"บิ๊กต๊อก" อุบผลประเมินภาษีรถหรูสมเด็จช่วง ระบุจะร้องขอความเป็นธรรมต้องเคารพกฎหมายและเข้าสู่กระบวนกระยุติธรรม ยินดีหากทีมทนายวัดปากน้ำฯ ขอเข้าพบ พร้อมเตือนหากทนายหากชี้แจงผิด อาจถูกฟ้องได้ ด้าน ผอ.สำนักสื่อฯ วัดพระธรรมกายแจง "พระมหาบุญชัย" เบี้ยวให้ปากคำดีเอสไอ เพราะเวลากระชั้นชิด รวบรวมหลักฐานไม่ทัน พร้อมยกประมวลกฎหมายแพ่งไม่มีสิทธิ์เรียกพระให้ปากคำ เผยอาการอาพาธพระธัมมชโย ยังต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
วานนี้ (3 ส.ค.) กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยถึง ผลการประชุมเร่งรัดการดำเนินงานของ 7 หน่วยงาน กรณีตรวจสอบขบวนการทำรถยนต์จดประกอบหรือรถยนต์หรูเลี่ยงภาษี กว่า 7,000 คัน ว่า ขณะนี้ได้รับรายงานผลการประชุมซึ่งขั้นตอนของกรมศุลกากรมีปัญหาติดขัดเรื่องข้อกฎหมาย เนื่องจากต้องมีผู้ร้องมาก่อนจึงจะสามารถตรวจสอบได้ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ตามระยะเวลาที่วางไว้ 10 เดือน และขอขยายเวลาออกไปอีก 3 เดือน เพื่อดำเนินการตรวจสอบและนำเงินภาษีกลับคืนมาให้ภาครัฐ
ส่วนการตรวจสอบรถเบนซ์โบราณ ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร นั้น กรมสรรพสามิตได้ส่งผลการประเมินภาษีกลับมายังดีเอสไอแล้ว แต่ตนยังไม่ได้รับรายงานในส่วนนี้ และขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาของพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ซึ่งบางเรื่องไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากผลการสอบสวนต้องเป็นตามหลักกฎหมาย
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวต่อว่า ผู้ถูกกล่าวหาสามารถใช้กระบวนการยุติธรรมเรียกร้องความเป็นธรรม แต่ผู้ต้องหาต้องเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่ไปฟ้องร้องบุคคลอื่นและไม่ยอมมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ มีสิทธิที่จะถูกประชาชนหรือผู้ต้องหาฟ้องร้องได้เหมือนกัน
สำหรับกรณีที่ทนายความของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ กล่าวหาดีเอสไอทำให้เสียชื่อเสียง ทั้งที่ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหานั้น พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ได้ชี้แจงไปแล้ว บางครั้งคำตอบนั้นมันอยู่ในสำนวนการสอบสวนไม่สามารถพูดได้ จึงต้องไปรอที่อัยการ หรือศาล
"การที่ทนายความจะทำหนังสือชี้แจงถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และผมนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้รับหนังสือดังกล่าว ซึ่งยินดีและเป็นแนวทางที่สามารถทำได้ เป็นเรื่องของประชาชนทั่วไปที่คิดว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมก็สามารถทำได้ แต่วิธีการของผมคือให้มาพบและจะให้เจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงในประเด็นที่สงสัย ซึ่งมันจะพูดคุยได้เยอะ ดีกว่าการโต้ตอบผ่านสื่อต่างๆ ขณะที่พนักงานสอบสวนไม่มีโอกาสได้ชี้แจง เพราะบางเรื่องอยู่ในสำนวนแล้ว จึงแถลงไม่ได้ ถ้าแถลงก็ผิด ต่างกับทนายความที่ชี้แจงได้ทุกเรื่อง แต่ถ้าผิด ก็มีความผิดได้เหมือนกัน" รมว.