ขำไม่ออก! บัญชีผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่เขตพญาไท ชื่อนายกฯ "พล.ต.ประยุทธ์" ผอ.แจงยึดข้อมูลตามทะเบียนบ้านปี 2547 ปลัด มท.อ้างไม่ใช่เรื่องเสียหาย "ไก่อู" ชี้บุกค้นรังที่ภาคเหนือ จับกุมคนทำ จม.ปลอมร่าง รธน.ได้ ยืนยันได้ว่ามีการปลอมร่าง รธน.จริง "เทือก" ชี้ รธน.ผ่านประชามติ รัฐบาล-คสช. อยู่ต่ออีกอย่างน้อยปีครึ่ง ด้านสมาคมทนายความร้อง กกต.เอาผิด กรธ.ชี้นำประชามติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในหน่วยออกเสียงที่ 12 บริเวณใต้ทางด่วนศรีรัช ปากซอยประดิพัทธ์ 5 ถนนสามเสน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. ระบุชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นผู้มีสิทธิ แต่เป็น "พล.ต.ประยุทธ์ จันทรโอชา" โดยนายอนุชิต ปราสาททอง ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ทราบจากผู้อำนวยการเขตพญาไทว่า มีการแจ้งไว้ในทะเบียนบ้านตั้งแต่ปี 2547 และไม่มีการแก้ไขมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งการแก้ไขยศนั้น เจ้าตัวต้องมาแจ้งแก้ไขเอง ดังนั้นเมื่อยังไม่มีการแก้จึงทำให้ชื่อในบัญชีผู้มีสิทธิออกเสียงที่ยึดตามทะเบียนบ้านเป็นยศพลตรี ไม่ใช่การพิมพ์ชื่อยศผิดพลาดแต่อย่างใด
ด้านนายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การพิมพ์รายชื่อเป็นการพิมพ์ตามสำเนาทะเบียนบ้านโดยพิมพ์ออกมาจากฐานข้อมูล ไม่มีการพิมพ์ใหม่ ซึ่งคาดว่านายกรัฐมนตรีอาจยังไม่นำหลักฐานการเลื่อนชั้นยศเป็นพลเอกไปยื่นต่อสำนักงานเขต ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าไม่มีความผิดพลาดหรือเสียหาย และแม้ไม่เปลี่ยนชั้นยศในสำเนาทะเบียนบ้าน แต่ยังมีบัตรข้าราชการการเมืองหรือบัตรประชาชน ก็สามารถพิสูจน์ตัวบุคคลได้
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พล.อ ประยุทธ์ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ก็จะใช้สิทธิในฐานะ "นาย" ตามคำนำหน้าที่ระบุในบัตรประจำตัวประชาชนมาโดยตลอด
** กำชับใช้ กม.สกัดการบิดเบือนรธน.
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณีเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นและจับกุมผู้อยู่เบื้องหลังทำจดหมายร่างรธน.ปลอม ที่ จ.เชียงใหม่ ว่า จากการเข้าจับกุมครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ยังไม่มีการสั่งการอะไรเพิ่มเติม เพราะก่อนหน้านี้ นายกฯ เคยสั่งการไปก่อนหน้านี้แล้ว ช่วงที่มีเด็กอายุ 8 ขวบ ฉีกกระดาษบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ ให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องประสานงานกัน เพื่อป้องกันไม่ให้มีการกระทำผิดกฎหมายในเรื่องของการลงประชามติ เพื่อให้ประชาชนได้ลงประชามติโดยได้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง ไม่บิดเบือน หรือชี้นำ ซึ่งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติไปตามกฎหมาย โดยที่นายกฯไม่ได้มีการสั่งการอะไรเป็นพิเศษ
ผู้สื่อข่าวถามว่า การจับกุมผู้ที่อยู่เบื้องหลังครั้งนี้ ถือเป็นการตอบคำถามข้อสงสัยของบางฝ่ายที่ว่าไม่มีการปลอมร่างรธน.จริง หรือไม่ พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า "ใครพูดอะไรไว้ วันนี้หลักฐานมันออกมา สังคมได้ประจักษ์ เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของตัวเอง รัฐบาลไม่ได้พูดอะไรแบบนี้ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มการเมืองบางกลุ่มที่พยายามพูดแบบนี้ แต่พอมีข้อเท็จจริงออกมา มีหลักฐานปรากฏออกมา เจ้าหน้าที่จับกุมได้ ก็เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของตัวเองในสิ่งที่พูดไว้"
