ผู้จัดการรายวัน 360 - “ศรีวราห์” ยกทัพลงเมืองคอนตามคดีบึ้ม ก่อนวืดหมายจับ “ศักรินทร์" ผู้ต้องสงสัยที่เคยปล่อยตัวไปแล้ว หลังศาลแนะให้ออกหมายเรียกก่อน ระบุพอใจคดีคืบหน้ากว่า 50% “บิ๊กตู่” ยันไม่เกี่ยว “มาราปาตานี” ส่วน "บิ๊กป้อม" ไม่เชื่อ "บีอาร์เอ็น" ร่วมก่อเหตุ “ศาลทหาร” เลื่อนสืบพยานปากแรกคดีระเบิด “ราชประสงค์-ท่าเรือสาทร” หลังล่ามจำเลยหนีหมายจับ ประสานล่ามสภาอุยกูร์โลกช่วยแปลภาษา คาดคดีจบปลายปี 60
วานนี้ (23 ส.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ศาลทหาร มณฑลทหารบกที่ 41 (มทบ.41) ค่ายวชิราวุธ จ.นครศรีธรรมราช พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวน สอบสวนคดีวินาศกรรมในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ระหว่างวันที่ 10-12 ส.ค.ที่ผ่านมา พร้อมด้วย พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เดินทางลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดี รวมทั้งดำเนินการขออำนาจศาลทหาร มทบ.41 ออกหมายจับ นายศักรินทร์ คฤหัส ชาวจังหวัดเชียงใหม่ ใน 3 ข้อหา คือร่วมกันครอบครองวัตถุระเบิด กระทำการให้เกิดเหตุระเบิด และวางเพลิง
พล.ต.อ.ศรีวราห์ เปิดเผยว่า จากการสืบสวนพบพยานหลักฐานชัดเจนว่า นายศักรินทร์มีส่วนร่วมการใช้วัตถุระเบิดแรงดันต่ำในการก่อเหตุเผาห้างสรรพสินค้าโลตัส จ.นครศรีธรรมราชชัดเจน จึงต้องมีการถอนหมายจับจากศาล จ.นครศรีธรรมราช และขอหมายจับที่ศาลทหารใหม่อีกครั้ง โดยใช้พยานหลักฐานเดิม และรายงานเรื่องการตรวจสอบวัตถุระเบิดจากทางหน่วยเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด (อีโอดี) ในการขอออกหมายจับ ส่วนการกักตัวนายศักรินทร์และปล่อยตัวไปก่อนหน้านี้นั้นเป็นอำนาจของทาง คสช.ที่สามารถกระทำได้กับผู้ต้องสงสัย ซึ่งทางตนและพนักงานสอบสวนยังไม่ได้มีการพูดคุยหรือสอบปากคำกับนายศักรินทร์ ส่วนนายศักรินทร์จะมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ที่พบว่ามีหลักฐานว่าเป็นกลุ่มก่อเหตุหรือไม่นั้น เบื้องต้นยังไม่พบความเชื่อมโยงกัน ซึ่งการออกหมายจับเป็นไปตามพยานหลักฐานที่พบเท่านั้น
“ในวันนี้มีหลายฝ่ายลงพื้นที่เพื่อไปชี้แจงต่อศาลทหาร ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อม หากศาลต้องการไต่สวนถึงรายละเอียดคดี ขณะที่หากมีหลักฐานเชื่อมโยงถึงใครก็สามารถดำเนินการออกหมายจับได้ทันที ผมมั่นใจว่า พยานหลักฐานในคดีนี้มีความคืบหน้ามากกว่าร้อยละ 50 และพอใจในการทำคดีของพนักงานสอบสวน” พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าว
