ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ขอให้เป็นเรื่องรัก “หมอเปรม” เปรมศักดิ์ เพียยุระ ซึ่งวันนี้นั่งตำแหน่งนายกเล็กบ้านไผ่ เมืองขอนแก่น มักทุ่มสุดตัวเสมอ คราครั้งนี้ก็เช่นกัน ทุ่มเสียจนเรียกได้ว่าหมดอนาคตกันไปเลยทีเดียว
เรื่องราวความรักล้นอกของหมอเปรม คนเจ้าเสน่ห์ที่ทำพิษหนักคราวนี้ คงถึงคราวทำให้ต้องเปลี่ยนฉายาจาก “หมอเปรมเว้าแปน” ที่เว้าหรือพูดทุกเรื่องเคลียร์คัทชัดเจนมาเป็น “หมอเปรม ล่อนจ้อน” เพราะมีแบบฉบับในการเรียกปรับทัศนคตินักข่าวอาวุโสระดับป๋าแบบพิสดาร และนี่คงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของวงการสื่อสารมวลชนที่แหล่งข่าวจับนักข่าวแก้ผ้า ชำระแค้นที่ดันเอาเรื่องรักที่ปิดลับสุดยอดระดับคอขาดบาดตายไปเปิดเผยต่อสาธารณะ
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของหมอเปรม ครั้งนี้ ต้องเรียกว่า ผิดฟอร์มไปจากที่เคยเป็นราวหน้ามือกับหลังเท้าเสียทีเดียว เพราะลีลาการเล่นกับสื่อของหมอนี่ต้องบอกว่าที่ผ่านๆ มาอยู่ชั้นแนวหน้า ไม่งั้นหมอเปรม จะเป็นที่รู้จักกันทั่วบ้านทั่วเมือง และเคยรุ่งถึงขนาดเป็นดาวสภา ฝีปากกล้า ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับคนรุ่นเดียวกันได้อย่างไร หากไม่ใช่มีกระแสสื่อคอยหนุนส่ง และแต่ละย่างก้าวของหมอเปรม ก็ธรรมดาเสียที่ไหน ถึงขนาดเคยสวมบทบาทเป็นแจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ ล้มการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคไทยรักไทย โดยไม่หวั่นอิทธิพลล้นฟ้าของนายทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรค ในขณะนั้น
เรื่องของเรื่องตอนนั้น หมอเปรม ส.ส.หนุ่มบ้านนอกจากขอนแก่น ซึ่งเดิมสังกัดพรรคความหวังใหม่ ได้ย้ายไปสังกัดพรรคไทยรักไทย เมื่อ “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ กับนายทักษิณ จูบปากควบรวบพรรคกัน หมอเปรม ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 93 ของพรรคไทยรักไทย ในสมัยการเลือกตั้งใหญ่เมื่อเดือนเมษายน 2549 ไม่รู้ไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหน ได้ผ่าทางตันวิกฤตการเมืองช่วงนั้นด้วยการยื่นใบลาออกจากส.ส.แล้วหนีไปบวชเป็นศิษย์พระพยอม กัลยาโณ แห่งวัดสวนแก้ว จนทำให้พรรคไทยรักไทย ที่เตรียมจะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว มีเสียงไม่ครบ 500 เสียง ตามข้อบัญญัติมาตรา 98 รัฐธรรมนูญฯ 2540 ทำให้ไม่สามารถเปิดสมัยประชุมสภาฯ เพื่อคัดเลือกประธานสภาฯ และนายกรัฐมนตรี ได้
