"วัชระ"จี้"นายกฯ- รมว.คลัง" ปลดบอร์ดเอสเอ็มอีแบงก์ทั้งคณะ เหตุทำผิดกม.หลายเรื่อง แถมบอร์ด 3 ใน 5 ยังขัดพ.ร.บ.คุณสมบัติมาตรฐานฯ พร้อมบี้"สมคิด"รับผิดชอบฐานเสนอชื่อ"สาลินี"นั่งปธ.บอร์ด ทั้งที่เจอคดีทุจริต
วานนี้ (28ส.ค.) นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้คณะกรรมการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม แห่งประเทศไทย หรือ เอสเอ็มอี แบงก์ พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ หลังจากที่ นางสาลินี วังตาล ประธานกรรมการได้ลาออกจากตำแหน่งไปเมื่อวันที่ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา จากกรณีปัญหาการทุจริต โดยเรื่องหนึ่งที่กระทำความผิดคือ การอนุมัติสินเชื่อโดยหละหลวมของบอร์ดให้กับ หจก.โรงสีข้าวจงเจริญ วงเงิน 125 ล้านบาท ซึ่งรับรีไฟแนนซ์ลูกหนี้จากธนาคารอื่น ขณะที่ลูกหนี้หยุดกิจการแล้ว และมีปัญหาในการชำระหนี้กับธนาคารเดิม เมื่อ เอสเอ็มอี แบงก์ รับรีไฟแนนซ์มาได้รับการชำระหนี้เพียงงวดเดียว โดยการอนุมัติดังกล่าว ยังขัดคำสั่งของ รมว.คลัง และ ซูเปอร์บอร์ด ที่ห้ามไม่ให้ปล่อยสินเชื่อในลักษณะรับรีไฟแนนซ์ ลูกหนี้ที่มีปัญหาจากธนาคารอื่น และเน้นให้ปล่อยสินเชื่อวงเงินไม่เกิน15 ล้านบาทเท่านั้น
ดังนั้น จึงเห็นว่าการลาออกของนางสาลินี คนเดียวไม่เพียงพอ เนื่องจากเป็นการอนุมัติโดยบอร์ด เมื่อนางสาลินีลาออกแล้ว บอร์ดทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งทันที ตามพ.ร.บ.เอสเอ็มอีแบงก์
นอกจากนี้ บอร์ดชุดดังกล่าวยังมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในกรณีที่ตัวเองมีส่วนได้เสียซึ่งขัดต่อ พ.ร.บ.เอสเอ็มอีแบงก์ มาตรา20 ที่กำหนดว่า กรรมการผู้ใดมีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยตรง หรือโดยอ้อม ในเรื่องซึ่งที่ประชุมพิจารณาให้แจ้งการมีส่วนได้เสียของตนให้คณะกรรมการทราบ และห้ามมิให้ผู้นั้นเข้าประชุมพิจารณาเรื่องดังกล่าว แต่บอร์ดเอสเอ็มอีแบงก์ ที่มีส่วนในการอนุมัติสินเชื่อที่มีปัญหา จนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำหนังสือให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง กลับอยู่ร่วมในการพิจารณาตั้งคณะกรรมการตามคำสั่งของธปท. จึงมีความชัดเจนว่า เข้าข่ายฝ่าฝืน พ.ร.บ.เอสเอ็มอีแบงก์ ในมาตราดังกล่าว จนเป็นเหตุให้พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 17 ของกฎหมายฉบับเดียวกัน และยังอาจเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม มาตรา11 ของ พ.ร.บ.ผิดของพนักงานในองค์การ หรือ หน่วยงานของรัฐ ซึ่งมีโทษทางอาญาด้วย
นายวัชระกล่าวว่า ยังมีการกระทำความผิดในเรื่องการตั้งกรรมการสรรหากรรมการผู้จัดการที่ขาดคุณสมบัติ โดยมี 3 คนจาก5 คน ประกอบด้วย นายเวทย์ นุชเจริญ มีลักษณะต้องห้ามตาม พ.ร.บ.คุณสมบัติมาตรฐานฯ เนื่องจากดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการ บริษัท ศรีสวัสพาวเวอร์ 1979 จำกัด ซึ่งทำธุรกิจลักษณะเดียวกับ เอสเอ็มอีแบงก์ และยังมีประโยชน์ได้เสียโดย บริษัทในเครือเป็นผู้ประมูลซื้อหนี้เอ็นพีแอล จากเอสเอ็มอีแบงก์ หลายครั้ง นอกจากนี้ยังดำรงตำแหน่งกรรมการ บริษัททิพยประกันภัย ซึ่งได้รับงานประกันอัคคีภัยของลูกหนี้เอสเอ็มอีแบงก์ อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเคยดำรงตำแหน่ง รองกรรมการผู้จัดการอาสุโสธนาคารกรุงไทย ซึ่งทำธุรกรรมการเงินเช่นเดีวกับเอสเอ็มอีแบงก์ จึงถือเป็นนิติบุคคลที่มีประโยชน์ได้เสีย เกี่ยวข้องกับกิจการของเอสเอ็มอี แบงก์