** ชี้ระเบิดคล้ายป่วนเมืองปี 49-50
พล.ต.อ.ศรีวราห์ เปิดเผยด้วยว่า จากการสืบสวนพบอีกว่า วัตถุระเบิดที่ผู้ก่อเหตุใช้สร้างสถานการณ์นั้นทางเจ้าหน้าที่อีโอดีระบุว่า มี 2 ลักษณะคือ ลักษณะแรกเป็นระเบิดเพลิงแสวงเครื่อง แฝงอยู่ในพาวเวอร์แบงก์ขนาดใกล้เคียงฝ่ามือ ภายในมีโทรศัพท์มือถือยี่ห้อซัมซุงเป็นตัวจุดฉนวน พ่วงกับถุงบรรจุดินประสิวและส่วนผสมอื่นๆ โดยพบว่าระเบิดเพลิงดังกล่าวถูกนำไปใช้ในเหตุเพลิงไหม้ห้างสรรพสินค้าโลตัส จ.นครศรีธรรมราช โดยนำไปวางไว้บนชั้นวางสินค้าประเภทผ้าอนามัย อีกลักษณะเป็นระเบิดแสวงเครื่องใส่ในกล่องมันฝรั่งยี่ห้อปริงเคิล ภายในมีกระบอกเหล็กบรรจุโทรศัพท์มือถือตัวจุดฉนวน พ่วงกับส่วนผสมระเบิดบริเวณท้ายกระบอก ถูกนำไปวางตามจุดท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ เพื่อความสถานการณ์ความวุ่นวาย สำหรับระเบิดลักษณะที่ 2 มีรายงานข่าวถึงการตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีความเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดป่วนเมืองช่วงปลายปี 2549 ต่อเนื่อง 2550 บริเวณห้างซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ โดยผู้ผลิตระเบิดอาจเป็นคนเดียวกัน มีวัตถุประสงค์คือการสร้างสถานการณ์ปั่นป่วนวุ่นวาย แต่เนื่องจากจุดที่เกิดระเบิดมีประชาชนอยู่ใกล้เคียง จึงทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต
** วืดหมายจับ ศาลให้ออกหมายเรียก
ภายหลังจากที่ศาลทหารพิจารณากว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง พล.ต.อ.ศรีวราห์ เปิดเผยว่า ศาลทหารพิจารณายกคำร้องขอออกหมายจับในทางข้อกฎหมาย โดยให้เหตุผลว่า นายศักรินทร์ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี พนักงานสอบสวนสามารถดำเนินการตามกระบวนการการสอบสวนได้ก่อน เช่น การออกหมายเรียก ซึ่งตนจะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมชุดสืบสวนสอบสวนอีกครั้งว่า จะดำเนินการอย่างไรกับนายศักรินทร์ อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบของตำรวจภูธร จ.นครศรีธรรมราชทราบว่า หลังจากได้รับการปล่อยตัว นายศักรินทร์ได้เดินทางกลับบ้านที่ จ.เชียงใหม่ และยังคงอยู่ในพื้นที่ ทั้งนี้จะเชิญตัวนายศักรินทร์มาพบพนักงานสอบสวน เพื่อให้ปากคำหรือออกหมายเรียกอีกหรือไม่ ต้องพิจารณาพยานหลักฐานอีกครั้งหนึ่ง แต่ยอมรับว่านอกจากนายศักรินทร์แล้ว จากการสืบสวนสอบสวนขณะนี้ มีผู้ต้องสงสัยเพิ่มเติมในคดีวางเพลิงห้างโลตัส จ.นครศรีธรรมราช โดยยอมรับว่าจากพยานหลักฐาน ตนให้น้ำหนักไปที่ผู้ต้องสงสัยรายใหม่ ซึ่งมีมากกว่า 1 ราย
