ผู้จัดการรายวัน 360 - เผยโฉมหน้า 3 ชายฉกรรจ์ต้องสงสัยเดินถือถุงรอบเมืองหัวหิน คาดเกี่ยวโยงระเบิด เชื่อกบดานอยู่พื้นที่ชายแดนใต้ ด้าน ตร.สุราษฎร์พบผู้ต้องสงสัยลอบบึ้มเพิ่มอีก 2 ราย “ฝ่ายกฎหมาย คสช.” เข้าให้ข้อมูลแก๊งใหม่ 17 คนโยงเหตุป่วน 7 จังหวัด ที่ศาลทหารอนุมัติหมายจับในข้อหา “อั้งยี่-ซ่องโจร” เผยคุมผู้ต้องหาไว้หมดแล้ว ให้ปากคำยอมรับตั้งพรรคเป็นองค์กรใต้ดินต้านรัฐบาล แต่ปฏิเสธเอี่ยวบึ้มใต้ เปิดชื่อส่วนใหญ่เป็นคนสูงอายุ ไม่มีคนชายแดนใต้ ด้าน "บิ๊กตู่" ลั่นไม่ปล่อยผีป่วนประเทศ-จับลงหลุมให้หมด "บิ๊กป้อม" ปัดทหาร-ตร.ขัดแย้งกัน ยันไม่จับใครผิดตัว วอนอย่ากดดัน ขอเวลาจนท.ทำงาน
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าคดีเหตุระเบิดในเมืองหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อคืนวันที่ 11 ส.ค.บริเวณย่านบาร์เบียร์ และช่วงเช้าวันที่ 12 ส.ค.ที่บริเวณหอนาฬิกาที่ผ่านมาว่า หลังจาก พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) และคณะ ได้เดินทางมาประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องที่ห้องประชุม สภ.หัวหิน เพื่อเร่งติดตามความคืบหน้าของคดี เมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา พร้อมกับระบุถึงความคืบหน้าของคดีว่า ในเบื้องต้นยอมรับว่าคนร้ายที่ก่อเหตุในอำเภอหัวหิน มีไม่ต่ำกว่า 2 ราย
ล่าสุด วานนี้ (18 ส.ค.) เจ้าหน้าที่ได้มีการเปิดเผยภาพผู้ต้องสงสัยจากกล้องวงจรปิดที่เห็นใบหน้าของผู้ต้องสงสัยค่อนข้างชัดเจน เป็นชายฉกรรณ์ 3 คน ที่อาจจะเป็นผู้ก่อเหตุลงมือวางระเบิดย่านบาร์เบียร์ และหอนาฬิกาหัวหิน รวมทั้งพยายามวางระเบิดเพลิงในตลาดฉัตร์ไชยหัวหิน ทั้ง 3 คนสวมหมวกอำพรางใบหน้า โดยหนึ่งในผู้ต้องสงสัยมีถือถุงพลาสติก ซึ่งคาดว่าน่าจะซุกซ่อนระเบิดอยู่ด้านใน
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ผู้ต้องสงสัยที่ก่อเหตุวางระเบิดในพื้นที่เทศบาลเมืองหัวหิน ซึ่งภาพกล้องซีซีทีวีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มา และตรวจสอบพบเห็นผู้ต้องสงสัยเป็นชายด้วยกัน 3 คน โดยสามารถเห็นตอนลงมือวางระเบิดในย่านบาร์เบียร์ และจุดที่เดินออกมาจากตลาดฉัตร์ไชย หลังจากนำระเบิดเพลิงไปวางไว้ในตลาดฉัตร์ไชยทั้ง 2 จุด และคาดว่ากลุ่มผู้ต้องสงสัยลงมือในวันที่ 10 ส.ค.