ยธ. กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่ทนายความออกมาระบุว่า ยังไม่มีการแจ้งข้อหาสมเด็จช่วง แต่กลับออกมาระบุว่า สมเด็จช่วงครอบครองผิดกฎหมาย พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ไม่ทราบว่าพนักงานสอบสวนใช้กฎเกณฑ์อะไรในการดำเนินการ และไม่รู้ว่าทนายนำข้อมูลมาจากไหน พนักงานสอบสวนได้ชี้แจงผ่านเอกสารหน้าเดียว ซึ่งทนายความต้องไปอ่านเอกสารหน้านี้ แล้วตีความตามนั้น อย่าไปดูข่าวตามสื่อแล้วออกมาพูด เพราะบางเรื่องอาจจะเป็นความคิดเห็นของสื่อตามข้อมูลองค์ประกอบก็ได้ ถ้าทนายความอ่านตามนั้น ก็ไม่ใช่ข้อคิดเห็นของพนักงานสอบสวน ซึ่งตนได้สอบถามอธิบดีแล้ว ทราบว่าบางเรื่อไม่ใช่เรื่องที่พนักงานสอบสวนชี้แจงไปตามที่แจก
เมื่อถามว่าได้รับรายงานที่กรมสรรพสามิต ได้ประเมินภาษีการครอบครองรถ สมเด็จช่วง 6.8 ล้านบาท แล้วหรือยัง รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า ยังไม่ได้รับรายงาน และตนจะไม่เข้าไปก้าวก่ายหรือไปลงรายละเอียดงานสอบสวน แต่ก็อยู่ในองค์ประกอบของข้อมูลที่พนักงาสอบสวน ที่ใช้ในการทำงานอยู่
*** เบี้ยวดีเอสไออ้างเวลาน้อย-หลักฐานไม่พร้อม
ด้านพระสนิทวงศ์ วุฑฺฒิวํโส ผอ.สำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย พร้อมด้วยนายปรัชญา ก้อนจันทร์ ทนายความ ร่วมกันแถลงข่าวกรณีที่พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล ผบ.สำนักการเงินการธนาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน คดีฟอกเงินจากการรับเช็คของวัดพระธรรมกาย เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ให้ดำเนินคดีกับพระมหาบุญชัย จารุทัตโต ผอ.ฝ่ายการเงินและบัญชี ของวัดพระธรรมกาย ผู้รับผิดชอบด้านการเงินของวัด ที่มีอำนาจสั่งจ่ายเช็ค ในข้อหาขัดหมายเรียก หลังไม่เดินทางมาให้ปากในฐานะพยาน กับเจ้าดีเอสไอ เป็นครั้งที่ 3
พระสนิทวงศ์ กล่าวชี้แจงว่า ตามที่ดีเอสไอ ได้มีหมายเรียกพระมหาบุญชัย ซึ่งได้ขอเลื่อนออกไปเป็นครั้งที่ 2 เนื่องจากระยะเวลากระชั้นชิดเกินไป ไม่สามารถเตรียมเอกสารได้ทัน จึงขอเลื่อนกำหนดเป็นวันที่ 18 ส.ค.นี้ พร้อมตอบโต้ดีเอสไอ ที่ระบุว่า ต้องสรุปสำนวนการสอบสวนเพิ่มเติม เพื่อส่งให้พนักงานอัยการ ภายในวันที่ 11 ส.ค.นี้ เพราะมีหนังสือจากดีเอสไอ ไปยังพยานอื่นๆ อีกหลายคนให้เข้ามาให้ปากคำในช่วงระหว่างวันที่ 17-24 ส.ค.นี้
"วัดพระธรรมกายเองได้ให้ความร่วมมือในการสอบสวนของดีเอสไอด้วยดี พระถวัลย์ศักดิ์ ก็ได้เข้าให้ปากคำไปแล้ว ขณะเดียวกันผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย มีกำหนดเข้าให้ปากคำในวันนี้ (4ส.ค.) ซึ่งขอยืนยันจะเดินทางไปให้ปากคำอย่างแน่นอน" พระสนิทวงศ์ กล่าวว่า
พระสนิทวงศ์ ยังกล่าวต่อไปว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 106/1(2) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ระบุว่า ห้ามมิให้ออกหมายเรียกพระภิกษุมาเป็นพยานไม่ว่ากรณีใดๆ ซึ่งการที่พระภิกษุได้หมายเรียก จะเดินทางไปให้ปากคำหรือไม่ก็ได้ ถือเป็นเอกสิทธิตามกฎหมาย แต่ในกรณีนี้พระมหาบุญชัย ได้ให้ความร่วมมือไปเป็นพยาน เพียงแต่ขอเวลาเตรียมเอกสารให้พร้อมก่อนเท่านั้น ทั้งนี้ทางวัดพระธรรมกาย ได้มีหนังสือแจ้งให้ดีเอสไอทราบก่อนหน้านี้แล้ว แต่ดีเอสไอกลับไปแจ้งความดำเนินคดี