** นายกฯยันไม่เกี่ยว “มาลาปาตานี”
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวว่า ฝ่ายความมั่นคงชี้แจงมาแล้วมีอยู่ 3 ประเด็น ประเด็นแรกคือพรรคแนวร่วมปฏิวัติเพื่อประชาธิปไตย (นปป.) ที่ต้องไปดูว่ามีการละเมิดกฎหมายอะไรบ้าง จะเกี่ยวไม่เกี่ยวก็ว่ากันอีกที จะมาบอกว่าไม่มีศักยภาพเป็นคนแก่แล้วผิดกฎหมายได้หรือไม่ กลุ่มที่ 2 คือเหตุการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีเหตุการณ์อยู่แล้วในปัจจุบัน ต้องไปดูว่าเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า ซึ่งได้มีการจับกุมได้มาหลายรายแล้ว แต่ไม่ใช่กรณีที่ว่าจะขยายขัดแย้งมานอกพื้นที่ และเรื่องที่ 3 คือการเมืองที่ไปขยายความขัดแย้งในประเด็นร่างรัฐธรรมนูญ มีคนฉวยโอกาสตรงนี้ ฝ่ายความมั่นคงยืนยันว่ายังไม่ทิ้งประเด็นใด จะโยงก็ได้ไม่โยงก็ได้ แล้วแต่หลักฐาน ทั้งนี้ยืนยันว่า ไม่เกี่ยวกับกลุ่มมาลาปาตานี
** “บิ๊กป้อม” ไม่เชื่อ “บีอาร์เอ็น” มีเอี่ยว
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ระบุว่าผู้ก่อเหตุวางระเบิดในพื้นที่หลายจังหวัดในภาคใต้ อาจเป็นกลุ่มบีอาร์เอ็นรุ่นใหม่ว่า ข้อมูลดังกล่าวยังไม่ได้ยืนยัน แต่สิ่งที่คณะพูดคุยสันติสุขยืนยันกับตนว่า บีอาร์เอ็นไม่ได้เกี่ยวข้อง เรื่องนี้ยังไม่ชัดเจนต้องขอเวลาตรวจสอบให้เกิดความชัดเจนก่อน แต่ผู้ที่ก่อเหตุเป็นคนหนุ่มทั้งหมด ตามภาพที่กล้องวงจรปิดสามารถจับภาพไว้ได้
** ล่าม “อาเดม” หนีหมายจับ
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 08.50 น. ที่ศาลทหารกรุงเทพ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ทหารพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ได้นำตัว นายอาเดม คาราดัก จำเลยที่ 1 และนายไมไรลี ยูซุฟู จำเลยที่ 2 ผู้ต้องหาในคดีระเบิดราชประสงค์ และท่าเรือสาทร มายังศาลทหารฯ เพื่อนัดสืบพยานปากแรก โดยมี พ.ต.ท.ทวยเทพ เดวิด วิบุลศิลป์ สว.กก.4 ส.2 กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ทำหน้าที่เป็นล่ามแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย โดยทางศาลทหารกรุงเทพได้อนุญาตให้สื่อมวลชนส่งตัวแทนเข้าร่วมรับฟังได้ด้วย จากนั้นเวลา 11.40 น. เจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ได้นำตัวนายอาเดมและนายไมไรลี ออกจากศาลทหารฯ ภายหลังเสร็จสิ้นกระบวนการทางศาลเพื่อเดินทางกลับเรือนจำชั่วคราว แขวงถนนนครไชยศรี ภายในกองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11 (พัน.ร.มทบ.11)
โดย นายชูชาติ กันภัย ทนายความของนายอาเดม เปิดเผยว่า วันนี้เป็นวันนัดสืบพยานของโจทก์นัดแรก แต่ล่ามที่ศาลทหารฯ ได้แต่งตั้งคือนายบัคคาดีร็อก ซีโรจิดินส์ ที่สามารถสื่อสารภาษาอุยกูร์เป็นภาษาอังกฤษได้นั้นถูกดำเนินคดีที่ สน.ลุมพินี และได้หลบหนีหมายศาลอยู่ ทำให้มาศาลทหารฯ ในวันนี้ไม่ได้ ดังนั้นจำเป็นต้องเลื่อนสืบพยานออกไปเป็นวันที่ 15 ก.ย. 59 เพื่อหาล่ามคนใหม่แทน โดยทางฝ่ายจำเลยได้เสนอชื่อ นายโอเมอร์ แฮเนท ที่อยู่สภาอุยกูร์โลกมาเป็นล่ามคนใหม่ ซึ่งทางอัยการศาลทหารก็ได้เสนอให้หาล่ามคนใหม่เช่นเดียวกัน โดยตนได้ยื่นคำร้องต่อศาลทหารฯ ไปแล้ว ทั้งนี้ต้องรอการพิจารณาคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 7 วัน เพื่อทำหนังสือถึงสภาอุยกูร์โลก เพื่อส่งตัวล่ามมาช่วยในขั้นตอนของศาลทหารฯ ซึ่งทางสภาอุยกูร์โลกก็ยินดีให้ความร่วมมือ แต่ทั้งนี้ต้องรอศาลทหารฯ แต่งตั้งเป็นล่ามก่อนถึงจะดำเนินการในศาลทหารฯ ได้ ส่วนค่าใช้จ่ายของล่าม ทางสภาอุยกูร์โลกเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด ถือว่าเป็นล่ามที่ได้มาตรฐาน
