วานนี้ (28 ก.ย.) ที่ ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลได้อ่านคำพิพากษาฎีกา หมายเลขดำ อ. 4990/2554 ที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรมว.ต่างประเทศ เป็นโจทก์ฟ้อง นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต อดีตโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท
โจทก์ฟ้องสรุปว่า ระหว่างวันที่ 24-25 ก.ย.54 นายชวนนท์ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า นายสุรพงษ์ โจทก์ซึ่งเป็นรมว.ต่างประเทศ ได้ให้นายอัษฎา ชัยนาม ออกจากประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) เพื่อประโยชน์แก่กัมพูชา ซึ่งเป็นความเท็จ และต่อมาจำเลยที่ 2-6 ได้นำตีพิมพ์เผยแพร่ข่าว ในวันที่ 25 ก.ย. 54 การกระทำของพวกจำเลยทำให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมาย เหตุเกิดที่พรรคประชาธิปัตย์ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม.
ขณะที่ศาลไต่สวนมูลฟ้องโจทก์แล้ว เห็นว่าคดีมีมูลจึงให้ประทับรับคำฟ้องไว้พิจารณาเพื่อมีคำพิพากษาต่อไป ชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี ส่วนจำเลยที่ 2-6 ซึ่งเป็นบรรณาธิการ นสพ.กรุงเทพธุรกิจ และ นสพ.คมชัดลึก โจทก์ได้ถอนฟ้องคดีไปแล้ว
คดีนี้ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาไปเมื่อวันที่ 6 ส.ค.57 ว่านายชวนนท์ จำเลยกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทฯ ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี ปรับ 100,000 บาท แต่รอการลงโทษ มีกำหนด 2 ปี โดยให้จำเลยลงโฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์ และเว็บไซต์ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 7 วัน ต่อมาศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ยื่นฎีกา
โดยเมื่อวานนี้นายชวนนท์ จำเลย เดินทางมาฟังคำพิพากษา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า โจทก์ดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ส่วนจำเลยดำรงตำแหน่งโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ จำเลยได้แถลงข่าวถึง กรณีที่โจทก์ได้ให้นายอัษฎา ชัยนาม ออกจากประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) และให้ นายวีรชัย พลาศรัย ออกจาก กรรมาธิการ เจบีซี เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาถ้อยคำที่จำเลยแถลงนั้น มีลักษณะว่าตัวโจทก์มีพฤติการณ์ทำเพื่อผลประโยชน์ และรับคำสั่งมาจากประเทศกัมพูชา ถ้อยคำดังกล่าว จึงไม่ใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นในเชิงตั้งคำถามเพื่อตรวจสอบ แม้จำเลยจะไม่ได้แสดงข้อเท็จจริงเจาะจงว่า โจทก์มีพฤติการณ์ตามที่จำเลยแถลงข่าวจริง แต่บุคคลทั่วไปย่อมเข้าใจได้ว่า โจทก์กระทำการเพื่อผลประโยชน์ของประเทศกัมพูชา และเป็นคนขายชาติ ที่จำเลยเบิกความอ้างเป็นพยานจำเลยปากเดียวว่า การเปลี่ยนตัว นาย อัษฎา และนายวีรชัย มีผลทำให้เกิดความเสียหาย เป็นเพียงคำกล่าวลอยๆ แม้จะมีการนำเอกสารบทความต่างๆ เข้าเป็นหลักฐาน การกระทำของจำเลย จึงไม่เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม ศาลฎีกาเห็นควรพิพากษากลับ ให้จำคุกจำเลยตามที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา คงจำคุก นายชวนนท์ จำเลย 2 ปี ปรับ 100,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษ 2 ปี และให้จำเลย ลงโฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์ และเว็บไซต์ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 7 วัน
โจทก์ฟ้องสรุปว่า ระหว่างวันที่ 24-25 ก.ย.54 นายชวนนท์ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า นายสุรพงษ์ โจทก์ซึ่งเป็นรมว.ต่างประเทศ ได้ให้นายอัษฎา ชัยนาม ออกจากประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) เพื่อประโยชน์แก่กัมพูชา ซึ่งเป็นความเท็จ และต่อมาจำเลยที่ 2-6 ได้นำตีพิมพ์เผยแพร่ข่าว ในวันที่ 25 ก.ย. 54 การกระทำของพวกจำเลยทำให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมาย เหตุเกิดที่พรรคประชาธิปัตย์ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม.
ขณะที่ศาลไต่สวนมูลฟ้องโจทก์แล้ว เห็นว่าคดีมีมูลจึงให้ประทับรับคำฟ้องไว้พิจารณาเพื่อมีคำพิพากษาต่อไป ชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี ส่วนจำเลยที่ 2-6 ซึ่งเป็นบรรณาธิการ นสพ.กรุงเทพธุรกิจ และ นสพ.คมชัดลึก โจทก์ได้ถอนฟ้องคดีไปแล้ว
คดีนี้ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาไปเมื่อวันที่ 6 ส.ค.57 ว่านายชวนนท์ จำเลยกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทฯ ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี ปรับ 100,000 บาท แต่รอการลงโทษ มีกำหนด 2 ปี โดยให้จำเลยลงโฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์ และเว็บไซต์ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 7 วัน ต่อมาศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ยื่นฎีกา
โดยเมื่อวานนี้นายชวนนท์ จำเลย เดินทางมาฟังคำพิพากษา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า โจทก์ดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ส่วนจำเลยดำรงตำแหน่งโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ จำเลยได้แถลงข่าวถึง กรณีที่โจทก์ได้ให้นายอัษฎา ชัยนาม ออกจากประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) และให้ นายวีรชัย พลาศรัย ออกจาก กรรมาธิการ เจบีซี เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาถ้อยคำที่จำเลยแถลงนั้น มีลักษณะว่าตัวโจทก์มีพฤติการณ์ทำเพื่อผลประโยชน์ และรับคำสั่งมาจากประเทศกัมพูชา ถ้อยคำดังกล่าว จึงไม่ใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นในเชิงตั้งคำถามเพื่อตรวจสอบ แม้จำเลยจะไม่ได้แสดงข้อเท็จจริงเจาะจงว่า โจทก์มีพฤติการณ์ตามที่จำเลยแถลงข่าวจริง แต่บุคคลทั่วไปย่อมเข้าใจได้ว่า โจทก์กระทำการเพื่อผลประโยชน์ของประเทศกัมพูชา และเป็นคนขายชาติ ที่จำเลยเบิกความอ้างเป็นพยานจำเลยปากเดียวว่า การเปลี่ยนตัว นาย อัษฎา และนายวีรชัย มีผลทำให้เกิดความเสียหาย เป็นเพียงคำกล่าวลอยๆ แม้จะมีการนำเอกสารบทความต่างๆ เข้าเป็นหลักฐาน การกระทำของจำเลย จึงไม่เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม ศาลฎีกาเห็นควรพิพากษากลับ ให้จำคุกจำเลยตามที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา คงจำคุก นายชวนนท์ จำเลย 2 ปี ปรับ 100,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษ 2 ปี และให้จำเลย ลงโฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์ และเว็บไซต์ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 7 วัน