เพียงวันเดียว ซึ่งเมื่อตรวจสอบพฤติกรรมก็พบว่า ทั้ง 3 คน ใช้วิธีเดินเท้าไปรอบเมืองหัวหิน ตามจุดสำคัญต่างๆ บางจุดมีการนั่งพักประมาณ 10 นาที นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งหน้าที่กัน คือ มีการเดินสำรวจ และเฝ้าระวังหน้า ระหวังให้กันไม่ให้มีพิรุธ โดยจุดแรกวางระเบิดในย่านบาร์เบียร์ 2 จุดก่อน หลังจากนั้น จึงไปวางที่บริเวณหอนาฬิกา และในตลาดฉัตร์ไชย ก่อนที่จะหลบหนีออกจากพื้นที่ในวันเดียวกัน ซึ่งทางตำรวจได้เห็นภาพหน้าตาผู้ต้องสงสัยลงมือก่อเหตุอย่างชัดเจน และยังทราบชื่อของทั้ง 3 คนหมดแล้ว และอยู่ระหว่างติดตามตัว ซึ่งยังคงอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เบื้องต้น เชื่อมั่นว่าทั้ง 3 คนไม่สามารถหลบหนีออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้ในขณะนี้
** ตร.สุราษฎร์ฯพบผู้ต้องสงสัยเพิ่มอีก 2 คน
ส่วนที่ จ.สุราษฎร์ธานี พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบช.น.ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคการสืบสวน พร้อมด้วย พล.ต.ต.อภิชาติ บุญศรีโรจน์ ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี พ.ต.อ.อนุชน ชามาตย์ รอง ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี หัวหน้าชุดคลี่คลายคดีระเบิด เข้าร่วมประชุมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ที่ศูนย์ปฏิบัติการสถานีตำรวจภูธรเมืองสุราษฎร์ธานี เพื่อติดตามความคืบหน้าการทำงานคลี่คลายคดีระเบิด โดยในการประชุมพบการทำงานคืบหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 80 โดยล่าสุดการติดตามเส้นทางของกลุ่มผู้ต้องสงสัยจากภาพวงจรปิด พบว่ากลุ่มคนร้ายน่าจะมีด้วยกัน ทั้งหมด 4 คนได้ว่าจ้างรถโดยสารขนาดเล็กจากบริเวณตลาดเกษตร 2 อ.เมืองสุราษฎร์ธานี ให้ไปส่งที่ป้อมสถานีตำรวจทางหลวงสุราษฎร์ธานี ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนทางหลวงหมายเลข 41 ต.คลองไทร อ.ท่าฉาง โดยแจ้งกับคนขับรถโดยสารว่า ต้องการเดินทางไป จ.ชุมพร จากการสอบสวนปากคำคนขับรถโดยสารระบุว่า บุคคลทั้ง 4 ไม่ได้ใช้ภาษาท้องถิ่นและใช้หน้ากากอนามัยปิดบังใบหน้าตลอดเวลา ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ยังคงเร่งติดตามภาพจากกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม เพื่อความชัดเจนในรูปพรรณสัณฐานของผู้ก่อเหตุ และเชื่อมโยงการก่อเหตุของกลุ่มผู้ต้องสงสัยทั้ง 4 คน ก่อนเสนอสำนวนการสอบสวนไปยัง รอง ผบ.ตร.ตามขั้นตอนต่อไป