นายชูชาติ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ในระหว่างการพิจารณาทางกรมราชทัณฑ์ได้ส่งรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องการที่ทางจำเลยทั้งสองขอให้ย้ายเรือนจำจากเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี ไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ แต่ทางกรมราชทัณฑ์ได้แจ้งว่าคดีดังกล่าวนี้เป็นคดีความมั่นคง การที่จะนำผู้ต้องหาทั้งสองคนไปขังปนกับผู้ต้องหาคนอื่นนั้นอาจจะไม่มีความปลอดภัย จึงขอให้อยู่ที่เดิมคือเรือนจำชั่วคราว แขวงถนนนครไชยศรี ซึ่งตนได้แจ้งจำเลยทั้งสองคนแล้ว และก็ไม่ได้ขัดข้อง รวมถึงทางเจ้าหน้าที่เรือนจำก็ดูแลอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องอาหารตจามหลักศาสนาอิสลาม ส่วนกรณีที่เคยแถลงต่อศาลทหารฯ ว่าจำเลยทั้งสองคนถูกทำร้ายขณะนี้อยู่ในเรือนจำนั้น ทางกรมราชทัณฑ์ได้ส่งหนังสือกลับมาที่ศาลทหารฯ ว่าได้ตรวจร่างกายแล้วไม่พบร่องรอยว่าถูกทำร้ายร่างกาย อย่างไรก็ตามตนคิดว่าคดีนี้ศาลทหารฯ จะมีคำพิพากษาได้ช่วงปลายปี 60 เนื่องจากมีพยานทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยไม่ต่ำกว่า 250 ปาก ดังนั้นต้องใช้เวลา.
วานนี้ (23 ส.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ศาลทหาร มณฑลทหารบกที่ 41 (มทบ.41) ค่ายวชิราวุธ จ.นครศรีธรรมราช พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวน สอบสวนคดีวินาศกรรมในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ระหว่างวันที่ 10-12 ส.ค.ที่ผ่านมา พร้อมด้วย พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เดินทางลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดี รวมทั้งดำเนินการขออำนาจศาลทหาร มทบ.41 ออกหมายจับ นายศักรินทร์ คฤหัส ชาวจังหวัดเชียงใหม่ ใน 3 ข้อหา คือร่วมกันครอบครองวัตถุระเบิด กระทำการให้เกิดเหตุระเบิด และวางเพลิง
พล.ต.อ.ศรีวราห์ เปิดเผยว่า จากการสืบสวนพบพยานหลักฐานชัดเจนว่า นายศักรินทร์มีส่วนร่วมการใช้วัตถุระเบิดแรงดันต่ำในการก่อเหตุเผาห้างสรรพสินค้าโลตัส จ.นครศรีธรรมราชชัดเจน จึงต้องมีการถอนหมายจับจากศาล จ.นครศรีธรรมราช และขอหมายจับที่ศาลทหารใหม่อีกครั้ง โดยใช้พยานหลักฐานเดิม และรายงานเรื่องการตรวจสอบวัตถุระเบิดจากทางหน่วยเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด (อีโอดี) ในการขอออกหมายจับ ส่วนการกักตัวนายศักรินทร์และปล่อยตัวไปก่อนหน้านี้นั้นเป็นอำนาจของทาง คสช.