ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -บทความ “สายล่อฟ้า” คอลัมนิสต์ดังค่ายหัวเขียว ที่เขียนวิจารณ์ถึงพฤติการณ์ของตำรวจไทย และเลยไปถึงโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ทำนองว่าไม่รู้ว่าหลักสูตรสอนกันอย่างไรทำให้ตำรวจไทยกลายเป็นตำรวจโจรเข้ามาทุกที เพราะเรียนรู้เรื่องชั่วๆ มากกว่าเรื่องดีๆ
พอแตะสถาบันเข้าเท่านั้นกลายเป็นเรื่องทันที เริ่มจากพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง อดีต ผบ.ตร.ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กสวนกลับอย่างรุนแรง ลามไปถึงพ่อ แม่มาจากไหน เรียนจบอะไร มีวุฒิสูงกว่าตนหรือไม่ และเคยคิดสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติบ้างหรือเปล่า ก่อนแถมตอนจบอย่างเบรกแตกว่า.. ตำรวจย่อมมีทั้งดีและเลวปนกัน แต่ควรแยกแยะให้ถูกต้อง “ถ้าสื่อมวลชนใจกว้างพอยอมรับกันได้มั้ย ถ้าผมขอวิจารณ์กลับบ้างว่า สื่อมวลชนก็มีเหี้ยไม่น้อยเหมือนกัน”
ข้อความของอดีต ผบ.ตร. ถูกส่งไปยังกลุ่มไลน์ต่างๆ และสื่อโซเชียลฯ ซึ่งมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยฝ่ายเอากับพล.ต.อ.สมยศ ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการตำรวจ หรือสมัครพรรคพวกซึ่งก็มีไม่น้อย แต่ที่ไม่เอาด้วยและค่อนข้างมีแนวคิดตรงกับนักเขียนคนดัง ก็มีมากเช่นกัน
ที่ฮือฮากลายเป็นประเด็นตอกย้ำเข้าไปอีก เมื่ออาจารย์ประจำโรงเรียนนายร้อยตำรวจท่านหนึ่ง ส่งข้อความในกลุ่มไลน์สนับสนุนบทความวิพากษ์โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ขนาดขึ้นคำหยาบ ตัวเงินตัวทอง มึง กู สนั่นไลน์ แน่นอนว่าคนเป็นอาจารย์ก็คงถูกลูกศิษย์ นรต.รวมตัวต่อต้าน ส่วนบทสุดท้ายจะลงเอยอย่างไร ถ้าไม่มีใครออกมาห้ามทัพก่อนอาจจะลุกลามจนถึงขั้นพังกันไปข้าง เพราะกระแส “ไม่เอาตำรวจ” และ “ไม่เอาปฏิรูปแบบลิงหลอกเจ้า” หรือ “ลิเกหลงโรง” โดยพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร.กำลังมีแรงกดแรงต้านมากขึ้นทุกวัน
รายงานให้ท่านได้ทราบความเป็นมาพอสังเขป แต่สิ่งที่สังคมยังไม่ทราบ...ปกติแล้วอดีต ผบ.ตร. สมยศ ท่านมีความสนิทสนมกับนักข่าว คอลัมนิสต์แทบทุกคน เฉพาะเจ้าของนามปากกา “สายล่อฟ้า” เห็นว่าก่อนจะโดน “บิ๊กอ๊อด” ถล่มทั้งคู่กับเจอกันที่โรงแรม 5 ดาวแห่งหนึ่งแถวถนนรัชดาฯ-ห้วยขวาง เข้าใจว่ามีนักเขียนระดับอาวุโสของค่ายหัวเขียวอีกหลายคนที่ร่วมวงสนทนากันอยุ่พักใหญ่.... การลามปามไปถึงพ่อแม่ ภูมิความรู้ ด่าทอกลับด้วยความสะใจ อันนี้พล.ต.อ.สมยศ ก็ต้องตอบมโนธรรมของตัวเองเช่นกัน ว่าท่านไม่เคยรู้จักกับคอลัมน์นิสต์ท่านนี้มาก่อนเลย ใช่หรือไม่
ท่านมั่นใจอย่างไรว่า บทความนี้เขียนด้วยอคติ มันอาจจะเป็นความเห็นที่สุจริต และพยายามสะท้อนความรู้สึกของสังคมออกมา