**เตรียมนำ 17 ผู้ต้องสงสัยส่ง ตร.
วันเดียวกัน ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปราม พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ เสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชาฝ่ายกฎหมาย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าให้ข้อมูลทางคดีระเบิดพื้นที่ 7 จังหวัดใต้ เพิ่มเติมต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปราม หลังจากเข้าแจ้งความกลุ่มผู้ต้องสงสัยเชื่อมโยงการก่อเหตุระเบิดทางภาคใต้รวม 17 คน เมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา กรณีฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. สมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปกระทำการเข้าข่ายอั้งยี่ ซ่องโจร
พ.อ.บุรินทร์ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่คุมตัวผู้ต้องสงสัยทั้ง 17 รายเข้ามาคุมตัวไว้ที่เรือนจำพิเศษมณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) กรุงเทพมหานคร แต่ได้ปล่อยตัวไปก่อน 2 คน หลังจากนี้พนักงานสอบสวนจะเข้ายื่นคำร้องต่อศาลทหารขออนุมัติหมายจับทั้ง 17 คนในข้อหาดังกล่าว และจะตามตัว 2 คนที่ปล่อยไปกลับมาคุมตัวไว้รวมกับพวกที่ มทบ.11 และในวันที่ 19 ส.ค.นี้ ทหารจะนำตัวผู้ที่ถูกควบคุมตัวทั้งหมดมาส่งมอบให้กับทางพนักงานสอบสวนกองปราบปรามดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาตามขั้นตอนต่อไป
** สารภาพตั้งแก๊งต่อต้านรัฐ
วันเดียวกัน ที่ศาลทหารกรุงเทพฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ได้นำพยานหลักฐานไปขออนุมัติหมายจับ 17 ผู้ต้องหาก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหา ตามมาตรา 209 ตามประมวลกฎหมาย ป.วิอาญา ข้อหา การกระทำผิดอั้งยี่ และฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. ที่ 3/2558 ว่าด้วยการชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน
รายงานข่าวเปิดเผยว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 17 คน ซึ่งถูกควบคุมตัว ที่ มทบ.11 ยอมรับว่า เป็นสมาชิกของพรรคปฏิวัติเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเป็นกลุ่มใหม่มีแนวคิดต่อสู้ทางการเมืองกับรัฐ โดยการตรวจค้นบ้าน 1 ใน 17 ผู้ต้องหา พบอาวุธปืนสงคราม AK-47 จำนวน 1 กระบอก ทั้งนี้ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธว่า ไม่ได้มีส่วนก่อเหตุรุนแรงใน 7 จังหวัดภาคใต้ แต่เจ้าหน้าที่จะติดตามสืบสวนความเชื่อมโยงต่อไป
ต่อมาเวลา 16.00 น. ศาลทหารได้อนุมัติหมายจับตามคำร้องของพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เลขที่ จพ 29/2559 ข้อหา ตามมาตรา 209 ตามประมวลกฎหมาย ป.วิอาญา ข้อหาการกระทำผิดอั้งยี่ และฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. ที่ 3/2558 ว่าด้วยการชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน
** เปิดชื่อ 17 ราย-ไร้คนชายแดนใต้
โดยผู้ต้องหาทั้ง 17 ราย ประกอบด้วย 1.ด.ต.ศิริรัตน์ มโนรัตน์ อายุ 71 ปี ชาว จ.พัทลุง 2.นายวีระชัฏฐ์ จันทร์สะอาด อายุ 62 ปี ชาว จ.นนทบุรี 3.นายประพาส โรจนพิทักษ์ อายุ 67 ปี ชาว จ.ตรัง 4. นายปราโมทย์ สังหาญ อายุ 63 ปี ชาว จ.สตูล 5. นายสรศักดิ์ ดิษปรีชา อายุ 49 ปี ชาว.กทม. 6.น.ส.มีนา แสงศรี อายุ 39 ปี ชาว กทม. 7.นาย ศิริฐาโรจน์ จินดา อายุ 56 ปี ชาว จ.หนองคาย 8. ร.ต.ต.หญิง วิลัยวรรณ คูณสวัสดิ์ อายุ 54 ปี ชาว จ.หนองคาย 9.นายชินวร ทิพย์นวล อายุ 71 ปี ชาว จ.เชียงราย