ที่สามารถกระทำได้กับผู้ต้องสงสัย ซึ่งทางตนและพนักงานสอบสวนยังไม่ได้มีการพูดคุยหรือสอบปากคำกับนายศักรินทร์ ส่วนนายศักรินทร์จะมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ที่พบว่ามีหลักฐานว่าเป็นกลุ่มก่อเหตุหรือไม่นั้น เบื้องต้นยังไม่พบความเชื่อมโยงกัน ซึ่งการออกหมายจับเป็นไปตามพยานหลักฐานที่พบเท่านั้น
“ในวันนี้มีหลายฝ่ายลงพื้นที่เพื่อไปชี้แจงต่อศาลทหาร ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อม หากศาลต้องการไต่สวนถึงรายละเอียดคดี ขณะที่หากมีหลักฐานเชื่อมโยงถึงใครก็สามารถดำเนินการออกหมายจับได้ทันที ผมมั่นใจว่า พยานหลักฐานในคดีนี้มีความคืบหน้ามากกว่าร้อยละ 50 และพอใจในการทำคดีของพนักงานสอบสวน” พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าว
** ชี้ระเบิดคล้ายป่วนเมืองปี 49-50
พล.ต.อ.ศรีวราห์ เปิดเผยด้วยว่า จากการสืบสวนพบอีกว่า วัตถุระเบิดที่ผู้ก่อเหตุใช้สร้างสถานการณ์นั้นทางเจ้าหน้าที่อีโอดีระบุว่า มี 2 ลักษณะคือ ลักษณะแรกเป็นระเบิดเพลิงแสวงเครื่อง แฝงอยู่ในพาวเวอร์แบงก์ขนาดใกล้เคียงฝ่ามือ ภายในมีโทรศัพท์มือถือยี่ห้อซัมซุงเป็นตัวจุดฉนวน พ่วงกับถุงบรรจุดินประสิวและส่วนผสมอื่นๆ โดยพบว่าระเบิดเพลิงดังกล่าวถูกนำไปใช้ในเหตุเพลิงไหม้ห้างสรรพสินค้าโลตัส จ.นครศรีธรรมราช โดยนำไปวางไว้บนชั้นวางสินค้าประเภทผ้าอนามัย อีกลักษณะเป็นระเบิดแสวงเครื่องใส่ในกล่องมันฝรั่งยี่ห้อปริงเคิล ภายในมีกระบอกเหล็กบรรจุโทรศัพท์มือถือตัวจุดฉนวน พ่วงกับส่วนผสมระเบิดบริเวณท้ายกระบอก ถูกนำไปวางตามจุดท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ เพื่อความสถานการณ์ความวุ่นวาย สำหรับระเบิดลักษณะที่ 2 มีรายงานข่าวถึงการตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีความเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดป่วนเมืองช่วงปลายปี 2549 ต่อเนื่อง 2550 บริเวณห้างซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ โดยผู้ผลิตระเบิดอาจเป็นคนเดียวกัน มีวัตถุประสงค์คือการสร้างสถานการณ์ปั่นป่วนวุ่นวาย แต่เนื่องจากจุดที่เกิดระเบิดมีประชาชนอยู่ใกล้เคียง จึงทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต
** วืดหมายจับ ศาลให้ออกหมายเรียก
ภายหลังจากที่ศาลทหารพิจารณากว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง พล.ต.อ.ศรีวราห์ เปิดเผยว่า ศาลทหารพิจารณายกคำร้องขอออกหมายจับในทางข้อกฎหมาย โดยให้เหตุผลว่า นายศักรินทร์ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี พนักงานสอบสวนสามารถดำเนินการตามกระบวนการการสอบสวนได้ก่อน เช่น การออกหมายเรียก ซึ่งตนจะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมชุดสืบสวนสอบสวนอีกครั้งว่า จะดำเนินการอย่างไรกับนายศักรินทร์ อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบของตำรวจภูธร จ.