2. นางพรรณขนิตตา บุญครอง ประธานกรรมการสรรหา ซึ่งเป็นกรรมการ บ.ทิพยประกันภัยด้วย และ 3. นางเสาวณีย์ กมลบุตร เคยดำรวงตำแหน่งประธานกรรมการธนาคารทหารไทย จึงมีลักษระต้องห้ามเช่นเดียวกับ นายเวทย์ เมื่อกรรมการสรรหา 3 คนจาก 5 คน มีลักษณะต้องห้ามจึงทำให้การสรรหาให้นายมงคล ลีลาธรรม เป็นกรรมการผู้จัดการ เอสเอ็มอีแบงก์ คนปัจจุบัน ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งในกรณีนี้บอร์ดไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมาย ทั้งขั้นตอนการสรรหา และแต่งตั้ง ทำให้บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งอาจเป็นผู้ขาดคุณสมบัติ ตามที่กฎหมายกำหนด
"กรณีนี้คล้ายคลึงกับคดีที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีต รมว.คลัง ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพาษาจำคุก 1 ปี แต่ให้รอลงอาญา จากการคัดเลือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของแบงก์ชาติ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้จะมีการยกเลิกไปก่อนได้รับการแต่งตั้ง แต่ยังถูกตัดสินว่ามีความผิด ดังนั้นในกรณีนี้เมื่อการแต่งตั้งไม่ถูกต้อง และผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งมาแล้วตั้งแต่เดือน ม.ค. 59 จึงถือว่าเป็นกรณีที่สร้างความเสียหายมากกว่า ดังนั้นจึงขอให้ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ซึ่งกำกับดูแลเอสเอ็มดีแบงก์ ดำเนินการเรื่องนี้โดยเร็ว และขอให้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ในฐานะที่เสนอชื่อนางสาลินี เป็นประธานบอร์ด เอสเอ็มอีแบงก์ รวมถึงขอให้นางสาลินี ลาออกจากตำแหน่ง ผอ.สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ พล.อ.ประยุทธ์ใช้อำนาจมาตรา 44 แต่งตั้งด้วย เพราะตำแหน่งนี้ต้องเป็นข้าราชการเท่านั้น แต่ขณะนี้นางสาลินีไม่ได้เป็นข้าราชการแล้ว " นายวัชระ กล่าว
วานนี้ (28ส.ค.) นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้คณะกรรมการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม แห่งประเทศไทย หรือ เอสเอ็มอี แบงก์ พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ หลังจากที่ นางสาลินี วังตาล ประธานกรรมการได้ลาออกจากตำแหน่งไปเมื่อวันที่ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา จากกรณีปัญหาการทุจริต โดยเรื่องหนึ่งที่กระทำความผิดคือ การอนุมัติสินเชื่อโดยหละหลวมของบอร์ดให้กับ หจก.โรงสีข้าวจงเจริญ วงเงิน 125 ล้านบาท ซึ่งรับรีไฟแนนซ์ลูกหนี้จากธนาคารอื่น ขณะที่ลูกหนี้หยุดกิจการแล้ว และมีปัญหาในการชำระหนี้กับธนาคารเดิม เมื่อ เอสเอ็มอี แบงก์ รับรีไฟแนนซ์มาได้รับการชำระหนี้เพียงงวดเดียว โดยการอนุมัติดังกล่าว ยังขัดคำสั่งของ รมว.คลัง และ ซูเปอร์บอร์ด ที่ห้ามไม่ให้ปล่อยสินเชื่อในลักษณะรับรีไฟแนนซ์ ลูกหนี้ที่มีปัญหาจากธนาคารอื่น และเน้นให้ปล่อยสินเชื่อวงเงินไม่เกิน15 ล้านบาทเท่านั้น
ดังนั้น จึงเห็นว่าการลาออกของนางสาลินี คนเดียวไม่เพียงพอ เนื่องจากเป็นการอนุมัติโดยบอร์ด เมื่อนางสาลินีลาออกแล้ว บอร์ดทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งทันที ตามพ.ร.บ.เอสเอ็มอีแบงก์