เหตุฉะนี้ จึงน่าฉงนยิ่งนักเพราะชั้นเชิงระดับ “หมอเปรม เว้าแปน” ที่เคยเดินแต้มคูทางการเมืองสร้างชื่อระบือลั่นเมื่อสิบปีก่อน เหตุไฉนจึงมาตายน้ำตื้น อย่างกับเป็นคนละคน เพียงแค่เปลี่ยนจากสนามการเมืองมาเป็นสนามรัก และอันที่จริงในสนามรัก หมอเปรมก็เคยยืนแถวหน้าเสียด้วยซ้ำไป
ที่น่างงงวยอีกเรื่องก็คือก๊วนนักข่าว 5 คนที่หมอเปรม ปิดห้องกักขังแล้วจับแก้ผ้านักข่าวอาวุโสแห่งค่ายสีบานเย็นครั้งนี้ จะว่าไปก็เป็นก๊วนที่หมอเปรม สนิทสนมคุ้นเคยกันดี
ในสายตานักข่าวด้วยกันแล้วนั้น นักข่าวทั้ง 5 คนดังกล่าว ถือเป็นกลุ่มนักข่าวขอนแก่นที่สนิทสนิมกับหมอเปรมมากและคบหากันมานานกว่า 20 ปี ชนิดที่เรียกว่าเล่นหัวกันได้ นี่จึงอาจเป็นเหตุให้ป๋าแห่งค่ายสีบานเย็นอิดออดในตอนแรกไม่อยากเอาความหมอเปรม แต่ขัดคำสั่งจากสำนักงานใหญ่กรุงเทพฯไม่ได้ ต้องแจ้งความเอาผิดว่ากันไปตามเรื่อง เพื่อรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของวิชาชีพ
ก๊วนนักข่าวก็สนิทสนมกันดี นักข่าวอาวุโสที่ถูกจับแก้ผ้าหมอเปรม ก็ฝากเนื้อฝากตัวเรียกป๋าทุกคำ เรื่องที่เกิดขึ้นจึงเหนือความคาดหมาย และเรื่องราวทั้งหลายคงไม่บานปลายใหญ่โต หากไม่ใช่เพราะอารมณ์นี้หมอเปรม ตกอยู่ในอาการถึงขั้นที่เรียกว่า “สติแตก”
อาจจะสติแตก จากปัญหาความแตกแล้วบ้านแตกเพราะไม่คาดว่าจะปรากฏ “ภาพเป็นข่าวกับเด็ก ม.5” สู่สายตาของสาธารณชนแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว แถมยังวิพากษ์วิจารณ์กันไปในทำนอง “....ต้องหมั่นตรวจเช็กร่างกาย” อีกต่างหาก และ “โลกก็เชื่อ” ว่าเป็นอย่างนั้น
ที่สำคัญ “ภาพเป็นข่าวกับเด็ก ม.5” นั้น ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้ “โลกเชื่อ” ได้ เพราะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่า การช่วยเหลือผู้เดือดร้อนทำไมถึงต้องมีการผูกข้อต่อแขน พร้อมด้วยเงินจำนวนหนึ่งอยู่ในพาน นี่ไม่นับรวมถึงปัญหาที่เมาท์มอยกันอย่างสนุกปากว่า อาจบานปลายกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายบ้านเมืองก็เป็นได้ ทั้งๆ ที่จะว่าไปแล้ว น่าจะผ่านฉลุยแบบไม่เฉียดฉิว แต่ที่แน่ๆ คือหลายคนอาจนั่งนับนิ้วกันแล้วก็ได้ว่า “อีก 7 เดือน” นับจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นจาก “ภาพเป็นข่าวกับเด็ก ม.5” คนนั้น
ซ้ำร้ายเผลอๆ อาจกลายเป็นเรื่องที่ทำให้ต้องพ้น จาก เก้าอี้นายกฯ บ้านไผ่ แบบไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรอีกต่างหาก