นครศรีธรรมราชทราบว่า หลังจากได้รับการปล่อยตัว นายศักรินทร์ได้เดินทางกลับบ้านที่ จ.เชียงใหม่ และยังคงอยู่ในพื้นที่ ทั้งนี้จะเชิญตัวนายศักรินทร์มาพบพนักงานสอบสวน เพื่อให้ปากคำหรือออกหมายเรียกอีกหรือไม่ ต้องพิจารณาพยานหลักฐานอีกครั้งหนึ่ง แต่ยอมรับว่านอกจากนายศักรินทร์แล้ว จากการสืบสวนสอบสวนขณะนี้ มีผู้ต้องสงสัยเพิ่มเติมในคดีวางเพลิงห้างโลตัส จ.นครศรีธรรมราช โดยยอมรับว่าจากพยานหลักฐาน ตนให้น้ำหนักไปที่ผู้ต้องสงสัยรายใหม่ ซึ่งมีมากกว่า 1 ราย
** นายกฯยันไม่เกี่ยว “มาลาปาตานี”
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวว่า ฝ่ายความมั่นคงชี้แจงมาแล้วมีอยู่ 3 ประเด็น ประเด็นแรกคือพรรคแนวร่วมปฏิวัติเพื่อประชาธิปไตย (นปป.) ที่ต้องไปดูว่ามีการละเมิดกฎหมายอะไรบ้าง จะเกี่ยวไม่เกี่ยวก็ว่ากันอีกที จะมาบอกว่าไม่มีศักยภาพเป็นคนแก่แล้วผิดกฎหมายได้หรือไม่ กลุ่มที่ 2 คือเหตุการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีเหตุการณ์อยู่แล้วในปัจจุบัน ต้องไปดูว่าเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า ซึ่งได้มีการจับกุมได้มาหลายรายแล้ว แต่ไม่ใช่กรณีที่ว่าจะขยายขัดแย้งมานอกพื้นที่ และเรื่องที่ 3 คือการเมืองที่ไปขยายความขัดแย้งในประเด็นร่างรัฐธรรมนูญ มีคนฉวยโอกาสตรงนี้ ฝ่ายความมั่นคงยืนยันว่ายังไม่ทิ้งประเด็นใด จะโยงก็ได้ไม่โยงก็ได้ แล้วแต่หลักฐาน ทั้งนี้ยืนยันว่า ไม่เกี่ยวกับกลุ่มมาลาปาตานี
** “บิ๊กป้อม” ไม่เชื่อ “บีอาร์เอ็น” มีเอี่ยว
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ระบุว่าผู้ก่อเหตุวางระเบิดในพื้นที่หลายจังหวัดในภาคใต้ อาจเป็นกลุ่มบีอาร์เอ็นรุ่นใหม่ว่า ข้อมูลดังกล่าวยังไม่ได้ยืนยัน แต่สิ่งที่คณะพูดคุยสันติสุขยืนยันกับตนว่า บีอาร์เอ็นไม่ได้เกี่ยวข้อง เรื่องนี้ยังไม่ชัดเจนต้องขอเวลาตรวจสอบให้เกิดความชัดเจนก่อน แต่ผู้ที่ก่อเหตุเป็นคนหนุ่มทั้งหมด ตามภาพที่กล้องวงจรปิดสามารถจับภาพไว้ได้
** ล่าม “อาเดม” หนีหมายจับ
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 08.50 น. ที่ศาลทหารกรุงเทพ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ทหารพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ได้นำตัว นายอาเดม คาราดัก จำเลยที่ 1 และนายไมไรลี ยูซุฟู จำเลยที่ 2 ผู้ต้องหาในคดีระเบิดราชประสงค์ และท่าเรือสาทร มายังศาลทหารฯ เพื่อนัดสืบพยานปากแรก โดยมี พ.ต.ท.ทวยเทพ เดวิด วิบุลศิลป์ สว.