นอกจากนี้ พระสนิทวงศ์ ยังกล่าวถึงอาการอาพาธของพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ว่า ขณะนี้อาการยังคงพักรักษาตัวและอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ซึ่งทางคณะแพทย์ ได้เสนอแนวทางว่า พระธัมมชโย ยังไม่ควรออกมาปฏิบัติพิธีทางศาสนกิจ ส่วนรายเอียดของอาการจะดีขึ้นหรือไม่ ขณะนี้ยังไม่ทราบ เพราะไม่อยากไปรบกวนการพักรักษาของพระธัมมชโย
วานนี้ (3 ส.ค.) กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยถึง ผลการประชุมเร่งรัดการดำเนินงานของ 7 หน่วยงาน กรณีตรวจสอบขบวนการทำรถยนต์จดประกอบหรือรถยนต์หรูเลี่ยงภาษี กว่า 7,000 คัน ว่า ขณะนี้ได้รับรายงานผลการประชุมซึ่งขั้นตอนของกรมศุลกากรมีปัญหาติดขัดเรื่องข้อกฎหมาย เนื่องจากต้องมีผู้ร้องมาก่อนจึงจะสามารถตรวจสอบได้ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ตามระยะเวลาที่วางไว้ 10 เดือน และขอขยายเวลาออกไปอีก 3 เดือน เพื่อดำเนินการตรวจสอบและนำเงินภาษีกลับคืนมาให้ภาครัฐ
ส่วนการตรวจสอบรถเบนซ์โบราณ ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร นั้น กรมสรรพสามิตได้ส่งผลการประเมินภาษีกลับมายังดีเอสไอแล้ว แต่ตนยังไม่ได้รับรายงานในส่วนนี้ และขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาของพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ซึ่งบางเรื่องไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากผลการสอบสวนต้องเป็นตามหลักกฎหมาย
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวต่อว่า ผู้ถูกกล่าวหาสามารถใช้กระบวนการยุติธรรมเรียกร้องความเป็นธรรม แต่ผู้ต้องหาต้องเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่ไปฟ้องร้องบุคคลอื่นและไม่ยอมมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ มีสิทธิที่จะถูกประชาชนหรือผู้ต้องหาฟ้องร้องได้เหมือนกัน
สำหรับกรณีที่ทนายความของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ กล่าวหาดีเอสไอทำให้เสียชื่อเสียง ทั้งที่ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหานั้น พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ได้ชี้แจงไปแล้ว บางครั้งคำตอบนั้นมันอยู่ในสำนวนการสอบสวนไม่สามารถพูดได้ จึงต้องไปรอที่อัยการ หรือศาล
"การที่ทนายความจะทำหนังสือชี้แจงถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และผมนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้รับหนังสือดังกล่าว ซึ่งยินดีและเป็นแนวทางที่สามารถทำได้ เป็นเรื่องของประชาชนทั่วไปที่คิดว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมก็สามารถทำได้ แต่วิธีการของผมคือให้มาพบและจะให้เจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงในประเด็นที่สงสัย ซึ่งมันจะพูดคุยได้เยอะ ดีกว่าการโต้ตอบผ่านสื่อต่างๆ ขณะที่พนักงานสอบสวนไม่มีโอกาสได้ชี้แจง เพราะบางเรื่องอยู่ในสำนวนแล้ว จึงแถลงไม่ได้ ถ้าแถลงก็ผิด ต่างกับทนายความที่ชี้แจงได้ทุกเรื่อง แต่ถ้าผิด ก็มีความผิดได้เหมือนกัน" รมว.ยธ. กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่ทนายความออกมาระบุว่า ยังไม่มีการแจ้งข้อหาสมเด็จช่วง แต่กลับออกมาระบุว่า สมเด็จช่วงครอบครองผิดกฎหมาย พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ไม่ทราบว่าพนักงานสอบสวนใช้กฎเกณฑ์อะไรในการดำเนินการ และไม่รู้ว่าทนายนำข้อมูลมาจากไหน พนักงานสอบสวนได้ชี้แจงผ่านเอกสารหน้าเดียว ซึ่งทนายความต้องไปอ่านเอกสารหน้านี้ แล้วตีความตามนั้น อย่าไปดูข่าวตามสื่อแล้วออกมาพูด เพราะบางเรื่องอาจจะเป็นความคิดเห็นของสื่อตามข้อมูลองค์ประกอบก็ได้ ถ้าทนายความอ่านตามนั้น ก็ไม่ใช่ข้อคิดเห็นของพนักงานสอบสวน ซึ่งตนได้สอบถามอธิบดีแล้ว ทราบว่าบางเรื่อไม่ใช่เรื่องที่พนักงานสอบสวนชี้แจงไปตามที่แจก