นอกจากนี้ บอร์ดชุดดังกล่าวยังมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในกรณีที่ตัวเองมีส่วนได้เสียซึ่งขัดต่อ พ.ร.บ.เอสเอ็มอีแบงก์ มาตรา20 ที่กำหนดว่า กรรมการผู้ใดมีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยตรง หรือโดยอ้อม ในเรื่องซึ่งที่ประชุมพิจารณาให้แจ้งการมีส่วนได้เสียของตนให้คณะกรรมการทราบ และห้ามมิให้ผู้นั้นเข้าประชุมพิจารณาเรื่องดังกล่าว แต่บอร์ดเอสเอ็มอีแบงก์ ที่มีส่วนในการอนุมัติสินเชื่อที่มีปัญหา จนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำหนังสือให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง กลับอยู่ร่วมในการพิจารณาตั้งคณะกรรมการตามคำสั่งของธปท. จึงมีความชัดเจนว่า เข้าข่ายฝ่าฝืน พ.ร.บ.เอสเอ็มอีแบงก์ ในมาตราดังกล่าว จนเป็นเหตุให้พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 17 ของกฎหมายฉบับเดียวกัน และยังอาจเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม มาตรา11 ของ พ.ร.บ.ผิดของพนักงานในองค์การ หรือ หน่วยงานของรัฐ ซึ่งมีโทษทางอาญาด้วย
นายวัชระกล่าวว่า ยังมีการกระทำความผิดในเรื่องการตั้งกรรมการสรรหากรรมการผู้จัดการที่ขาดคุณสมบัติ โดยมี 3 คนจาก5 คน ประกอบด้วย นายเวทย์ นุชเจริญ มีลักษณะต้องห้ามตาม พ.ร.บ.คุณสมบัติมาตรฐานฯ เนื่องจากดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการ บริษัท ศรีสวัสพาวเวอร์ 1979 จำกัด ซึ่งทำธุรกิจลักษณะเดียวกับ เอสเอ็มอีแบงก์ และยังมีประโยชน์ได้เสียโดย บริษัทในเครือเป็นผู้ประมูลซื้อหนี้เอ็นพีแอล จากเอสเอ็มอีแบงก์ หลายครั้ง นอกจากนี้ยังดำรงตำแหน่งกรรมการ บริษัททิพยประกันภัย ซึ่งได้รับงานประกันอัคคีภัยของลูกหนี้เอสเอ็มอีแบงก์ อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเคยดำรงตำแหน่ง รองกรรมการผู้จัดการอาสุโสธนาคารกรุงไทย ซึ่งทำธุรกรรมการเงินเช่นเดีวกับเอสเอ็มอีแบงก์ จึงถือเป็นนิติบุคคลที่มีประโยชน์ได้เสีย เกี่ยวข้องกับกิจการของเอสเอ็มอี แบงก์
2. นางพรรณขนิตตา บุญครอง ประธานกรรมการสรรหา ซึ่งเป็นกรรมการ บ.ทิพยประกันภัยด้วย และ 3. นางเสาวณีย์ กมลบุตร เคยดำรวงตำแหน่งประธานกรรมการธนาคารทหารไทย จึงมีลักษระต้องห้ามเช่นเดียวกับ นายเวทย์ เมื่อกรรมการสรรหา 3 คนจาก 5 คน มีลักษณะต้องห้ามจึงทำให้การสรรหาให้นายมงคล ลีลาธรรม เป็นกรรมการผู้จัดการ เอสเอ็มอีแบงก์ คนปัจจุบัน ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งในกรณีนี้บอร์ดไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมาย ทั้งขั้นตอนการสรรหา และแต่งตั้ง ทำให้บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งอาจเป็นผู้ขาดคุณสมบัติ ตามที่กฎหมายกำหนด
"กรณีนี้คล้ายคลึงกับคดีที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีต รมว.คลัง ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพาษาจำคุก 1 ปี แต่ให้รอลงอาญา จากการคัดเลือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของแบงก์ชาติ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้จะมีการยกเลิกไปก่อนได้รับการแต่งตั้ง แต่ยังถูกตัดสินว่ามีความผิด ดังนั้นในกรณีนี้เมื่อการแต่งตั้งไม่ถูกต้อง และผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งมาแล้วตั้งแต่เดือน ม.ค. 59 จึงถือว่าเป็นกรณีที่สร้างความเสียหายมากกว่า ดังนั้นจึงขอให้ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ซึ่งกำกับดูแลเอสเอ็มดีแบงก์ ดำเนินการเรื่องนี้โดยเร็ว และขอให้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ในฐานะที่เสนอชื่อนางสาลินี เป็นประธานบอร์ด เอสเอ็มอีแบงก์ รวมถึงขอให้นางสาลินี ลาออกจากตำแหน่ง ผอ.สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ พล.อ.ประยุทธ์ใช้อำนาจมาตรา 44 แต่งตั้งด้วย เพราะตำแหน่งนี้ต้องเป็นข้าราชการเท่านั้น แต่ขณะนี้นางสาลินีไม่ได้เป็นข้าราชการแล้ว " นายวัชระ กล่าว