แค่เบาะๆ ในเบื้องต้น คณะกรรมการสถานศึกษา “โรงเรียนบ้านไผ่” ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปลดหมอเปรมออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการสถานศึกษาโรงเรียนบ้านไผ่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา
และโรงเรียนบ้านไผ่ที่ว่านั้นก็เป็น ที่โรงเรียนที่นักเรียนหญิงชั้น ม.5 ซึ่งปรากฏอยู่ในภาพนั่งคู่กับ นพ.เปรมศักดิ์ ที่เผยแพร่ในสังคมออนไลน์นั่นเอง
ดังนั้น เมื่อ “ภาพเป็นข่าวกับเด็ก ม.5” ถูกเปิดเผย นักข่าวเลยซวยโดนหางเลขถูกจับแก้ผ้าจนฮือฮาแบบเครียดๆ ขำๆ ทั้งวงการข่าวเมืองขอนแก่นที่ถามไถ่กันด้วยความห่วงใยว่าวันนี้คุณใส่กางเกงในไหม นักข่าวในพื้นที่บางคนหวาดหวั่นถึงขนาดที่ว่าเมื่อขอให้เล่ารายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เลือกที่จะเย็บปากสนิททำไม่รู้ไม่ชี้เพราะกลัวหมอเปรมจับแก้ผ้า (ฮา)
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม อาการกู่ไม่กลับของหมอเปรม แบบเดินหน้าท้าชนให้แหลกไปข้าง ซึ่งน่าจะเป็นหมอเปรม นั่นแหละที่จะแหลกด้วยการแจ้งความนักข่าว ฐานบุกรุกห้องทำงานและกดดันเพื่อขอข่าว ขณะที่นักข่าวที่ถูกจับแก้ผ้าก็แจ้งความกลับหมอเปรม ข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว - ข่มขืนใจ คงมีบทสรุปแบบไม่สวยแน่ๆ และฟันธงล่วงหน้าได้เลย งานนี้ หมอเปรม จบเห่ ซะแล้ว คนบ้านไผ่ ยังจะเอาหรือ?? ผู้ว่าฯ ขอนแก่น ผู้บังคับบัญชาสายตรง ที่ซื้อเวลาขอสอบข้อเท็จจริง 15 วัน สุดท้ายแล้วจะปกป้องหมอเปรม หรือไสหัวส่งก็คงพอรู้ๆ คำตอบล่วงหน้า
หนักไปกว่านั้นคือหมอเปรมได้ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัวในหัวข้อ “ผมคุกคามสื่อ หรือว่าสื่อคุกคามผม?” ซึ่งสาระสำคัญระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตัว นพ.เปรมศักดิ์เป็นผู้ถูกกระทำ ขณะที่สื่อมวลชนเป็นฝ่ายผิดอีกต่างหาก
มีเนื้อความบางตอนว่า ตนเป็นนักการเมือง เป็นบุคคลสาธารณะมายาวนาน รู้ดีว่าต้องมีปฏิสัมพันธ์กับสื่ออย่างไร ต้องวางระยะใกล้ ระยะห่างอย่างใด จึงจะเหมาะสม และเคารพในการทำงานของสื่อมวลชนมาตลอด เข้าทำนองน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอัชฌาศัย ที่ผ่านมาหนักนิดเบาหน่อยก็ต้องทนกันไป เกือบทั้งหมดเป็นตนที่ต้องอดทน หลายครั้งก็หวานอมขมกลืน แต่มาล่าสุดนี่สุดจะทนจริงๆ เพราะสื่อเล่นงานตนหนล่าสุด ไม่ต่างไปจากการจับแก้ผ้าประจานให้อับอายต่อหน้าธารกำนัล สื่อมวลชนไปเห็นภาพจากไหนไม่ทราบ ก็ได้นำเสนอข่าวในทางเสียหาย จากนั้นจึงค่อยมาตามหาตัว ให้ไปแก้ข่าวในภายหลัง ทำให้ตนตกเป็นจำเลยสังคม แล้วก็ตามมาสอบสวนกดดันรีดเค้น