ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -วันพุธที่ผ่านมามีข่าวใหญ่ 2 ชิ้นคือการประกาศจุดยืนของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาชำแหละร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัย ฤชุพันธ์ และยืนยันว่าจะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญด้วยเหตุผล 1-2-3 ตามที่ทราบ อีกข่าวหนึ่งคือการประชุมของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.)หรือที่เขาชอบประชดกันว่าเป็น “ตรายาง” คอยการันตีความคิด ความต้องการของผู้มีอำนาจ
ปรากฏว่าวันเดียวกันมีการประชุมเรื่องคำสั่ง คสช.ที่ 33/2559 ให้สอบสวนดำเนินการแก่ตำรวจที่พัวพันส่วยการค้ามนุษย์ และเรียกรับผลประโยชน์กรณีทหาร ฝ่ายปกครองและดีเอสไอสนธิกำลังบุกทะลายบ่อน อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งผลการสอบสวนของคณะกรรมการ (ตำรวจสอบตำรวจ)ท่านรอง ผบ.ตร.พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ออกมาแอ่นอก -การันตีกับนักข่าวว่าสอบแล้วไม่พบว่ามีความผิด
ส่วนคำสั่งย้ายที่ว่ากันไปก่อนหน้าแล้ว ก.ตร.พิจารณาว่าหากให้กลับไปดำรงตำแหน่งที่เดิมอาจไม่เหมาะสมจึงมีคำสั่งให้ พล.ต.ท.วีระพงษ์ ชื่นภักดี ผบช.ภ.9 เป็นผบช.ประจำสำนักงาน ผบ.ตร. พล.ต.ต.กฤษกร พลีธัญญวงศ์ ผบก.จ สงขลา เป็น ผบก.จ.สระบุรี พล.ต.ต.ธิติ แสงสว่าง ผบก.จ.สระบุรี เป็น ผบก.สงขลา ส่วนพล.ต.ต.สรไกร พูนเพิ่ม ผบก.จ.สมุทรสาคร อดีตเจ้าของพื้นที่ อ.มหาชัย ซึ่งดีเอสไอ.บุกจับล้งกุ้งใช้แรงงานเด็ก ให้ย้ายไปเป็น ผบก.จ.นครนายก ขณะที่พล.ต.ต.อิทธิพล อิทธิสารณชัย เจ้าของพื้นที่ขยับข้ามกองบัญชาการ ไปเป็น ผบก.สมุทรสาคร แทน
เพื่อให้เห็นภาพชัดๆ และเข้ายุคเข้าสมัยกับกระแสปฏิรูปตำรวจ ซึ่งขณะนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.มอบหมายให้ “บิ๊กจูดี้”พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร.เป็นผู้จัดการขอย้อนกลับไปดู “ต้นเรื่อง”ของคำสั่ง คสช.ที่ 33/2559 อีกสักรอบ...ฉายกันให้เห็นชัดๆ แล้วท่านผู้อ่าน หรือประชาชนทั่วไป รวมทั้งข้าราชการตำรวจไร้เส้น ข้าราชการตำรวจ ”น้ำดี”จะได้เห็นความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้น
พล.ต.ต.กฤษกร พลีธัญญวงศ์ อดีต ผบก.สงขลา และพล.ต.ต.สรไกร พูนเพิ่ม อดีต ผบก.สมุทรสาคร เป็นใครมาจากไหน!!?? ขอสรุปสั้นๆว่าเป็นดาวรุ่ง “ฟาสต์แทร็ก”เติบโตแบบก้าวกระโดดและเป็นที่ไว้ใจของผู้บังคับบัญชาทั้งทางฝั่งการเมือง (อำนาจ) และผู้หลักผู้ใหญ่ ใน สตช.
