมเป็นคนเอาออกมาให้กับเพจดังกล่าว ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนในสายของเพื่อไทยหรือคนที่รักความยุติธรรม แต่ได้ผลในทางการเมืองแม้เรื่องดังกล่าวจะเงียบลงไปแล้วก็ตาม
ส่วนเรื่องฝายแม่ผ่องพรรณ ด้านหนึ่งคือเว็บไซต์ของสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ที่เผยแพร่ภาพกิจกรรมดังกล่าวเอง อีกทั้งพื้นที่เชียงใหม่ก็ทราบกันดีว่าเป็นพื้นที่ของตระกูลชินวัตรโดยตรง ทุกกิจกรรมของรัฐบาลจึงถูกจับตาเป็นพิเศษ เมื่อพลาดย่อมต้องถูกนำมาขยายผล รวมไปถึงการใช้เครื่องบินหลวงนำคณะภริยาเดินทางไปและกลับ และนำไปเปรียบเทียบกับเงินที่คณะภริยาช่วยเรื่องฝายเพียง 7,800 บาท
เช่นเดียวกับเรื่องบริษัทก่อสร้างของลูกชายคนโตของพลเอกปรีชา ที่รับงานสิ่งปลูกสร้างในกองทัพภาคที่ 3 ซึ่งมีพ่อเป็นแม่ทัพภาคอยู่ ที่สามารถสืบค้นได้จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
นอกจากนี้ยังมีเรื่องมาตรา 44 ถูกพรรคเพื่อไทยหยิบยกขึ้นมากล่าวหาว่าไม่ให้ความเป็นธรรมโดยเฉพาะในเรื่องของคดีรับจำนำข้าว ที่ดำเนินการกับนางสาวยิ่งลักษณ์ รวมไปถึงการใช้มาตรา 44 ในการโยกย้ายข้าราชการบางหน่วยงาน ที่กล่าวถึงกันมากเป็นพิเศษคือการให้พลตรีสรรเสริญ แก้วกำเนิด หรือเสธ.ไก่อู เข้ามารักษาราชการแทนอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ทำให้มีการมองกันในเรื่องความรู้ความสามารถของผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในตำแหน่งดังกล่าว ซึ่งหากเป็นการแต่งตั้งลูกหม้อของกรมประชาสัมพันธ์เข้ามาทำหน้าที่ก็จะลดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ลงไปได้มาก
ตอนนี้ทีมยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยก็ต้องขยายผลเรื่องเหล่านี้มากเป็นพิเศษ แม้จะไม่เป็นผลบวกกับพรรคเพื่อไทยในตอนนี้ แต่เป้าหมายของเรื่องนี้มุ่งไปที่การเลือกตั้งในครั้งหน้าที่จะเกิดขึ้น เพราะรัฐธรรมนูญใหม่ที่เปิดช่องให้มีนายกรัฐมนตรีคนนอกได้
เรื่องของพลเอกปรีชาจะถูกใช้เป็นแรงบีบให้การกลับเข้ามาเป็นนายกฯ คนนอกของพลเอกประยุทธ์ยากขึ้น ไม่เช่นนั้นก็จะใช้เรื่องนี้ขยายผลเพื่อลดความชอบธรรมของพลเอกประยุทธ์ เพราะหากพรรคเพื่อไทยได้กลับเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ภายใต้การเลือกตั้งครั้งหน้า ปมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับพรรคเพื่อไทยย่อมสามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้อย่างสะดวก