คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่งัดมาตรา 44 ออกคำสั่ง 33/2559 เด้งข้าราชการเข้ากรุกราวรูด 23 ราย และที่สำคัญ ใน 23 ราย มีถึง 17 ราย เป็น “ตำรวจ” ตั้งแต่ระดับ ผู้บัญชาการ (ผบช.) ยศ “พล.ต.ท.” ลงไปจนถึง สารวัตร (สว.) ยศ “พ.ต.ต.”
เล่นเอาเหล่า “สีกากี” หนาวกันทั้ง “กรมปทุมวัน”!!! คำสั่งให้ “ตำรวจ” ทั้ง 17 ราย ไปปฏิบัติราชการในศูนย์ปฏิบัติราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) ประกอบด้วย พล.ต.ท.วีรพงษ์ ชื่นภักดี ผบช.ภ.9 พล.ต.ต.สรไกร พูลเพิ่ม ผบก.ภ.จว.สมุทรสาคร พล.ต.ต.กฤษกร พลีธัญญวงศ์ ผบก.ภ.จว.สงขลา พล.ต.ต.วิชาญญ์วัชร์ บริรักษ์กุล ผบก.น.1 พ.ต.อ.อรรถวิทย์ สายสืบ รอง ผบก.น.1 พ.ต.อ.ภาสกร กลั่นหวาน ผกก.สภ.สะเดา จว.สงขลา พ.ต.อ. กิตติพงศ์ วิเศษสงวน ผกก.ห้วยขวาง พ.ต.อ.สถิตย์ สังข์ประไพ ผกก.สส.บก.น.1
พ.ต.อ. ธรากร เลิศพรเจริญ ผกก.4 บก.ทท. อดีต ผกก.1 บก.ปคม. พ.ต.อ.อัมรินทร์ อัมพรมหา ผกก.2 บก.ส.2 พ.ต.อ.กิตติภณ แก้วอัมพร ผกก.3 บก.ส.2 พ.ต.อ.ทิฆัมพร ศรีสังข์ ผกก.2 บก.สส.สตม. พ.ต.อ. อโนทัย แสงเฟือง ผกก.2 บก.ตม.1 พ.ต.ท.ศาสตร์ศักดิ์ ชัยประเสริฐ รอง ผกก.ป.สน.ห้วยขวาง พ.ต.ท. ศุภภัทร สวัสดี สวป.สน.ห้วยขวาง พ.ต.ต.ทิพากร แก้วเปล่ง สว.สส.บก.น.1 และ พ.ต.ต.นันทพล ทองน่วม สว.งานสายตรวจ 1 กก.สายตรวจ บก.สปพ.
ท้ายคำสั่งดังกล่าวยังให้ “ผู้บังคับบัญชา” แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน กรณีที่ผลการตรวจสอบพบผู้ถูกตรวจสอบ มีความผิดตามที่ได้รับแจ้ง หรือมีความผิดประการอื่นที่เชื่อมโยงไปถึงให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยและกฎหมาย ที่สำคัญ กรณีที่ไม่พบว่ามีการกระทำความผิดหรือไม่ถึงขั้นต้องดำเนินการทางวินัย ให้เยียวยาแก่ผู้ถูกตรวจสอบ โดยให้ไปดำรงตำแหน่งในระดับเดิมตามความเหมาะสม แต่ให้อยู่นอกพื้นที่เดิมก่อนเข้าสู่กระบวนการแต่งตั้งโยกย้ายในคราวต่อไป
มิหนำซ้ำ ยังกำชับ “ผู้บังคับบัญชา” ในทุกหน่วยงานของรัฐ สอดส่องพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดในด้านประสิทธิภาพ สมรรถนะในการปฏิบัติราชการ การอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน และการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ ในกรณีเห็นว่าควรปรับปรุงแก้ไข ให้ตักเตือน แนะนำ ย้ายออกนอกพื้นที่ สับเปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือหากมีมูลความผิด ให้ดำเนินการทางวินัย โดยคำนึงถึงการให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าหน้าที่ผู้นั้น การดูแลรักษาวินัยและกฎหมายตามอำนาจหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาและการรักษาประโยชน์สาธารณะ ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาละเว้นหรือบกพร่องในการปฏิบัติตามข้อนี้ ให้ผู้บังคับบัญชาเหนือชั้นขึ้นไปรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ
นั่นแสดงให้เห็นว่า “รัฐบาล” และ “คสช.” เอาจริงกับเจ้าหน้าที่รัฐที่มีพฤติกรรมนอกคอก โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์และบ่อนการพนัน ที่ประกาศเป็นนโยบายสำคัญ แต่ดูเหมือนที่ผ่านมาหน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะ “ตำรวจ” จะหย่อนยาน ไม่จริงจังในการปฏิบัติ