ทั้งนี้ รัฐบาลคงไม่ออกความเห็นในเรื่องนี้ ให้เป็นความขัดแย้งทางการเมือง เรามีหน้าที่ทำให้เกิดความเรียบร้อยตามกฎหมาย นั่นคือ แนวทางที่นายกฯ ยืนยันว่าจะดูแลให้เกิดความสงบเรียบร้อยภายใต้กฎหมาย และหลังจากนี้คงไม่ต้องสั่งจับตาอะไรเป็นพิเศษ ปล่อยให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ดำเนินการ มีข้อมูลอะไรว่าไปตามกฎหมาย รัฐบาลหรือ คสช. คงไม่ได้ไปสั่งการให้จับตาอะไรเป็นกรณีพิเศษ เดี๋ยวจะว่าเป็นการไล่ล่ากันทางการเมือง นายกฯ ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น มีหน้าที่อย่างเดียวรักษากฎหมายให้บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย
**จับขวนการเผยแพร่ร่าง รธน.ปลอม
ทั้งนี้ เมื่อช่วงเย็นวันที่ 23 ก.ค. ที่ผ่านมา พล.ต.ท.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5, พล.ต.โกศล ประทุมชาติ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 และ นายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผวจ.เชียงใหม่ ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุม นายวิศรุต คุณะนิติสาร อายุ 35 ปี ชาว จ.เชียงใหม่ , นายพงศ์พันธ์ จีระวัง ชาวจ.ลำพูน และนายสามารถ ขวัญชัย อายุ 63 ปี ชาวจ.เชียงใหม่ ผู้ต้องหากระทำความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ร่างรธน.
โดยการจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องมากจากกรณีตรวจพบมีการส่งจดหมายปิดผนึก ซึ่งมีเนื้อหาบิดเบือนร่างรธน. ในพื้นที่จ.เชียงใหม่, ลำปาง และลำพูน รวมทั้งสิ้น 11,181 ฉบับ ในช่วงวันที่ 12-15 ก.ค.ที่ผ่านมา และการตรวจพบใบปลิว Vote No ต่อต้านการลงประชามติร่างรธน.ในวันที่ 7 ส.ค.59 ที่บริเวณลานจอดรถชั้นใต้ดิน ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 59 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร มณฑลทหารบกที่ 33 และ ฝ่ายปกครอง ได้ร่วมกันค้นเป้าหมายที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จ.เชียงใหม่ และจ.ลำพูน รวม 10 เป้าหมาย เพื่อจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ และตรวจค้นหาวัตถุพยานที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด โดยค้นบ้านเลขที่ 11 ม.1 ต.ท่าศาลา อ.เมืองฯ จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นบ้านพักของ นายวิศรุต คุณะนิติสาร สามารถยึดสิ่งของจำนวน 9 รายการไว้เพื่อทำการตรวจสอบ
ต่อมาได้ติดตามจับกุมนายวิศรุตได้ที่ห้องเลขที่ 793/97 ลาดพร้าว 101 แขวงคลองเจ้าคุณสิงห์ เขตบางทองหลาง กรุงเทพฯ พร้อมกันนี้ ยังได้ตรวจค้นบริษัท เชียงใหม่ทัศนาภรณ์ จำกัด เลขที่ 123 ม.3 ถ.เชียงใหม่-สันกำแพง ต.ท่าศาลา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยสามารถยึดสิ่งของได้จำนวน 21 ราย อาทิ เครื่องปริ้นเตอร์ , ซองเอกสาร , ซองจดหมาย และคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่ง
นอกจากนี้ได้มีการค้นบ้านเลขที่ 129 ม.5 ต.บ้านธิ อ.บ้านธิ จ.ลำพูน ซึ่งเป็นบ้านพักของ นายพงศ์พันธ์ ได้จับกุม นายพงศ์พันธ์ จีระวัง ฐานกระทำผิด พยายามก่อความวุ่นวาย เพื่อให้การออกเสียงไม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และตรวจค้นบ้านเลขที่ 234/20 ม.6 ต.หนองหอย จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นบ้านพักของ นายสามารถ ขวัญชัย บุคคลตามหมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ กระทำผิดฐาน“เผยแพร่ข้อความในสื่อสิ่งพิมพ์ หรือช่องทางอื่นใด ที่ผิดไปจากข้อเท็จจริงโดยมุ่งหวังเพื่อให้ผู้มีสิทธิ์ออกไม่ไปใช้สิทธิ์ออกเสียงหรือออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่ออกเสียง”โดยสามารถจับกุมตัวนายสามารถ ได้ที่บ้านพัก พร้อมด้วยของกลางจำนวน 6 รายการ ได้แก่ แผ่นปลิวจำนวน 407 ใบ ระบุข้อความว่า “เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ 7 ส.ค. Vote No
ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เปิดเผยว่า การจับกุมตัวผู้ต้องหาในครั้งนี้ เป็นไปตามพยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้ร่วมกันทำการสืบสวนสอบสวน โดยพบว่า นายวิศรุต เป็นผู้ที่ลงมือนำจดหมายบิดเบือนเนื้อหาในร่างรธน. ไปตระเวนหย่อนลงตู้ไปรษณีย์ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ส่วนนายพงศ์พันธ์ ลงมือลักษณะเดียวกันในพื้นที่จ.ลำปาง ขณะที่นายสามารถ นำใบปลิวที่มีเนื้อหาต่อต้านการออกเสียงลงประชามติไปแจกจ่าย ซึ่งทั้งหมดเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
ทั้งนี้ ในส่วนของนายวิศรุต ยอมรับว่าได้ไปรับจดหมายดังกล่าวจากบริษัทแห่งหนึ่ง แล้วนำไปหย่อนลงตู้ไปรษณีย์ หลังจากได้รับการไหว้วานจากนักการเมืองที่มีชื่อเสียงในพื้นที่ ให้ก่อเหตุดังกล่าว ซึ่งนอกจากนายวิศรุตแล้ว ยังมีคนอื่นๆ อีกที่ร่วมกระทำในลักษณะเดียวกันในพื้นที่จ.เชียงใหม่ โดยจากข้อมูลดังกล่าวเป็นการยืนยันว่า จดหมายดังกล่าวไม่ได้เป็นการกระทำของฝ่ายรัฐอย่างที่มีบางฝ่ายพยายามตั้งประเด็น แต่เป็นการกระทำโดยกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม
ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ระบุว่า ในเบื้องต้นเชื่อว่า น่าจะเป็นกลุ่มขบวนการเดียวกันและมีการดำเนินการเป็นขบวนการใหญ่ ส่วนนักการเมืองที่อยู่เบื้องหลังนั้น เป็นผู้ใดและมีผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดเป็นใครบ้างนั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปชัดเจนลงไปได้ แต่จะเร่งทำการสืบสวนสอบสวนขยายผล โดยยืนยันว่า จะดำเนินการกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทุกคนอย่างเด็ดขาดตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือผู้ที่มีอิทธิพลใดๆ ก็ตาม
ส่วนกรณีที่เข้าตรวจค้น และเก็บหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จาก บริษัท เชียงใหม่ทัศนาภรณ์ จำกัด ซึ่งเป็นของตระกูล “บูรณุปกรณ์”ที่มีนายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ เป็นหัวเรือใหญ่นั้น เบื้องต้นไม่ขอระบุว่า มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับนายบุญเลิศ หรือไม่ ตลอดจนไม่สามารถบอกได้เวลานี้ว่า จะมีการใช้ ม.44 ในการปลดออกจากตำแหน่งหรือไม่ เพราะยังอยู่ในระหว่างการสืบสวนสอบสวน ทั้งนี้บอกได้แต่เพียงว่า หากมีหลักฐานเชื่อมโยงชัดเจนว่าผู้ใดที่กระทำความผิดด้วย ก็จะมีการดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด
**รธน.ผ่าน คสช.อยู่ต่ออีกปีครึ่ง
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ได้เผยแพร่ภาพสดผ่านโปรแกรม ‘เฟซบุ๊กไลฟ์’ชี้แจงถึงกรณีหากร่าง รธน.ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ผ่านการเห็นชอบในการลงประชามติ วันที่ 7 ส.ค. นี้แล้ว อนาคตของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. จะเป็นอย่างไร ว่า ขณะนี้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า หากร่างรธน. ผ่านการลงประชามติ ประกาศใช้บังคับแล้ว คสช.จะทำอย่างไร รัฐบาลจะทำอย่างไร ซึ่งตนได้ดูร่าง รธน.ฉบับนี้ ในมาตรา 265 บัญญัติว่า ให้คสช. ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รธน.นี้ ยังคงอยู่ในตำแหน่ง เพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรี ที่ตั้งขึ้นใหม่ ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปจะเข้ารับหน้าที่