วันที่ 11 มิ.ย.2559 กำลังทหาร ฝ่ายปกครองและ เจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม สนธิกำลังเข้าจับกุมบ่อนพนันแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ สภ.สะเดา จ.สงขลา สามารถจับกุมนักพนันทั้งไทยและมาเลเซีย จำนวน 224 คน เงินสดของกลางประกอบด้วยธนบัตรไทยและสกุลริงกิต 2.3 ล้านบาท ปรากฏว่าในเบื้องต้นมีการลงโทษย้าย พ.ต.อ.ภาสกร กลั่นหวาน ผกก.สภ.สะเดา กับบรรดา 4-5 เสือประจำโรงพักซึ่งต่อมาหลังจาก พล.ต.ต.กฤษกร พลีธัญญวงศ์ ผบก.จ.สงขลา เสร็จภารกิจเข้าร่วมจัดทำบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับนายพัน คสช.จึงมีคำสั่งที่ 33/2559 เรียกเสียงฮือฮาให้กับข้าราชการตำรวจ และประชาชนทั่วไป
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้รับความชื่นชมอย่างท่วมท้นขนาดมีสื่อจำนวนไม่น้อยนำไปพาดหัวข่าวว่าปรากฏการณ์ครั้งนี้คือการใช้อำนาจในทางสร้างสรรค์ที่คนไทยรอคอยมานาน
เหตุผลสนับสนุนมีอยู่มากมายทั้งในเรื่องคำครหาซื้อ-ขายตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นซื้อกันตรงๆโดยผ่านกลุ่มนายหน้าที่อ้างสายอำนาจ หรือวิธีซื้อหลุม-เปิดหลุม-หมุนเวียนหลุม อีกทั้งความเละเทะ ความเหลื่อมล้ำหลายมาตรฐาน
เฉพาะบ่อนขนาดใหญ่ของ อ.สะเดา ซึ่งตำรวจท้องที่ปล่อยปละละเลยอย่างชัดเจนจนต้องมีการวางแผนจากหน่วยงานอื่นคือฝ่ายปกครอง ทหารและกรมสอบสวนคดีพิเศษ เข้าบุกทะลายได้เงินของกลาง และผู้ต้องหาจำนวนมากนั้นแสดงให้เห็นว่าไม่เพียงระดับ 5 เสือของโรงพักสะเดาเท่านั้นที่จะต้องรับผิดชอบ ยังหมายรวมไปถึงข้าราชการใหญ่โตของพื้นที่โดยเฉพาะในส่วนตำรวจ และนั่นเป็นที่มาของคำสั่ง คสช.ให้ย้าย พล.ต.ท.วีระพงศ์ ชื่นภักดี และพล.ต.ต.กฤษกร พลีธัญญวงศ์
วันนี้ทั้งอดีต ผบก.จ.สงขลา และอดีต ผบก.สมุทรสาคร ถูกคณะกรรมการสอบสวนชำระล้างมลทินจนหมดสิ้นแล้ว แถมยังมีโอกาสลงไปปฏิบัติการในพื้นที่สำคัญใกล้กับกรุงเทพมหานคร คือ จ.สระบุรี และ จ.นครนายก...ถามว่าเมื่อเขาไม่ผิด ท่านนายกฯประยุทธ์ รู้สึกอะไรบ้าง.. !!??
ยังดีที่คณะ ก.ตร.เห็นแก่ความขลังของคำสั่ง คสช.ที่ 33/2559 อยู่บ้างจึงไม่ส่งกลับสงขลา - มหาชัย...เบาะๆแค่สระบุรี - นครนายก ...อาการแบบนี้ฝ่ายที่เอาใจช่วย หรือเชียร์ “นายกฯลุงตู่”หมดแรง-ถอดใจกันหมดแล้ว!!??
