xs
xsm
sm
md
lg

ผบ.ตร.เบรกม็อบพระ ลั่นชุมนุมเจอกม.ฟัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน360-ดีเอสไอเผยความคืบหน้ารถหรู "สมเด็จช่วง" รอการประเมินราคาจากกรมสรรพสามิต ก่อนดำเนินการขั้นต่อไป พร้อมรับคดีรถจากัวร์-แพนเธอร์ "หลวงพี่น้ำฝน" เป็นคดีพิเศษ สอบขยายผลผู้เกี่ยวข้อง ด้านทนายวัดปากน้ำ ยันสมเด็จช่วงบริสุทธิ์ ไม่เกี่ยวข้อง เป็นแค่ผู้รับบริจาค เตรียมรวบรวมหลักฐานดำเนินการกับ "ไพสิฐ-กรวัชร์" เหตุทำให้สังคมสงสัยเกลียดชัง ด้าน "บิ๊กแป๊ะ"เบรกม็อบพระ เตือน"เจ้าคุณประสาน" ต้องรู้กฎหมาย

พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า การดำเนินคดีในส่วนของรถยนต์ยี่ห้อMercedes Benz ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ที่อยู่ในความครอบครองของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง ความผิดฐานมีส่วนรู้เห็นและครอบครองสินค้าที่รู้ว่าไม่เสียภาษี หรือเสียภาษีไม่ครอบถ้วน และร่วมกันแจ้งความเท็จลงในเอกสารราชการ ดีเอสไอได้ทำตามขั้นตอนของกระบวนการกฎหมาย ซึ่งขณะนี้กำลังรอการประเมินราคาจากกรมสรรพสามิตก่อน จึงจะดำเนินการขั้นตอนต่อไปได้ ซึ่งมีกำหนดชัดเจนอยู่แล้ว


พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผบ.สำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค กล่าวเสริมว่า กรณีรถยนต์ของหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม ดีเอสไอได้รับคดีรถยนต์หลวงพี่น้ำฝนเป็นคดีพิเศษเรียบร้อยแล้ว จากนี้จะดำเนินการสืบสวนสอบสวนกับผู้ที่เกี่ยวข้องในรายละเอียดของคดี แต่ขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งดำเนินคดีต่อใคร

ที่วัดปากนำภาษีเจริญ นายสมศักดิ์ โตรักษา ทนายความวัดปากน้ำ กล่าวว่า ในฐานะทนายความที่ปรึกษาและผู้รับมอบอำนาจจากสมเด็จช่วง ขอชี้แจงว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงในการแถลงความคืบหน้าของดีเอสไอ ยังไม่พบว่าสมเด็จช่วง มีความผิดตามกฎหมายตามที่ได้กล่าวมาแต่อย่างใด และขอชี้แจงอีกว่า สมเด็จช่วงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นในการกระทำความผิดตามกฎหมายดังกล่าว โดยเมื่อวันที่ 23มี.ค.2559 สมเด็จช่วงได้ทำหนังสือชี้แจงไปยังดีเอสไอเกี่ยวกับกรณีรถยนต์คันดังกล่าว ซึ่งมีเนื้อหาพอที่จะสรุปได้ว่าสมเด็จช่วงมีชื่อในการจดทะเบียนรถเท่านั้น และนำรถยนต์คันกล่าวมาแสดงในพิพิธภัณฑ์ เพื่อให้ประชาชนเข้ามาศึกษาหาความรู้และเยี่ยมชม รวมทั้งจดทะเบียนระงับการใช้งานแล้ว จนกระทั่งมาทราบว่ารถคันดังกล่าวผิดกฎหมาย ก็ได้ส่งรถคืนผู้บริจาค และรถเบ็นซ์นั้นได้ถูกส่งต่อไปยังดีเอสไอแล้ว ส่วนการซื้อขาย สมเด็จช่วงก็ไม่ได้มีส่วนรู้เห็น เพียงแค่รับโอนเท่านั้น ขณะที่บุคคลรับโอน หรือการมอบอำนาจ สมเด็จช่วงไม่เคยรู้จักและรู้รายละเอียดอื่นๆ เลย

"การที่พ.ต.อ.ไพสิฐ และพ.ต.ท.กรวัชร์ ออกมาชี้แจงต่อสื่อมวลชน เห็นว่าท่านทั้ง 2 กระทำการกระทบสิทธิและละเมิดสมเด็จช่วง ทำให้ประชาชนทั่วไปและสื่อมวลชนเข้าใจว่า สมเด็จช่วงมีความผิด ตามที่ถูกกล่าวหา ทำให้เสียชื่อเสียง ภาพพจน์ และทำให้เกิดความเกลียดชัง รวมทั้งเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวกับความเสียหายของสมเด็จช่วง ที่เกิดขึ้นจากการแถลงข่าวของท่านทั้ง2 เพื่อดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไป"

สำหรับกรณีกรณีพระเมธีธรรมาจารย์ หรือเจ้าคุณประสาร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ในฐานะเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย เตรียมจัดสวดมนต์ใหญ่ และจะมีการเสนอชื่อสมเด็จพระราชาคณะ เพื่อทูลเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช หลังการออกเสียงประชามตินั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวในเรื่องนี้ว่า โดยส่วนตัว เชื่อว่าพระสงฆ์ก็ต้องทราบกฎหมายเช่นกัน ซึ่งหากจะมีการชุมนุมจริง ก็ต้องประเมินสถานการณ์อีกครั้ง โดยได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ดูแลเรื่องนี้แล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น