10. นายณรงค์ ผดุงศักดิ์ อายุ 60 ปี ชาว จ.อ่างทอง 11. ร.ต.ท.สมัย คูณสวัสดิ์ อายุ 57 ปี ชาว จ.หนองคาย 12. นายศรวัชษ์ กุระจินดา อายุ 60 ปี ชาว จ.มหาสารคาม 13.นายเหนือไพร เซ็นกลาง อายุ 41 ปี ชาว จ. สกลนคร 14.นายวิเชียร เจียมสวัสดิ์ อายุ 59 ปี ชาว จ.นครศรีธรรมราช 15.นายบุญภพ เวียงสมุทร อายุ 61 ปี ชาว จ.เชียงราย 16. น.ส.รุจิยา เสาสมภพ อายุ 52 ปี ชาวจ.ร้อยเอ็ด 17.นายวิโรจน์ ยอดเจริญ อายุ 67 ปี ชาว จ. นครศรีธรรมราช
** “ประยุทธ์” ซัดพวกผีป่วนประเทศ
ทางด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลจะทำอย่างเต็มที่ในการสร้างความสงบสุข ความมีเสถียรภาพด้านความมั่นคง และด้านอื่นๆ ในนามของรัฐบาลและคสช. รวมถึงข้าราชการทุกคนจะทำเต็มที่ อย่าทะเลาะเบาะแว้งกันอีกเลย โดยกฎหมายเข้าดำเนินการ ส่วนคนที่สร้างสถานการณ์เหมือนผีในหลุมมีไม่เยอะ และวันนี้ผีพวกนี้ก็ออกมาจากหลุม เที่ยวออกมาวุ่นวาย ตอนนี้ก็ผีในหลุมทั้งนั้น ซักวันก็ต้องกลับหลุมหมด กระบวนการยุติธรรมจะดำเนินการหมด ขอให้ปล่อยกระบวนการยุติธรรมดำเนินการด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรมจะดีกว่า
"อย่ามาให้ผมใช้อำนาจ ผมพร้อมใช้ แต่ไม่อยากใช้ เอาอย่างนี้แล้วกัน อย่าบังคับให้ผมต้องใช้เลย ขอให้สื่อช่วยกันสร้างความเชื่อมั่น เพราะทุกฝ่ายช่วยกันทำงานกันอย่างสาหัส ขอกำลังใจให้ผม ผมจะร่วมฟันฝ่าไปกับท่าน ถ้าท่านจะคาดหวังข้าราชการ ภาครัฐ โดยไม่ช่วยกันเลยคงไม่สำเร็จ จะไม่มีอะไรสำเร็จได้เลยในโลกใบนี้ ทั้งชาตินี้และชาติหน้าจำไว้ " พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
**"บิ๊กป้อม"ขอเวลาจับผู้ต้องหาบึ้ม
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบสวนเหตุระเบิดหลายจุดในพื้นที่ภาคใต้ว่า กล่าวถึงความคืบหน้าการจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุระเบิดและวางเพลิงหลายจุดในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ว่า ขณะนี้การสืบสวนสอบสวนมีความคืบหน้าไปมาก และมีความชัดเจนมากขึ้น แต่ตนตอบไม่ได้ว่ามีใครบ้าง และทำแบบนั้นทำไม อีกทั้งทำไมจึงเลือก 7 จังหวัด แต่ตอนนี้เริ่มเห็นตัวละครต่างๆมากขึ้น ทั้งนี้การก่อเหตุทั้ง 7 จังหวัดพบว่ามีความเชื่อมโยงกัน เพราะมีการวางแผนให้เกิดเหตุพร้อมกัน แต่ประชาชนไม่ต้องเป็นห่วง เพราะคนร้ายจะทำแบบนี้อีกไม่ได้ ตนมั่นใจ เนื่องจากเจ้าหน้าที่มีบทเรียน และขออภัยประชาชนหากไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทาง เพราะเจ้าหน้าที่อาจเพิ่มมาตรการเพื่อไม่ให้คนร้ายนำระเบิดไปวางตามจุดต่างๆได้อีก ขอให้ประชาชนร่วมกันมีดูแลบ้านเมืองเป็นหูเป็นตาสังเกตความผิดปกติต่างๆ เพราะเจ้าหน้าที่ต้องอาศัยประชาชนเป็นหลัก อย่างไรก็ตามยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เพราะด้านการข่าวบกพร่อง เพราะที่ผ่านมาก็มีข่าวรายงานมา แต่ยังไม่ชัดเจน ไม่ใช่ความล้มเหลวของฝ่ายข่าวทั้งหมด แต่จากนี้งานด้านการข่าวจะต้องลงรายละเอียดให้มากขึ้น
“ขณะนี้เราพอทราบตัวผู้ที่ลงมือปฏิบัติ แต่ตัวผู้ลงการยังไม่ชัดเจน ผมบอกรายละเอียดกับสื่อยังไม่ได้” พล.อ.ประวิตร กล่าว