เมื่อถามว่าได้รับรายงานที่กรมสรรพสามิต ได้ประเมินภาษีการครอบครองรถ สมเด็จช่วง 6.8 ล้านบาท แล้วหรือยัง รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า ยังไม่ได้รับรายงาน และตนจะไม่เข้าไปก้าวก่ายหรือไปลงรายละเอียดงานสอบสวน แต่ก็อยู่ในองค์ประกอบของข้อมูลที่พนักงาสอบสวน ที่ใช้ในการทำงานอยู่
*** เบี้ยวดีเอสไออ้างเวลาน้อย-หลักฐานไม่พร้อม
ด้านพระสนิทวงศ์ วุฑฺฒิวํโส ผอ.สำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย พร้อมด้วยนายปรัชญา ก้อนจันทร์ ทนายความ ร่วมกันแถลงข่าวกรณีที่พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล ผบ.สำนักการเงินการธนาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน คดีฟอกเงินจากการรับเช็คของวัดพระธรรมกาย เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ให้ดำเนินคดีกับพระมหาบุญชัย จารุทัตโต ผอ.ฝ่ายการเงินและบัญชี ของวัดพระธรรมกาย ผู้รับผิดชอบด้านการเงินของวัด ที่มีอำนาจสั่งจ่ายเช็ค ในข้อหาขัดหมายเรียก หลังไม่เดินทางมาให้ปากในฐานะพยาน กับเจ้าดีเอสไอ เป็นครั้งที่ 3
พระสนิทวงศ์ กล่าวชี้แจงว่า ตามที่ดีเอสไอ ได้มีหมายเรียกพระมหาบุญชัย ซึ่งได้ขอเลื่อนออกไปเป็นครั้งที่ 2 เนื่องจากระยะเวลากระชั้นชิดเกินไป ไม่สามารถเตรียมเอกสารได้ทัน จึงขอเลื่อนกำหนดเป็นวันที่ 18 ส.ค.นี้ พร้อมตอบโต้ดีเอสไอ ที่ระบุว่า ต้องสรุปสำนวนการสอบสวนเพิ่มเติม เพื่อส่งให้พนักงานอัยการ ภายในวันที่ 11 ส.ค.นี้ เพราะมีหนังสือจากดีเอสไอ ไปยังพยานอื่นๆ อีกหลายคนให้เข้ามาให้ปากคำในช่วงระหว่างวันที่ 17-24 ส.ค.นี้
"วัดพระธรรมกายเองได้ให้ความร่วมมือในการสอบสวนของดีเอสไอด้วยดี พระถวัลย์ศักดิ์ ก็ได้เข้าให้ปากคำไปแล้ว ขณะเดียวกันผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย มีกำหนดเข้าให้ปากคำในวันนี้ (4ส.ค.) ซึ่งขอยืนยันจะเดินทางไปให้ปากคำอย่างแน่นอน" พระสนิทวงศ์ กล่าวว่า
พระสนิทวงศ์ ยังกล่าวต่อไปว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 106/1(2) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ระบุว่า ห้ามมิให้ออกหมายเรียกพระภิกษุมาเป็นพยานไม่ว่ากรณีใดๆ ซึ่งการที่พระภิกษุได้หมายเรียก จะเดินทางไปให้ปากคำหรือไม่ก็ได้ ถือเป็นเอกสิทธิตามกฎหมาย แต่ในกรณีนี้พระมหาบุญชัย ได้ให้ความร่วมมือไปเป็นพยาน เพียงแต่ขอเวลาเตรียมเอกสารให้พร้อมก่อนเท่านั้น ทั้งนี้ทางวัดพระธรรมกาย ได้มีหนังสือแจ้งให้ดีเอสไอทราบก่อนหน้านี้แล้ว แต่ดีเอสไอกลับไปแจ้งความดำเนินคดี
นอกจากนี้ พระสนิทวงศ์ ยังกล่าวถึงอาการอาพาธของพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ว่า ขณะนี้อาการยังคงพักรักษาตัวและอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ซึ่งทางคณะแพทย์ ได้เสนอแนวทางว่า พระธัมมชโย ยังไม่ควรออกมาปฏิบัติพิธีทางศาสนกิจ ส่วนรายเอียดของอาการจะดีขึ้นหรือไม่ ขณะนี้ยังไม่ทราบ เพราะไม่อยากไปรบกวนการพักรักษาของพระธัมมชโย