กระทั่งเกิดเรื่องที่ กองทัพเรือ และ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็นำกำลังเข้าช่วยเหลือแรงงานชาวพม่า ที่ถูกบังคับใช้แรงงานค้ามนุษย์ภายในโรงแปรรูปสัตว์น้ำ หรือ ล้งกุ้ง จ.สมุทรสาคร ตามมาด้วยฝ่ายปกครอง กระทรวงมหาดไทย นำกำลังเข้าตรวจอาบอบนวด นาตารี เจอแรงงานต่างด้าวมาค้าประเวณี และพบบัญชีการจ่ายส่วยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายหน่วยงาน จากนั้นทหารและฝ่ายปกครอง ก็บุกทลายบ่อนการพนันแห่งใหญ่ชายแดนไทย - มาเลเซีย พื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา จับกุมนักพนันได้ 200 - 300 คน เมื่อไม่นานมานี้
การลงโทษที่เฉียบขาด รุนแรง แบบไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหม น่าจะเป็นสัญญาณเตือนส่งไปถึงเหล่าบรรดา “สีกากี” ไม่ให้แตกแถว ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง เหมือนต้องการเชือดไก่ให้ “ลิงหลอกเจ้า” ดู เพราะเท่าที่ตรวจสอบรายชื่อ “ตำรวจ” ที่ต้องคำสั่งดังกล่าว อย่าง พล.ต.ท.วีระพงษ์ ผบช.ภ.7 ก็เคยเป็นลูกน้องใกล้ชิด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. น้องชาย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม หรือ “บิ๊กกุ้น” พล.ต.ต.สรไกร ผู้การฯสมุทรสาคร “บิ๊กโอ๋” พล.ต.ต.กฤษกร ผู้การฯสงขลา ก็เคยมีบทบาทสำคัญช่วงการแต่งตั้งที่ผ่านมา
ยิ่งการแต่งตั้ง “นายพัน” รอบที่ผ่านมา มีข้อครหา มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ถึงความไม่ปกติธรรมดาของการแต่งตั้ง ที่แม้จะไม่มีใบเสร็จ หรือมีพยานหลักฐานชัดเจนว่า มีเรื่องเงิน เรื่องทอง เกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ อย่างไร แต่ในแวดวงสังคมตำรวจต่างก็รับรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ย่อมไม่แปลกถ้าตำรวจที่ไม่ได้มาอย่างชอบธรรม จะมีการ “ถอนทุนคืน” จากที่ได้ลงทุนไป และสิ่งที่จะทำให้ได้ทุนคืนไวก็คงหนีไม่พ้นสถานบริการ บ่อนการพนัน และการค้ามนุษย์ ไม้แข็งที่ “รัฐบาล” และ “คสช.” หยิบมาทุบครั้งนี้ จึงเป็นเหมือนยากระตุ้นเตือนต่อมสำนึกการปฏิบัติหน้าที่ของ “ตำรวจ” เหมือนเป็นการวางบรรทัดฐาน หากมีการปล่อยปละเลย เรื่องสถานบริการ บ่อนการพนัน หรือค้ามนุษย์ บทลงโทษที่จะต้องถูกดำเนินการก็จะเป็นเช่นเดียวกับ 17 นายตำรวจ ที่ถูกคำสั่งครั้งนี้ ซึ่งเชื่อว่า เหล่าสีกากีทุกพื้นที่ต่างหนาว ๆ ร้อน ๆ แน่
เช่นเดียวกับ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา แม่ทัพใหญ่สีกากี แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ทางอ้อมในฐานะ ผู้บังคับบัญชาสูงสุด เมื่อมีลูกน้องตำรวจกว่า 20 นาย เข้าข่ายต้องถูกตรวจสอบเช่นนี้ ก็คงจะปฏิเสธความรับผิดชอบไปไม่ได้ ยิ่งย่อมหนาว ๆ ร้อน ๆ มากกว่าใคร และยิ่งจะหนาวขึ้นไปอีก เพราะแทนที่ หัวหน้า คสช. จะมอบหมายให้ ผบ.ตร. ออกคำสั่งให้ตำรวจผู้ใต้บังคับบัญชามาช่วยราชการเอง เหมือนการดำเนินการตามระเบียบปกติ คสช. กลับเลือกที่จะออกคำสั่งเอง แถมไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาด้วย ย่อมตีความไปเป็นอื่นไม่ได้นอกจากความไว้วางใจในตัว “ผบ.ตร.” เริ่มสั่นคลอน แต่จะสั่นคลอนแค่ไหน “บิ๊กแป๊ะ” น่าจะรับรู้สัญญาณต่าง ๆ โดยเฉพาะจะเกี่ยวข้องกับอนาคตเก้าอี้ “ผู้นำสีกากี” หรือไม่ อย่างไร เป็นเรื่องที่เดาใจ “หัวหน้า คสช.” ชั่วโมงนี้ยากจริง ๆ