** ปัดตำรวจ-ทหารขัดแย้งกัน
เมื่อถามว่าตัวละครที่มีขึ้นเป็นตัวจริงที่ก่อเหตุหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนยังบอกไม่ได้ว่าเป็นตัวจริงหรือไม่ เพราะต้องรอผลการสืบสวนสอบสวนก่อน เนื่องจากคนร้ายทำเป็นขบวนการ ดังนั้นต้องรอให้มีความชัดเจน ตนยังตอบตอนนี้ไม่ได้ แต่ยืนยันว่าเหตุที่เกิดครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นนายพลที่จะมีขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อถามต่อว่าเรื่องนี้มีความเชื่อมโยงกับคนที่อยู่ต่างประเทศหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ทราบ และอย่าไปพาดพิงใคร เพราะคนที่ไม่ทำเขาจะเดือดร้อน ส่วนจะเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ก่อเหตุในพื้นที่ชายแดนภาคใต้หรือไม่นั้น ขอให้ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งกดดันตนให้มาก
ต่อข้อถามถึงข่าวที่ว่าทหารกับตำรวจใน จ.นครศรีธรรมราช ขัดแย้งกันจากประเด็นควบคุมตัวนายศักรินทร์ พนักงานบริษัทข้ามชาติ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า การจับกุมตัวผู้ต้องหาที่แท่นขุดเจาะน้ำมันนั้น สืบเนื่องมาจากกล้องวงจรปิดได้พบภาพชายคนนี้เข้ามาในห้างโลตัส และนำสิ่งบางสิ่งไปวางไว้ แล้วตัวเองก็ไปอีกที่จนขึ้นเครื่องกลับไปแท่นขุดเจาะน้ำมัน จนเมื่อเวลา 03.00 น. ก็เกิดเหตุระเบิดขึ้น เมื่อตรวจสอบพบทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไปขอหมายจับจากศาลพลเรือนที่อนุมัติออกหมายจับและไปจับกุมมา แต่ในส่วนของความมั่นคงได้มีการใช้อำนาจตามมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญ เข้าดำเนินการในกระบวนการซักถาม เมื่อครบ 7 วัน ก็ส่งตัวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการต่อ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไปถอนหมายจับกับศาลพลเรือน เพราะคดีนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคง เรื่องนี้ไม่ใช่ตำรวจกับทหารทะเลาะกัน ตนยืนยันว่าคดีนี้จะทำให้ดีที่สุด เพื่อให้ประชาชนมั่นใจ
เมื่อถามต่อว่าจะสาวถึงตัวผู้บงการได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็ต้องหวังแบบนั้น ยืนยันว่าคดีนี้จะไม่เงียบหายไปอย่างแน่นอน และจะไม่จับผิดตัว
** ถก 6 กระทรวงหามาตรการเยียวยา
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ มอบหมายให้ประชุมร่วมกับ 6 กระทรวง ประกอบด้วย กระทรวงยุติธรรม มหาดไทย การท่องเที่ยวและกีฬา พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แรงงาน และ สาธารณสุข เพื่อหาแนวทางเยียวยาผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิต เหตุระเบิดหลายจุดในพื้นที่ภาคใต้ เบื้องต้นมีการนัดประชุมกันในวันที่ 22 ส.ค.นี้ เวลา 09.00 น. เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยนอกจาก 6 กระทรวงที่เกี่ยวข้องแล้ว ยังมีหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง รวมแล้ว 10 กว่าหน่วยงาน เข้าร่วมด้วย ทั้งนี้ การเยียวยาดังกล่าว จะมีเจ้าภาพหลัก คือ กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ส่วนจะเอางบประมาณ จากไหน และใช้เท่าไรนั้น ต้องรอให้มีการประชุมในวันที่ 22 ส.ค.ก่อน โดยงบประมาณบางส่วนมีอยู่แล้วตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัย แต่ถือว่าเป็นงบประมาณที่น้อย ซึ่งงบเยียวยาพิเศษจะต้องขออนุมัติจากที่ประชุม ครม. อีกครั้ง
"พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.กระทรวงยุติธรรม เห็นว่า หากจ่ายเงินเยียวยาตามหลักเกณฑ์ราชการปกติ ผู้เสียหายจะได้รับการเยียวยาค่อนข้างน้อย ดังนั้น จึงต้องมีหลักเกณฑ์พิเศษ โดยจะใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับการเยียวยากรณีผู้ประสบเหตุจากเหตุระเบิด บริเวณแยกราชประสงค์ การช่วยเหลือระหว่างชาวไทย และชาวต่างชาติจะไม่มีความแตกต่างกัน" นายวิษณุ กล่าว.