อีกเรื่องที่ไม่อยากให้ลืมกันนั่นคือกรณีส่วย “ซ่องนาตารี” ซึ่งมีนายตำรวจหลายคนติดร่างแหเนื่องจากมีบัญชีส่วย “ส่ง”ให้กับตำรวจหลายหน่วยงานคือ 1.พล.ต.ต.วิชาญวัชร์ บริรักษ์กุล ผบก.น.1 2.พ.ต.อ.อรรถวิทย์ สายสืบ รองผบก.น.1 3.พ.ต.งกิตติพงษ์ วิเศษสงวน ผกก.สน.ห้วยขวาง 4.พ.ต.อ.สถิตย์ สังข์ประไพ ผกก.สส.บก.น.1 5.พ.ต.อ.ธรากร เลิศพรเจริญ ผกก. 1 บก.ปคม. 6.พ.ต.อ.อัมรินทร์ อัมพรมหา 7.พ.ต.อ.กิตติคุณ แก้วอัมพร ผกก. 3 สันติบาล 8.พ.ต.อ.ฑิฆัมพร ศรีสังข์ ผกก. 2 บก.สตม. 9.พ.ต.อ.อโนทัย แสงเฟือง ผกก. 2 บก.ตม.1 10.พ.ต.ท.ศาสตร์ศักดิ์ ชัยประเสริฐ รองผกกงป. สน.ห้วยขวาง 11.พ.ต.ต.ศุภภัทร สวัสดี สวป.สน.ห้วยขวาง 12.พ.ต.ต.ทิพากร แก้วเปล่ง สว.สส.บก.น.1 และ 13.พ.ต.ต.นันทพล ทองน่วม สว.งานสายตรวจ 1 กก.สายตรวจ บก.สปพ.
ทั้งหมดนี้ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผบ.ตร.ท่านบอกกับนักข่าวในวันเดียวกันว่าคณะกรรมการสอบสวนยังทำงานไม่เสร็จสิ้น....เรื่องนี้จึงขอให้ท่านพ่อแม่พี่น้อง-ประชาชนคนไทยที่เรียกร้องให้รีบปฏิรูปตำรวจ และ “อย่าถ่วงการปฏิรูป”จับตากันอย่ากระพริบตาโดยเด็ดขาดเพราะข่าววงในมาแรงว่าจะเลือกเชือดเฉพาะ “บางคน”ด้วยเหตุผล “แค้นเก่า” เช่น พ.ต.อ. ฝ่ายสืบสวนนายหนึ่งมีหลักฐานจากแอพพลิเคชั่นไลน์ ส่งไปขอให้โอนเงิน ส่วนรายอื่นๆมีแนวโน้มรอดหมดเพราะบัญชีส่วยที่เห็นในสื่อทั่วบ้านทั่วเมืองนั้นไม่สามารถโยงไปถึงคนรับเงิน
แต่ที่น่าขำ “ซ่องนาตารี” ใหญ่โตขนาดนั้น ทั้งค่าประเวณี อัพยาเสพติด ค้ามนุษย์-โสเภณีต่างด้าว เปิดบริการโจ๋งครึ่ม 24 ชั่วโมงแบบ 7-11 นายตำรวจระดับสูงกว่า “ผู้การ”ไม่มีใครใช่ไหมที่ควรแอ่นอกรับผิดชอบด้วย
พาดหัวข่าวที่ยกยอให้ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น.ว่า “ผงาด” ขึ้นเป็น น.1 เต็มตัวนั้น ผมว่าน่าจะเป็นอาการ “ผงก” เสียมากกว่าเพราะ 9 เดือนในฐานะ “เด็ก” นายกฯลุงตู่ ถูกอำนาจตัวจริงในสายสีกากี “คลึง-เค้น”จนน่วมไปหมด ดูยังไงหรือที่เห็นกันว่าท่าน “ผงาด”
บ่อนสะเดา ผบช.ภ.9 ยังโดนดี..ถามว่าซ่องนาตารี บช.น.ทำไมละเว้น รรท.ผบช.น.ในขณะนั้นล่ะ
ถ้ามีคำตอบว่าคนหนึ่งเป็นเด็กในคอกฟาร์มโชคชัย อีกคนหนึ่งเป็นเด็กของ “ลุง”บอกกันชัดๆจะได้เลิกตอแยกันเสียที...เอาแบบนี้แหละประเทศไทย...คืนความสุขกันให้หนำใจไปเลย