ดังนั้น อำนาจหน้าที่ คสช.ก็ยังเหมือนเดิม คือ ต้องรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง พาบ้านเมืองให้พ้นวิกฤตไปให้ได้ อีกทั้งอำนาจที่มีอยู่ตามรธน.(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 และแก้ไขเพิ่มเติมอีก 2 ฉบับ ยังมีอยู่เต็มเปี่ยม คำสั่งของคสช. ยังเป็นกฎหมาย มีผลใช้บังคับต่อไป
นอกจากนี้ คสช. ก็ยังมีหน้าที่ ที่สำคัญ ภายหลังจากที่รธน.ฉบับนี้ใช้บังคับ พร้อมๆ กับการเลือกตั้งส.ส. คือ ในมาตรา 269 คสช. มีบทบาท และมีความสำคัญ ที่จะต้องเลือกคนดี มีความสามารถ มีความรู้ และประสบการณ์จากสาขาอาชีพต่างๆ มาเป็นส.ว. เพื่อทำหน้าที่สำคัญให้กับบ้านเมือง ส่วนรัฐบาลชุดปัจจุบันนั้น ต้องทำงานต่อไป ตามมาตรา 264 ซึ่งจะต้องทำกฎหมายตามที่ร่างรธน. ฉบับนี้บังคับไว้ให้เสร็จก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไป อีกทั้งการปฏิรูปประเทศ ก็จะมีการเริ่มลงมือปฏิรูปประเทศในรัฐบาลชุดนี้ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ถือเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ ที่เป็นผู้เริ่มปฏิรูปประเทศไทยครั้งยิ่งใหญ่ ในทุกด้าน ตามรัฐธรรมนูญ หมวดที่ 16 ได้บัญญัติเอาไว้ โดยบางเรื่องก็ทำไปแล้ว เช่น เรื่องการศึกษา และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตำรวจ ก็ต้องทำให้เสร็จภายใน 1 ปี
"ดังนั้น คสช.และรัฐบาล ยังมีภาระหน้าที่ ที่จะต้องปฏิบัติให้กับประเทศชาติ ใครที่คิดว่า ต้องการให้อยู่นานสักหน่อยนั้น ถึงรัฐธรรมนูญนี้ผ่านแล้วคสช. และรัฐบาล ก็จะต้องทำหน้าที่ต่อไปอีกประมาณ ปีครึ่งเป็นอย่างน้อย ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เพียงพอสำหรับการแก้ปัญหาของประเทศ สำหรับการเดินหน้าให้ประเทศเดินหน้าสู่ประชาธิปไตยฯ ดังนั้นจึงขออย่ากังวลใจ เพราะผมตัดสินใจรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ " นายสุเทพ กล่าว
**ร้อง กกต.เอาผิด กรธ.ชี้นำประชามติ
นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เวลา 10.00 น.วันนี้ (15ก.ค.) ตนจะไปยื่นหนังสือต่อ นายศุภชัย สมเจริญ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ให้ดำเนินคดีกับ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) และบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยเร่งด่วน เนื่องจากกรธ.ได้จัดทำเอกสาร" คำอธิบายสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ" ในลักษณะชี้นำด้านดีด้านเดียว ให้ประชาชนที่ได้อ่านข้อความในเอกสารไปใช้สิทธิออกเสียงรับร่างรธน. ถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงลงประชามติ มาตรา 61 วรรคสอง ที่ห้ามเผยแพร่ ภาพ เสียง สื่อสิ่งพิมพ์หรือสื่อใดๆโดยมุ่งหวังให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ไปใช้สิทธิออกเสียงหรือออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่ออกเสียง ถือว่าก่อความวุ่ยวายเพื่อให้การออกเสียงไม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และหาก กกต.เพิกเฉย จะถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