เสมือนว่าเพื่อหวังประจานตน มีคำภาษิตพังเพยอันเป็นเรื่องอัปลักษณ์เปรียบเปรยวงการสื่อว่า ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียตังค์ลง ต่อมาเมื่อสื่อคณะหนึ่งบุกรุกเข้ามาพบผมในห้องทำงานนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ ในฐานะรู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับสื่อทุกท่านที่มาหาผมในวันนั้น ก็อดที่จะรู้สึกอยากขออุทธรณ์วิงวอนไม่ได้เลยว่า ทุกท่านก็รู้จักกับผมเป็นอย่างดี ไปมาหาสู่ก็สะดวกทุกช่องทาง ก่อนนำเสนอข่าวเผยแพร่ไปในทางที่เกิดความเสียหายแก่ผม ทำไมจึงไม่มาสอบถามข้อเท็จจริงเสียก่อน
“บุคคลสาธารณะในแวดวงต่างๆ ทั้ง นักการเมือง ผู้บริหารในคณะรัฐบาล พ่อค้านักธุรกิจ ดารา นักร้อง นักแสดง ศิลปิน นักกีฬา สารพัดวงการ และพี่น้องประชาชนคนไทยนั้นต่างก็โดนสื่ออภิสิทธิ์ชนคุกคามข่มขู่จับแก้ผ้าต่อหน้าธารกำนัล ว่า ประจานให้อับอายมานักต่อนักแล้ว โดยที่พวกเราก็ทนนิ่งทนเงียบกันมาตลอด เพราะเป็นเบี้ยล่างของสื่อ สู้ไปก็มีแต่ย่อยยับอัปรา แต่ผมได้สลัดความกลัวนั้นทิ้งไปแล้ว และยืนหยัดขึ้นประกาศให้ทราบชัดทั่วกันว่า หมดเวลาที่เราจะหงออยู่ใต้อำนาจอธรรมของสื่อแล้วครับ และได้เวลานับหนึ่งในการปฏิรูปสื่อแล้ว” นพ.เปรมศักดิ์ ระบุ
มาว่าถึงตัวตนของหมอเปรมกันสักนิด
หมอเปรมเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก หวังสิ่งใดก็ต้องเอาให้ได้ ก็อย่างว่า คนเคยทุกข์ยากปากกัดตีนถีบทำนาเลี้ยงวัวแต่เก่งกล้าจนสอบได้มหาวิทยาลัยชั้นนำของภาคอีสานและเรียนจบหมอขอนแก่นนี่ต้องถือว่าไม่ธรรมดา
ขณะที่เสียงเล่าลือเรื่องความเจ้าเสน่ห์ก็มีมาพร้อมกับความขี้โม้ โอ้อวด ทะเยอทะยานอยากมีชื่อเสียงมีมาตั้งแต่สมัยเรียนปีหนึ่งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น แล้ว ชีวิตนักศึกษาหมอเปรม เป็นที่รู้กันสมัยนั้นว่า เป็นแบบกิจกรรมเป็นหลักเรียนเป็นรอง เมื่อจบออกมาก็ไปเป็นหมออยู่พักใหญ่ๆ ก่อนจะเข้าสู่สนามการเมืองตามความใฝ่ฝัน
หมอเปรม เป็นคนมีชื่อเสียงตั้งแต่หนุ่มๆ มีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตเกินกว่าคนรุ่นเดียวกันจะทำได้ในสมัยนั้น ขณะที่เรื่องที่คนร่ำลือว่าเป็นพวก “รักเด็ก” ก็โผล่ออกมาให้นินทากันประจำ
มีเรื่องเม้าท์กันสนั่นเมืองอยู่ครั้งหนึ่ง ซึ่งไม่แน่ชัดว่าเกี่ยวกับหมอคนไหน แต่ก็เป็นที่โจษขานกันจนถึงทุกวันนี้
