ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ปลัดกระทรวงเกษียณอายุราชการกันบานตะไท ปีนี้ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เลยจัดทัพใหญ่กันตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นเดือนๆ โดยเฉพาะเก้าอี้สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ปีที่แล้วใช้เป็นสถานบำบัดจิตใจ “บิ๊กเอก”พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ หลังอกหักเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)
มาปีนี้ไม่ใช่สถานที่ปลอบใจ แต่กลายเป็นเก้าอี้สมนาคุณมากกว่า หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติแต่งตั้ง จิรชัย มูลทองโร่ย รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่รู้จักกันในฐานประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงความผิดทางละเมิดในโครงการรับจำนำข้าวของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือ “มือสอบจำนำข้าว”นั่นเอง ให้เป็นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีคนใหม่
เสียงลือเสียงเล่าอ้างกันว่า เป็นเพราะ จิรชัย เจ็บตัวพอสมควรกับการทำหน้าที่ตรวจสอบยิ่งลักษณ์ หลังโดนฟ้องร้องกลับ เสี่ยงที่จะถูกเอาคืน ถ้าไม่ให้อะไรเลยก็เหมือนจะใจร้ายใจดำกันเกินไป แรกๆ อาจมีเสียวนิดๆ หลังมีกระแสหนาหูว่าอาจมีคนจากกระทรวงมหาดไทย ข้ามห้วยมาปาดหน้า แต่ประกาศิต“บิ๊กตู่”ได้ผล “จิรชัยต้องให้เขานะ”
อีกเก้าอี้ที่มองข้ามไม่ได้เลยคือ ตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ “ดร.กบ”อำพน กิตติอำพน รับสัมปทานเก้าอี้มา 6 ปีเต็ม แว่วจะไปๆ อยู่รอมร่อ แต่สุดท้ายกลายเป็นแมวเก้าชีวิตด้วยเคล็ดวิชาสนองนาย เลยลากยาวมาตั้งแต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จนกระทั่งรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ แม้จะยังไม่ได้แต่งตั้งคนใหม่เข้ามาทำหน้าที่ แต่เริ่มมีการวางบางคนเอาไว้แต่งตั้งรอเรียบร้อย หลังจับ ปกรณ์ นิลประพันธ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ถ่างขามานั่งเก้าอี้รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกตำแหน่ง
ในทางกฎหมายสามารถทำได้ ไม่มีผิดอยู่แล้วสำหรับการควบสองในเวลาเดียวกัน แต่เหตุใดต้องเป็นปกรณ์ นั่นเพราะบุคคลคนนี้คือ ลูกศิษย์ใต้ก้นกุฏิของแก๊งเนติบริกร ประกอบด้วย มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ
เติบโตมาในสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยตลอด ได้รับการฟูมฟักกฎหมายมาจากแก๊งเนติบริกร จนเป็นมือร่างกฎหมายลำดับต้นๆ ถึงขนาด “ซือแป๋มีชัย” ต้องดึงตัวมาช่วยเป็นเลขานุการร่างรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ฟังชื่อถึงบางอ้อว่า งานนี้ที่มานั่งจ่อเก้าอี้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีคนใหม่ ใครดันมา หากไม่ใช่รองนายกรัฐมนตรีที่ผู้กำกับดูแลสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอย่าง“วิษณุ”
ต้องบอกว่าไม่ใช่ยุคนี้คงก้าวกระโดดมายาก เพราะปกรณ์นั้นอายุยังน้อยมาก ถ้าเทียบกับหัวหน้าส่วนราชการคนอื่นๆ โดยปัจจุบันเพิ่งจะอายุ 48 ปีเท่านั้น เหลืออายุราชการอีก 12 ปีเต็มๆ มักไม่ค่อยได้เห็นในยุคหลังๆ จะเคยเกิดกรณีลักษณะแบบนี้ก็ตอนมีการแต่งตั้งให้ “วิษณุ”เป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ในปี 2536 ในวัย 42 ปีเท่านั้น
ถ้าจะบอกว่าปกรณ์กำลังเดินตามรอยของวิษณุ หรือวิษณุ กำลังจะปลุกปั้นปกรณ์ให้เป็นเหมือนตัวเองคงไม่ผิดนัก แล้วดูเส้นทางของปกรณ์หลังจากนี้น่าจะขยับเป็นนักกฎหมาย เหมือนที่อาจารย์แห่งแก๊งเนติบริกรเป็นกัน โดยเฉพาะวิษณุ และ บวรศักดิ์ ที่ต่างเคยเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทั้งคู่มาแล้ว
