นายนพดล หลาวทอง ทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีการยื่นฟ้องคดีอาญาต่อนายจิรชัย มูลทองโร่ย ในข้อหาเป็นพนักงานผู้ปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 โดยบรรยายฟ้องสรุปว่า นายจิรชัย ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดในโครงการรับจำนำข้าว และได้มีความเห็นให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รับผิดต่อความเสียหายที่เกิดจากโครงการรับจำนำข้าวเป็นเงินกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า นายจิรชัย ได้ปฎิบัติหน้าที่ดังกล่าวโดยมิชอบ ขาดความเที่ยงธรรม ไม่เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบ ไม่ดำเนินการไต่สวนพยานบุคคล ไม่ดำเนินการตรวจสอบสินค้าคงเหลือ ไม่สอบพยาน ทั้งไม่ได้นำราคาข้าวสารที่คงเหลือหักออกจากความเสียหายก่อนปิดบัญชี โดยโครงการดังกล่าวเป็นการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรไม่ใช่เรื่องการค้าที่ต้องมีกำไรหรือขาดทุน หากมีความเสียหายก็มิได้เกิดจากการกระทำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยตรง ดังนั้นการกระทำของนายจิรชัย จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริต อีกทั้งกระทำตามคำสั่งโดยมิชอบด้วยกฎหมายเพื่อมุ่งหมายกลั่นแกล้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์
นายนพดล กล่าวอีกว่า นายจิรชัย ได้ยื่นคำร้องขอคัดถ่ายสำเนาคำฟ้อง โดยศาลได้อนุญาต ทั้ง ๆ ที่นายจริชัย ไม่น่าจะรู้มาก่อน จึงเป็นที่น่าระแวงสงสัยว่าเหตุใดนายจิรชัยจึงรู้ว่ามีการยื่นฟ้องตนเอง และศาลอาญาได้สั่งคำร้องและดำเนินกระบวนการพิจารณาที่ไม่เป็นไปตามปกติหลายประการ เช่น สั่งให้การพิจารณาคดีนี้เป็นไปตามระบบการไต่สวน ตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา และให้จำเลยแถลงโต้แย้งคำฟ้องของโจทก์เข้ามาในคดีได้ และศาลสั่งให้รับไว้พิจารณา โดยให้โจทก์ทำคำแก้คำแถลงของจำเลย ซึ่งกระบวนการดังกล่าวตนเห็นว่าเป็นกระบวนการที่ไม่ปกติ ในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจจากโจกท์ จึงได้ยื่นคำร้องขอคัดค้านคำสั่งและกระบวนการพิจารณาโดยมิชอบดังกล่าว โดยขอให้ศาลสั่งเพิกถอน รวมถึงร้องต่อประธานศาลฎีกาในฐานะผู้รักษาระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ต่อมาในวันที่ 10 มิถุนายน 2559 ศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ ดังนั้นโจทก์จึงจำเป็นต้องยื่นอุทธรณ์ โต้แย้งคำพิพากษาของศาลอาญาอีกครั้งในวันนี้ (23 มิ.ย.)
นายนพดล กล่าวอีกว่า นายจิรชัย ได้ยื่นคำร้องขอคัดถ่ายสำเนาคำฟ้อง โดยศาลได้อนุญาต ทั้ง ๆ ที่นายจริชัย ไม่น่าจะรู้มาก่อน จึงเป็นที่น่าระแวงสงสัยว่าเหตุใดนายจิรชัยจึงรู้ว่ามีการยื่นฟ้องตนเอง และศาลอาญาได้สั่งคำร้องและดำเนินกระบวนการพิจารณาที่ไม่เป็นไปตามปกติหลายประการ เช่น สั่งให้การพิจารณาคดีนี้เป็นไปตามระบบการไต่สวน ตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา และให้จำเลยแถลงโต้แย้งคำฟ้องของโจทก์เข้ามาในคดีได้ และศาลสั่งให้รับไว้พิจารณา โดยให้โจทก์ทำคำแก้คำแถลงของจำเลย ซึ่งกระบวนการดังกล่าวตนเห็นว่าเป็นกระบวนการที่ไม่ปกติ ในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจจากโจกท์ จึงได้ยื่นคำร้องขอคัดค้านคำสั่งและกระบวนการพิจารณาโดยมิชอบดังกล่าว โดยขอให้ศาลสั่งเพิกถอน รวมถึงร้องต่อประธานศาลฎีกาในฐานะผู้รักษาระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ต่อมาในวันที่ 10 มิถุนายน 2559 ศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ ดังนั้นโจทก์จึงจำเป็นต้องยื่นอุทธรณ์ โต้แย้งคำพิพากษาของศาลอาญาอีกครั้งในวันนี้ (23 มิ.ย.)