“หมอคนนั้น” นั่งอยู่ในฐานะผู้ทรงเกียรติแอบไปหลงรักเด็กสาวนางงามเมืองน่าน ที่มีสเปกสวยขาวน่าเจี๊ยะอย่างที่เขาชอบรับประทาน เรื่องฉาวก็เริ่มขึ้นเมื่อนางงามถูกหมอคนนั้นตามดื้อทั้งเช้าเย็นจนสาวงามเกือบจะใจอ่อนเหมือนกัน ก็เขาเป็นยอดนักตื้อจึงเทียวหาไปถึงบ้านนางงามคนสวยบ่อยๆเสนอให้ทุกอย่างชนิดทุ่มไม่อั้น แต่หมอคนนั้นไม่รู้ว่านางงามคนนี้มีชายหนุ่มคนในเครื่องแบบสีกากีมาพัวพันอยู่ก่อนแล้ว หมอคนนั้นก็หลับหูหลับตาสู้เททุกอย่างหมดหน้าตัก
ความมาแตกเมื่อหมอเปรม มีอาการเปลี่ยนไปด้วยที่อยากได้นางงามมาเชยชมกระทั่งเรื่องรู้ไปถึงเมียที่อยู่บ้าน ทีนี้เรื่องแตกบ้านแตกล่ะสิ ส่วนนางงามก็หนีไปแต่งกับคนมีสีสารวัตรตำรวจ ทำให้หมอคนนั้นท้อแท้หมดอาลัยตายอยากในชีวิต
อ้าว...เล่าเรื่องหมอเปรมอยู่ดีๆ มากลายเป็นเรื่องของ “หมอคนนั้น” ได้อย่างไรก็ไม่รู้
กลับมาที่เรื่องหมอเปรม-นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระกันอีกครั้ง เพราะหลายคนไม่เชื่อว่า คนที่จบการศึกษาระดับดอกเตอร์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต และดีกรีพุทธศาสนามหาบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย จะไม่ได้ช่วยให้สติสัมปชัญญะของหมอแจ่มใสเอาเสียเลย
เรียกว่า ยิ่งแก้ยิ่งล่อนจ้อน กลายเป็นลิงแก้แหหนักเข้าไปอีก
ก็แค่ “ภาพกับเด็ก ม.5” ซึ่งหมอเปรมย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่มีอะไร เป็นเรื่องขอการช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน จะทำให้หมอเปรมฉุนขาดถึงขนาดจับนักข่าวแก้ผ้าได้
คำเตือนของเพื่อนหมอเปรมในเฟซ ยกตัวอย่างเช่น “ประมวล ดาระดาษ” นี่ได้โพสในเฟสบุ๊กส่วนตัวเตือนสติ “ดร.นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ” เอาไว้ว่า “หมอเปรมศักดิ์ มีอารมณ์ขันแบบตลกร้ายครับ...เรื่องจับนักข่าวแก้ผ้า... แต่อารมณ์อยากมี....นี่ เป็นผม ผมไม่อายนะครับ...กล้ามีก็กล้ารับ...ผมคนตรง....อิอิ โลกนี้ อารมณ์บางอย่างมันต้องซื่อตรงกับความรู้สึกนั้นๆ เป็นพระพลาดไปปาราชิก ก็สึกเสีย ไม่ถูกตัดหัวคั่วแห้งหรอกครับ...ให้สี่แสนนี่รู้สึกดี๊ดี...อย่าโกงเงินหลวงมาถวายอีกละกัน ยังงั้นจะรับไม่ได้....”
(ขออนุญาตตัดทอนถ้อยคำของประมวล ดาระดาษออกบ้าง เพราะก็กลัวเหมือนกันว่าจะถูกหมอเปรมจับแก้ผ้าเหมือนกัน...อิอิ)
ส่วน “เด็ก ม.5” ที่ปรากฏในภาพผูกข้อต่อแขนพร้อมเงินสี่แสนคนนั้น เป็นใครมาจากไหน เอาเป็นว่าสรุปสั้นๆ ก็แล้วกันว่า เป็นเด็กจาก โรงเรียนเทศบาล ที่หมอเปรมเป็นนายกเล็กอยู่นั่นแล
เอาเป็นว่า งานนี้หมอเปรมเจอหนังชีวิตยาว เพราะไอ้เรื่องอนาคตทางการเมืองยังพอทำเนา แต่อนาคตกับ “ผบ.ตัวจริง” นี่สิมีปัญหา เนื่องจากไม่รู้ว่าจะใช้ความมีเสน่ห์เกลี้ยกล่อมได้สำเร็จหรือไม่