ถือเป็นการวางไลน์เผื่ออนาคตกันเลย เพราะการไม่เลือกลูกหม้อในสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีขึ้นมา แต่เลือกมือไม้ตัวเองมาทำ อย่างน้อยเหมือนเป็นการให้เจ้าตัวได้อยู่ยาวๆ 6 ปีเต็ม ซึ่งเป็นการกินระยะเวลารัฐบาล 2 ชุด ที่เหมือนเป็นการเตรียมความพร้อมรอรัฐบาลชุดใหม่ ภายใต้ร่างเงาของท็อปบูต
ขณะที่ตำแหน่งอื่นๆ ไม่มีอะไรหวือหวาเท่าไหร่ ไม่ค่อยมีการโยกข้ามห้วยแบบน่าเกลียด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ คสช.ได้วางคนของตัวเองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ดังจะเห็นได้ว่าในช่วง 1 - 2 ปีแรก คำสั่งหัวหน้าคสช. ไม่ได้โยกย้ายเฉพาะหัวหน้าส่วนราชการที่ฝักใฝ่การเมืองเท่านั้น แต่ระดับรอง ผู้ช่วย โดนเก็บกวาดไปหมด แล้วโยกเอาคนของตัวเองมาวางรอไว้ เมื่อคนเก่าเกษียณคนใหม่ก็ขยับขึ้นแทนได้เลย เพราะการันตีว่าเป็นคนของตัวเองแน่นอน
แล้วถ้าดูในภาพรวมหัวหน้าส่วนราชการที่ขึ้นๆ มาชุดล่าสุด จะเห็นว่ามีจำนวนไม่น้อยที่ยังเหลืออายุราชการอีกหลายปี ส่วนหนึ่งเป็นการตั้งใจวางรอรัฐบาลชุดหน้าที่ตัวเองมีโอกาสจะกลับมาอีก เพื่อให้งานต่อเนื่องและเดินหน้าได้ทันทีหลังการเลือกตั้ง
เสร็จฤดูกาลโยกย้าย ที่ต้องจับตาต่อไปหนีไม่พ้นการปรับคณะรัฐมนตรี ที่ “บิ๊กตู่”อ้อมแอ้มแล้วว่า จะหาคนมาช่วยเพื่อนรักอย่าง “บิ๊กฉัตร”พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ หลังบ่นอุบว่ามือพัลวัน ทำงานคนเดียวไม่ทัน เนื่องจากขอบเขตงานเยอะแยะไปหมด
กับอีกหนึ่งเก้าอี้ที่ยังเหลือโควตา ที่ไม่รู้หวยจะไปออกใคร เพราะตอนนี้น้องๆ ในกองทัพก็เกษียณอายุราชการ แล้วเตรียมว่างงานกันหลายคน อาจมีรายการหางานให้ทำก็เป็นได้ เหมือนกับที่มีคนนินทาหมาดูถูกว่า หวยจะไปออกที่น้องรักสองคนอย่าง “บิ๊กหมู”พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และ พล.อ.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ที่กำลังจะเกษียณในเดือนกันยายน
“บิ๊กตู่”ยอมรับว่าจะไม่ปรับใหญ่ แต่ในความเป็นจริงแล้วการปรับเพียงเท่านี้ไม่ได้กระชากความมั่นใจจากประชาชนได้แน่ หนำซ้ำเหมือนเป็นการปูนบำเหน็จให้สมัครพรรคพวกอีกต่างหาก จะบอกว่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เสียของเปล่าๆ แน่
จะว่าไป ครม.ชุดปัจจุบันก็ยังทำงานไม่ได้ประจักษ์ด้วยสายตาสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะขุนพลเศรษฐกิจของ “เฮียกวง”สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ไม่เปรี้ยงปร้าง จนสร้างความเปลี่ยนแปลงจากชุดของ “ชายอุ๋ย”ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล มากมายนัก นอกจากการทำการตลาดที่มากขึ้น
ไหนๆ ก็ไหนๆ คิดจะปรับทั้งทียกเครื่องกันอีกสักรอบ เพื่อกระชากความเชื่อมั่นและความหวัง หาขุนพลมือทำงานที่ “บิ๊กตู่”อ้างว่า มีจำนวนมาก แต่ไม่อยากมาเปลืองตัว และไม่อยากเปิดเผยทรัพย์สิน เข้ามาทำ ข้อจำกัดที่มีอย่างเรื่องบัญชีทรัพย์สิน มันจิ๊บจ๊อยมาก มีมาตรา 44 อยู่ในมืออยู่แล้ว สามารถยกเว้นได้สบาย เอาสักปีเป็นการทดลอง
แต่ปัญหาคือ คนที่จะมาต้องเก่งจริง ไม่ใช่แค่หน้าตาดูดีในสังคมอย่างเดียว แล้วต้องไม่ใช่แม่ทัพนายกองเข้ามาสมนาคุณกัน ไหนๆ ก็โชว์มาตลอดว่า เป็นรัฐบาลคนดี ไม่โกงกิน เปิดหรือไม่เปิด ไม่ใช่ปัญหา เพราะต่อให้เปิดขึ้นถ้าคนจะมุบมิบ มันก็โกงกันได้อยู่ดี แถมบัญชีที่ยื่นก็ไม่ได้แสดงมหาสมบัติที่มีกันตามความจริงสักเท่าไหร่
คิดจะปรับต้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จริงไหมเล่า ปัดโธ่ !