**"ปู"เชิญชวนใช้สิทธิประชามติ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กYingluck Shinawatra ว่า การลงประชามติในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมากต่ออนาคตประเทศ ถือเป็นครั้งสำคัญของการลงประชามติครั้งนี้ใช้คะแนนรับหรือไม่รับร่างมีมากกว่ากัน โดยไม่ได้คิดจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ออกเสียงมีจำนวนเท่าไร ดังนั้น การออกมาใช้สิทธิ์ให้มากที่สุด จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเป็นการดำรงรักษาประชาธิปไตย พร้อมกับเป็นการเลือกอนาคต ว่าเห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้หรือไม่ ที่จะใช้ในการบริหารบ้านเมืองของเราต่อไป และประชาชนได้รับประโยชน์จากร่างรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ โดยสิ่งเหล่านี้มีความสำคัญต่อประเทศเป็นอย่างมาก ที่ประชาชนทุกคนควรจะได้ร่วมกันใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อกำหนด และร่วมกันตัดสินอนาคตประเทศนี้
ทั้งนี้ ส่วนตัวจึงอยากจะขอเชิญชวนให้ไปใช้สิทธิ์กันมาก ๆ เพื่อแสดงออกทางความคิดและร่วมกันกำหนดอนาคตของประเทศด้วยวิถีทางที่เป็นประชาธิปไตย
***จ่าฝูงลิงป่าพาลูกน้องฉีกบัญชี
วานนี้ (24 ก.ค.) นายประยูร จักรพัชรกุล ผอ.การเลือกตั้งประจำจังหวัดพิจิตร พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจสอบบริเวณศาลาวัดหาดมูลกระบือ ต.ย่านยาว อ.เมืองฯ จ.พิจิตร หลังได้รับแจ้งว่าบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิลงประชามติของหน่วยที่ 1 หมู่ 1 ต.ย่านยาว ที่ติดไว้ 15 แผ่น ถูกทำลายฉีกขาดกระจัดกระจายไปทั่วทั้งศาลาวัด
พระมหาเมธี จันทะวังโส เจ้าอาวาสวัดหาดมูลกระบือ ที่นำดูที่เกิดเหตุ พร้อมเล่าให้ฟังว่า ภายในวัดนี้มีฝูงลิงป่าที่อยู่รวมกันเกือบ 200 ตัว ที่มาอาศัยขอของกินจากวัด และชาวบ้าน ซึ่งวันนี้ชาวบ้านได้รวมตัวกันตำข้าวเม่าเตรียมทอดขายในงานแข่งเรือ จึงคาดว่าฝูงลิงป่าที่มี “ไอ้บาก” เป็นจ่าฝูง คงจะพาลูกน้องมาขออาหารกิน แล้วไปฉีกบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ บนศาลาวัดดังกล่าว
นายประยูรกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดา เพราะในอดีตที่ผ่านมาบริเวณศาลาวัดแห่งนี้ก็ใช้เป็นหน่วยเลือกตั้ง ส.ว., ส.ส., ส.อบต.ทุกครั้ง ก็ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ครั้งนี้ที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพราะฝูงลิงป่าที่หิวโหย ประกอบกับความซุกซน จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในหน่วยออกเสียงที่ 12 บริเวณใต้ทางด่วนศรีรัช ปากซอยประดิพัทธ์ 5 ถนนสามเสน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. ระบุชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นผู้มีสิทธิ แต่เป็น "พล.ต.ประยุทธ์ จันทรโอชา" โดยนายอนุชิต ปราสาททอง ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ทราบจากผู้อำนวยการเขตพญาไทว่า มีการแจ้งไว้ในทะเบียนบ้านตั้งแต่ปี 2547 และไม่มีการแก้ไขมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งการแก้ไขยศนั้น เจ้าตัวต้องมาแจ้งแก้ไขเอง ดังนั้นเมื่อยังไม่มีการแก้จึงทำให้ชื่อในบัญชีผู้มีสิทธิออกเสียงที่ยึดตามทะเบียนบ้านเป็นยศพลตรี ไม่ใช่การพิมพ์ชื่อยศผิดพลาดแต่อย่างใด
ด้านนายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การพิมพ์รายชื่อเป็นการพิมพ์ตามสำเนาทะเบียนบ้านโดยพิมพ์ออกมาจากฐานข้อมูล ไม่มีการพิมพ์ใหม่ ซึ่งคาดว่านายกรัฐมนตรีอาจยังไม่นำหลักฐานการเลื่อนชั้นยศเป็นพลเอกไปยื่นต่อสำนักงานเขต ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าไม่มีความผิดพลาดหรือเสียหาย และแม้ไม่เปลี่ยนชั้นยศในสำเนาทะเบียนบ้าน แต่ยังมีบัตรข้าราชการการเมืองหรือบัตรประชาชน ก็สามารถพิสูจน์ตัวบุคคลได้
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พล.อ ประยุทธ์ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ก็จะใช้สิทธิในฐานะ "นาย" ตามคำนำหน้าที่ระบุในบัตรประจำตัวประชาชนมาโดยตลอด