กก.4 ส.2 กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ทำหน้าที่เป็นล่ามแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย โดยทางศาลทหารกรุงเทพได้อนุญาตให้สื่อมวลชนส่งตัวแทนเข้าร่วมรับฟังได้ด้วย จากนั้นเวลา 11.40 น. เจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ได้นำตัวนายอาเดมและนายไมไรลี ออกจากศาลทหารฯ ภายหลังเสร็จสิ้นกระบวนการทางศาลเพื่อเดินทางกลับเรือนจำชั่วคราว แขวงถนนนครไชยศรี ภายในกองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11 (พัน.ร.มทบ.11)
โดย นายชูชาติ กันภัย ทนายความของนายอาเดม เปิดเผยว่า วันนี้เป็นวันนัดสืบพยานของโจทก์นัดแรก แต่ล่ามที่ศาลทหารฯ ได้แต่งตั้งคือนายบัคคาดีร็อก ซีโรจิดินส์ ที่สามารถสื่อสารภาษาอุยกูร์เป็นภาษาอังกฤษได้นั้นถูกดำเนินคดีที่ สน.ลุมพินี และได้หลบหนีหมายศาลอยู่ ทำให้มาศาลทหารฯ ในวันนี้ไม่ได้ ดังนั้นจำเป็นต้องเลื่อนสืบพยานออกไปเป็นวันที่ 15 ก.ย. 59 เพื่อหาล่ามคนใหม่แทน โดยทางฝ่ายจำเลยได้เสนอชื่อ นายโอเมอร์ แฮเนท ที่อยู่สภาอุยกูร์โลกมาเป็นล่ามคนใหม่ ซึ่งทางอัยการศาลทหารก็ได้เสนอให้หาล่ามคนใหม่เช่นเดียวกัน โดยตนได้ยื่นคำร้องต่อศาลทหารฯ ไปแล้ว ทั้งนี้ต้องรอการพิจารณาคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 7 วัน เพื่อทำหนังสือถึงสภาอุยกูร์โลก เพื่อส่งตัวล่ามมาช่วยในขั้นตอนของศาลทหารฯ ซึ่งทางสภาอุยกูร์โลกก็ยินดีให้ความร่วมมือ แต่ทั้งนี้ต้องรอศาลทหารฯ แต่งตั้งเป็นล่ามก่อนถึงจะดำเนินการในศาลทหารฯ ได้ ส่วนค่าใช้จ่ายของล่าม ทางสภาอุยกูร์โลกเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด ถือว่าเป็นล่ามที่ได้มาตรฐาน
นายชูชาติ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ในระหว่างการพิจารณาทางกรมราชทัณฑ์ได้ส่งรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องการที่ทางจำเลยทั้งสองขอให้ย้ายเรือนจำจากเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี ไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ แต่ทางกรมราชทัณฑ์ได้แจ้งว่าคดีดังกล่าวนี้เป็นคดีความมั่นคง การที่จะนำผู้ต้องหาทั้งสองคนไปขังปนกับผู้ต้องหาคนอื่นนั้นอาจจะไม่มีความปลอดภัย จึงขอให้อยู่ที่เดิมคือเรือนจำชั่วคราว แขวงถนนนครไชยศรี ซึ่งตนได้แจ้งจำเลยทั้งสองคนแล้ว และก็ไม่ได้ขัดข้อง รวมถึงทางเจ้าหน้าที่เรือนจำก็ดูแลอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องอาหารตจามหลักศาสนาอิสลาม ส่วนกรณีที่เคยแถลงต่อศาลทหารฯ ว่าจำเลยทั้งสองคนถูกทำร้ายขณะนี้อยู่ในเรือนจำนั้น ทางกรมราชทัณฑ์ได้ส่งหนังสือกลับมาที่ศาลทหารฯ ว่าได้ตรวจร่างกายแล้วไม่พบร่องรอยว่าถูกทำร้ายร่างกาย อย่างไรก็ตามตนคิดว่าคดีนี้ศาลทหารฯ จะมีคำพิพากษาได้ช่วงปลายปี 60 เนื่องจากมีพยานทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยไม่ต่ำกว่า 250 ปาก ดังนั้นต้องใช้เวลา.