อดีต ผบ.ตร.ท่านทราบไหมว่า ประชาชนเขารู้สึกอย่างไรกับตำรวจบ้าง ข่าวสารที่ออกมาประจานพฤติกรรมเช่นกรณี สน.ประชาชื่น มีการยัดคดีผู้บริสุทธิ์ให้ติดคุก กรณีตำรวจรีดไถ อุ้มฆ่า บ้าอำนาจ ซื้อขายตำแหน่ง สารพัดภาพลบ จนสังคมต้องการให้ปฏิรูปตำรวจโดยแยกงานสอบสวนออกมาเป็นอันดับแรก....แล้วเป็นไง!!?? ไล่มาตั้งแต่ส่วนหัวของ สตช. หรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ท่านทำอย่างไรกันบ้าง นอกจากเฉยเมย และทำในสิ่งที่พวกกูอยากจะทำ อย่างที่ รองฯพงศพัศ กำลังพยายามสร้างภาพ สร้างกระแสอยู่นั่นแหละ
พูดถึงพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ “พี่ใหญ่” แห่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คนที่พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เกรงอกเกรงใจนั้น น่าเสียดายที่องค์กรตำรวจภายใต้การดูแลของท่านไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี อาชญากรรม ยังสูงขึ้น ปัญหาภายในตำรวจยังไม่อยู่ในแถวในแนว การแต่งตั้งโยกย้ายทุกระดับล้วนมีข้อครหาตลอด ที่สำคัญคือ บรรดาตำรวจใก้ลชิดระดับ “นายพล”หลายคนกลายเป็น “ลูกเทพ” ไม่มีใครแตะได้
เมื่อไม่นานมานี้ มีคำสั่ง ม.44 ให้ลงโทษย้าย 2 นายพลคนดัง มีข้อหาบกพร่องปล่อยให้มีบ่อนการพนันรายใหญ่ 1 คน และพัวพันการค้ามนุษย์ 1 คน แต่มีขบวนการขัดขวาง-ช่วยเหลือกลายเป็นสอบสวนแล้วไม่พบความผิด ในขณะที่มีข้าราชการหลายคนเจอคำสั่ง มาตรา 44 เช่นกัน เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ยังไม่สามารถหลุดจากบ่วงเวรบ่วงกรรมนั้นได้ ต่างกับ “ลูกเทพ” หรือ “เด็กเทพ” ทั้ง 2 อย่างสิ้นเชิง
เด็กเส้นของผู้ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งก็คือนายพล “ดอกดิน” มีอยู่ 2 เรื่องใหญ่ที่ถูกขจัดปัดเป่าไปเรียบร้อย นั่นคือคดีเก่าสมัยเป็น รอง ผกก. มีส่วนพัวพันเรียกเก็บส่วยแถวภาคอีสานหลายสิบล้าน พอเรื่องอื้อฉาว มีผู้เสียหายแจ้งความดำเนินคดีพนักงานสอบสวนโรงพักแห่งหนึ่งจึงรับแจ้งความไว้ ส่วนความผิดทางวินัยจเรตำรวจได้รับเรื่องดำเนินการไปอีกทางหนึ่ง
“นายพลดอกดิน”อาศัยความใจถึง และเป็นเด็กใน “คอกนายใหญ่” พลิกสถานการณ์ได้กลายเป็นว่าโจทก์ หรือเจ้าทุกข์กลับคำให้การ ยอมรับว่าตัวเองใส่ร้ายแจ้งความเท็จเพื่อกลั่นแกล้งจำเลย หลังติดคุกนาน 8 เดือน พอได้อิสรภาพต้องมาจบชีวิตลงอย่างมีเงื่อนงำ
และผลของคดีที่ “นายพลดอกดิน”เริ่มเป็นต่อ จึงขี่แพะไล่แจ้งความดำเนินคดีกับผู้บังคับบัญชาในอดีต รวมไปถึงพนักงานสอบสวนที่เคยรับคดีไว้...พนักงานสอบสวนผู้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ตอนนี้ถูกย้ายปีเดียว 3 ครั้ง ย้ายไปคนละทิศละทาง บางคนถึงกับเปลี่ยนชื่อนามสกุล เพื่ออำพรางตัว แต่ก็ไม่รอด
ผลงานอีกเรื่องที่ฟ้องว่าวงการสีกากีมีการซื้อขายตำแหน่งกันจริง นั่นคือกรณีของ รอง สวป.สน.บางรัก.....ตอนนี้ผลการสอบสวนยุติลงแล้วใช่ไหม กลายเป็นว่าเป็นเรื่องยืมเงินกันและไม่มีใครหน้าไหนตั้งใจจะสาวกันต่อ ทั้งที่สังคมตำรวจรู้กันดี ว่าตัวละครที่มีชื่อเกี่ยวข้องกับใคร ก่อนเรื่องแดงเคยทำหน้าที่ขับรถประจำตัวให้นายพลคนดัง ใช่หรือไม่
ภาพเหล่านี้จึงสะท้อนถึงความจริงใจในการแก้ปัญหา