ตบท้ายข้อเขียนวันนี้ขอยกคดีอุ้ม -ฆ่า “เผานั่งยาง”แห่งสุสานคนเป็นบ้านคำบอนเวียงชัย ต.หนองแวง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี มาขยายให้เห็นภาพแห่งความล้มเหลวกันอีกครั้ง....30 ศพเป็นอย่างน้อยที่ถูกตำรวจลักพาตัวไปจัดการ
เมื่อคนถือกฎหมายกลายเป็นโจร มีคำถามต่อมาว่าสุจริตชนจะไว้ใจตำรวจต่อไปได้อย่างไร
ทราบมาว่าคดีป่าช้าบ้านผือซึ่งตอนแรกที่กระแสแรงมีนายตำรวจหลายคนลงไปดูแลไม่ว่าจะเป็นพล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผบ.ตร. พล.ต.ท.บุญเลิศ ใจประดิษฐ์ ผบช.ภ.4 พล.ต.ต.บรรยง เวชโอสถ ผบก.สส.ภ.4 และพล.ต.ต.พีระพงษ์ วงศ์สมาน ผบก.จ.อุดรธานี
ขอโทษ!!?? ...วันนี้ท่านทำอะไรกันบ้าง...คดีไปถึงไหนแล้ว...จับมือใครดมได้ไหมโดยเฉพาะตำรวจหลายคนที่เข้าไปเกี่ยวข้อง.....นอกจากไม่มีอะไรคืบหน้าแล้วยังมีข่าวว่า ผบก.อุดรฯได้ใช้อำนาจสั่งยุติการสอบสวน เรียกว่าจบกันดื้อๆ เอากันแบบนั้น (ใครจะทำไม)
ทั้งหมดจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมประชาชนและสื่อต่างๆจึงเรียกร้องให้มีการปฏิรูปตำรวจ....การลดตำแหน่งรองผบ.ตร.มาเหลือเป็น 5 คนก็ดี -ลดตำแหน่งผู้ช่วยผบ.ตร.จาก 17 เหลือ 10 ก็ดี หรือการเกลี่ยกำลังร้อยเวรฯตามสถานีตำรวจ ให้สามารถตอบสนองความต้องการขงประชาชน กระทั่งนานัปการที่ สตช.กำลังโหมโรงโดยพระเอกลิเกชื่อดังนั้น....มันตอบโจทก์ที่ถูกต้องหรือไม่...ตำรวจจะออกแบบเอง-คิดเอง เออเอง-เข้าใจไปเอง ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว..!!??
เพราะการปฏิรูปอย่างแท้จริงเท่านั้นที่สามารถสนองความต้องการของประชาชนชาวไทย 60 กว่าล้านคนได้ ไม่ใช่ความพึงพอใจ หรือการสมประโยชน์ของผู้มีอำนาจเพียงไม่กี่คนแล้วมายัดเยียดว่านี่คือการปฏิรูป
สิ่งแรกถือเป็นเรื่องเร่งด่วนคือแยกการสอบสวน ออกมาจากตำรวจ...ทำให้ตำรวจเป็นเพียง “ผู้ปกป้อง”ไม่ให้มีอำนาจเกินเลย....ต่อไปมาดูกันว่าจุดจบส่วยบ่อนสะเดา ส่วนล้งกุ้ง ส่วยนาตารี และคดีอุ้มฆ่าเผานั่งยางแห่งสุสานบ้านผือ จะจบลงแบบนี้อีกหรือไม่
โปรดรีบปฏิรูปตำรวจ.... โปรดอย่าถ่วงการปฏิรูป...และให้เลิกคิดว่าประชาชนกินแกลบกินหญ้า...ทุกคนกินข้าวเช่นเดียวกับพวกท่าน...จะรออะไรนานถึง 20 ปี..เลียนแบบยุทธศาสตร์ชาติเลยหรือ !!??