นอกจากไม่รักษากฎ กติกา แล้วยังแอบยักคิ้วหลิ่วตาช่วยเหลือคนผิดให้กลายเป็นคนมีอำนาจ ....อีกตัวอย่างหนึ่งนายตำรวจระดับ “นายพล” ขณะนี้ประจำอยู่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ถูก ป.ป.ช.ชี้บกพร่องต่อการปฏิบัติหน้าที่ทุจริต จยย.มูลค่าหลายพันล้าน ผ่านมาหลายปีแล้วยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมเวลาถูกเขียนวิพากษ์วิจารณ์ ก็บอกว่าอยู่ระหว่างชี่แจงข้อเท็จจริงกับ ป.ป.ช.และฟ้องปิดปากคนเขียนข่าว
เมื่อผู้หลักผู้ใหญ่ คนมีอำนาจ ยืนขวางทางอยู่ มีคำถามง่ายๆว่าสังคมไทยจะสู้กับการทุจริต คอร์รัปชันได้อย่างไร ป.ป.ช.ชี้มูลมาหลายปี แต่ สตช.เงียบ....นี้เรากำลังจะมีศาลทุจริต ในวันที่ 1 ต.ค.ที่จะถึงนี้...ขอบเขตอำนาจศาลทุจริต คือลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่ผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ข้อหาทุจริต ลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐ หรือบุคคลธรรมดาที่กระทำผิดฐานฝอกเงิน ลงโทษบุคคลธรรมดาเกี่ยวกับการเรียกรับ และให้สินบนเจ้าหน้าที่ ซึ่งในรายละเอียดระบุไว้ด้วยว่า รัฐจะให้ความคุ้มครองแก่ข้าราชการที่เป็นพยานให้การมีประโยชน์ต่อคดีทุจริต แต่สำหรับการที่ “นายพลดอกดิน” ลูกน้องคนโปรดผู้มีอำนาจกลับทำตรงกันข้ามคือ....เล่นงานย้าย 1 ปี 3 หน และให้เจ้าหน้าที่ในกองวินัยฯตั้งกรรมการสอบสวน
ความเลวร้ายในสังคมสีกากีทั้งที่มองเห็น และมองไม่เห็น จึงทำให้สังคมไทยหมดความหวัง -หมดศรัทธา ในตัวตำรวจยังน่าหมายถึงข้าราชการตำรวจส่วนหนึ่งเช่นกันที่รู้สึกเบื่อหน่ายจนถึงเกิดความกดดันอย่างหนักจนหมดแก่จิตแก่ใจปฏิบัติหน้าที่
ภาพรวมนักเขียนคอลัมน์นิสต์ท่านนั้นจึงสะท้อนออกมา อาจถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง แต่คนที่เห็นด้วยก็มีไม่น้อย.....ใครก็ไม่รู้บอกว่า ไม่อยากเจอตำรวจเพราะเจอตำรวจทีไร ต้องเสียตังค์ทุกที...จะว่าขำก็ขำ จะว่าขื่นก็ขื่น ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ไม่เชื่อลองขับรถออกไปบนถนนหลวงแล้วโดนตำรวจเรียกซิ ....จนคิดว่าน่าจะเอาจุดนี้โหมกระแสให้เกิดการปฏิรูปตำรวจอย่างแท้จริงเสียที
อย่างน้อย “สายล่อฟ้า” เขาก็กล้าจริงที่เขียนล้วงไปถึงโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ภาพหนึ่งอาจจะดูว่าเยอะไป ขาดความเคารพสถาบัน ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่อีกด้านหนึ่งมันมีปัญหาจริงหรือเปล่า โรงเรียนนายร้อยตำรวจ สมควรถูก “ยกเครื่อง” ปรับ-เปลี่ยนวิธีคิดกันได้หรือยัง
ต่อไปในอนาคตหากมีการแยกพนักงานสอบสวนออกจาก สตช.หลักสูตรพนักงานสอบสวนทั้งประเทศไม่ว่าจะแฝงตัวอยู่ในกรมศุลกากร กรมป่าไม้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็สมควรมีสถาบันการศึกษาแยกคณะ แบ่งสายความสายความชำนาญให้ชัดเจน มิใช่มากองรวมอยู่ที่ตำรวจ ให้ใหญ่โตและรับใช้ผู้มีอำนาจอย่างทุกวันนี้
นักการเมืองมารับใช้นักการเมือง...ทหารมารับใช้ทหาร....ตำรวจไม่เคยรับใช้ประชาชน นี่คือสันดานตำรวจ จึงเป็นเหตุผลที่ต้องปฏิรูปและเกิดภาวะ “มุกแป๊ก” ไม่สามารถปลุกกระแสความรักสถาบันโรงเรียนนายร้อยตำรวจ มาให้ประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกเห็นอกเห็นใจได้สำเร็จ