** กำชับใช้ กม.สกัดการบิดเบือนรธน.
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณีเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นและจับกุมผู้อยู่เบื้องหลังทำจดหมายร่างรธน.ปลอม ที่ จ.เชียงใหม่ ว่า จากการเข้าจับกุมครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ยังไม่มีการสั่งการอะไรเพิ่มเติม เพราะก่อนหน้านี้ นายกฯ เคยสั่งการไปก่อนหน้านี้แล้ว ช่วงที่มีเด็กอายุ 8 ขวบ ฉีกกระดาษบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ ให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องประสานงานกัน เพื่อป้องกันไม่ให้มีการกระทำผิดกฎหมายในเรื่องของการลงประชามติ เพื่อให้ประชาชนได้ลงประชามติโดยได้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง ไม่บิดเบือน หรือชี้นำ ซึ่งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติไปตามกฎหมาย โดยที่นายกฯไม่ได้มีการสั่งการอะไรเป็นพิเศษ
ผู้สื่อข่าวถามว่า การจับกุมผู้ที่อยู่เบื้องหลังครั้งนี้ ถือเป็นการตอบคำถามข้อสงสัยของบางฝ่ายที่ว่าไม่มีการปลอมร่างรธน.จริง หรือไม่ พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า "ใครพูดอะไรไว้ วันนี้หลักฐานมันออกมา สังคมได้ประจักษ์ เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของตัวเอง รัฐบาลไม่ได้พูดอะไรแบบนี้ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มการเมืองบางกลุ่มที่พยายามพูดแบบนี้ แต่พอมีข้อเท็จจริงออกมา มีหลักฐานปรากฏออกมา เจ้าหน้าที่จับกุมได้ ก็เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของตัวเองในสิ่งที่พูดไว้"
ทั้งนี้ รัฐบาลคงไม่ออกความเห็นในเรื่องนี้ ให้เป็นความขัดแย้งทางการเมือง เรามีหน้าที่ทำให้เกิดความเรียบร้อยตามกฎหมาย นั่นคือ แนวทางที่นายกฯ ยืนยันว่าจะดูแลให้เกิดความสงบเรียบร้อยภายใต้กฎหมาย และหลังจากนี้คงไม่ต้องสั่งจับตาอะไรเป็นพิเศษ ปล่อยให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ดำเนินการ มีข้อมูลอะไรว่าไปตามกฎหมาย รัฐบาลหรือ คสช. คงไม่ได้ไปสั่งการให้จับตาอะไรเป็นกรณีพิเศษ เดี๋ยวจะว่าเป็นการไล่ล่ากันทางการเมือง นายกฯ ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น มีหน้าที่อย่างเดียวรักษากฎหมายให้บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย
**จับขวนการเผยแพร่ร่าง รธน.ปลอม
ทั้งนี้ เมื่อช่วงเย็นวันที่ 23 ก.ค. ที่ผ่านมา พล.ต.ท.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5, พล.ต.โกศล ประทุมชาติ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 และ นายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผวจ.เชียงใหม่ ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุม นายวิศรุต คุณะนิติสาร อายุ 35 ปี ชาว จ.เชียงใหม่ , นายพงศ์พันธ์ จีระวัง ชาวจ.ลำพูน และนายสามารถ ขวัญชัย อายุ 63 ปี ชาวจ.เชียงใหม่ ผู้ต้องหากระทำความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ร่างรธน.
โดยการจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องมากจากกรณีตรวจพบมีการส่งจดหมายปิดผนึก ซึ่งมีเนื้อหาบิดเบือนร่างรธน. ในพื้นที่จ.เชียงใหม่, ลำปาง และลำพูน รวมทั้งสิ้น 11,181 ฉบับ ในช่วงวันที่ 12-15 ก.ค.ที่ผ่านมา และการตรวจพบใบปลิว Vote No ต่อต้านการลงประชามติร่างรธน.ในวันที่ 7 ส.ค.59 ที่บริเวณลานจอดรถชั้นใต้ดิน ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 59 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร มณฑลทหารบกที่ 33 และ ฝ่ายปกครอง ได้ร่วมกันค้นเป้าหมายที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จ.เชียงใหม่ และจ.ลำพูน รวม 10 เป้าหมาย เพื่อจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ และตรวจค้นหาวัตถุพยานที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด โดยค้นบ้านเลขที่ 11 ม.1 ต.ท่าศาลา อ.เมืองฯ จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นบ้านพักของ นายวิศรุต คุณะนิติสาร สามารถยึดสิ่งของจำนวน 9 รายการไว้เพื่อทำการตรวจสอบ
ต่อมาได้ติดตามจับกุมนายวิศรุตได้ที่ห้องเลขที่ 793/97 ลาดพร้าว 101 แขวงคลองเจ้าคุณสิงห์ เขตบางทองหลาง กรุงเทพฯ พร้อมกันนี้ ยังได้ตรวจค้นบริษัท เชียงใหม่ทัศนาภรณ์ จำกัด เลขที่ 123 ม.3 ถ.เชียงใหม่-สันกำแพง ต.ท่าศาลา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยสามารถยึดสิ่งของได้จำนวน 21 ราย อาทิ เครื่องปริ้นเตอร์ , ซองเอกสาร , ซองจดหมาย และคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่ง
นอกจากนี้ได้มีการค้นบ้านเลขที่ 129 ม.5 ต.บ้านธิ อ.บ้านธิ จ.ลำพูน ซึ่งเป็นบ้านพักของ นายพงศ์พันธ์ ได้จับกุม นายพงศ์พันธ์ จีระวัง ฐานกระทำผิด พยายามก่อความวุ่นวาย เพื่อให้การออกเสียงไม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และตรวจค้นบ้านเลขที่ 234/20 ม.6 ต.หนองหอย จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นบ้านพักของ นายสามารถ ขวัญชัย บุคคลตามหมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ กระทำผิดฐาน“เผยแพร่ข้อความในสื่อสิ่งพิมพ์ หรือช่องทางอื่นใด ที่ผิดไปจากข้อเท็จจริงโดยมุ่งหวังเพื่อให้ผู้มีสิทธิ์ออกไม่ไปใช้สิทธิ์ออกเสียงหรือออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่ออกเสียง”โดยสามารถจับกุมตัวนายสามารถ ได้ที่บ้านพัก พร้อมด้วยของกลางจำนวน 6 รายการ ได้แก่ แผ่นปลิวจำนวน 407 ใบ ระบุข้อความว่า “เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ 7 ส.ค. Vote No
ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เปิดเผยว่า การจับกุมตัวผู้ต้องหาในครั้งนี้ เป็นไปตามพยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้ร่วมกันทำการสืบสวนสอบสวน โดยพบว่า นายวิศรุต เป็นผู้ที่ลงมือนำจดหมายบิดเบือนเนื้อหาในร่างรธน. ไปตระเวนหย่อนลงตู้ไปรษณีย์ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ส่วนนายพงศ์พันธ์ ลงมือลักษณะเดียวกันในพื้นที่จ.ลำปาง ขณะที่นายสามารถ นำใบปลิวที่มีเนื้อหาต่อต้านการออกเสียงลงประชามติไปแจกจ่าย ซึ่งทั้งหมดเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
ทั้งนี้ ในส่วนของนายวิศรุต ยอมรับว่าได้ไปรับจดหมายดังกล่าวจากบริษัทแห่งหนึ่ง แล้วนำไปหย่อนลงตู้ไปรษณีย์ หลังจากได้รับการไหว้วานจากนักการเมืองที่มีชื่อเสียงในพื้นที่ ให้ก่อเหตุดังกล่าว ซึ่งนอกจากนายวิศรุตแล้ว ยังมีคนอื่นๆ อีกที่ร่วมกระทำในลักษณะเดียวกันในพื้นที่จ.เชียงใหม่ โดยจากข้อมูลดังกล่าวเป็นการยืนยันว่า จดหมายดังกล่าวไม่ได้เป็นการกระทำของฝ่ายรัฐอย่างที่มีบางฝ่ายพยายามตั้งประเด็น แต่เป็นการกระทำโดยกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม
ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ระบุว่า ในเบื้องต้นเชื่อว่า น่าจะเป็นกลุ่มขบวนการเดียวกันและมีการดำเนินการเป็นขบวนการใหญ่ ส่วนนักการเมืองที่อยู่เบื้องหลังนั้น เป็นผู้ใดและมีผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดเป็นใครบ้างนั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปชัดเจนลงไปได้ แต่จะเร่งทำการสืบสวนสอบสวนขยายผล โดยยืนยันว่า จะดำเนินการกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทุกคนอย่างเด็ดขาดตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือผู้ที่มีอิทธิพลใดๆ ก็ตาม
ส่วนกรณีที่เข้าตรวจค้น และเก็บหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จาก บริษัท เชียงใหม่ทัศนาภรณ์ จำกัด ซึ่งเป็นของตระกูล “บูรณุปกรณ์”ที่มีนายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ เป็นหัวเรือใหญ่นั้น เบื้องต้นไม่ขอระบุว่า มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับนายบุญเลิศ หรือไม่ ตลอดจนไม่สามารถบอกได้เวลานี้ว่า จะมีการใช้ ม.44 ในการปลดออกจากตำแหน่งหรือไม่ เพราะยังอยู่ในระหว่างการสืบสวนสอบสวน ทั้งนี้บอกได้แต่เพียงว่า หากมีหลักฐานเชื่อมโยงชัดเจนว่าผู้ใดที่กระทำความผิดด้วย ก็จะมีการดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด
**รธน.ผ่าน คสช.อยู่ต่ออีกปีครึ่ง
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ได้เผยแพร่ภาพสดผ่านโปรแกรม ‘เฟซบุ๊กไลฟ์’ชี้แจงถึงกรณีหากร่าง รธน.ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ผ่านการเห็นชอบในการลงประชามติ วันที่ 7 ส.ค. นี้แล้ว อนาคตของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. จะเป็นอย่างไร ว่า ขณะนี้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า หากร่างรธน. ผ่านการลงประชามติ ประกาศใช้บังคับแล้ว คสช.จะทำอย่างไร รัฐบาลจะทำอย่างไร ซึ่งตนได้ดูร่าง รธน.ฉบับนี้ ในมาตรา 265 บัญญัติว่า ให้คสช. ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รธน.นี้ ยังคงอยู่ในตำแหน่ง เพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรี ที่ตั้งขึ้นใหม่ ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปจะเข้ารับหน้าที่
ดังนั้น อำนาจหน้าที่ คสช.ก็ยังเหมือนเดิม คือ ต้องรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง พาบ้านเมืองให้พ้นวิกฤตไปให้ได้ อีกทั้งอำนาจที่มีอยู่ตามรธน.(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 และแก้ไขเพิ่มเติมอีก 2 ฉบับ ยังมีอยู่เต็มเปี่ยม คำสั่งของคสช. ยังเป็นกฎหมาย มีผลใช้บังคับต่อไป
นอกจากนี้ คสช. ก็ยังมีหน้าที่ ที่สำคัญ ภายหลังจากที่รธน.ฉบับนี้ใช้บังคับ พร้อมๆ กับการเลือกตั้งส.ส. คือ ในมาตรา 269 คสช. มีบทบาท และมีความสำคัญ ที่จะต้องเลือกคนดี มีความสามารถ มีความรู้ และประสบการณ์จากสาขาอาชีพต่างๆ มาเป็นส.ว. เพื่อทำหน้าที่สำคัญให้กับบ้านเมือง ส่วนรัฐบาลชุดปัจจุบันนั้น ต้องทำงานต่อไป ตามมาตรา 264 ซึ่งจะต้องทำกฎหมายตามที่ร่างรธน. ฉบับนี้บังคับไว้ให้เสร็จก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไป อีกทั้งการปฏิรูปประเทศ ก็จะมีการเริ่มลงมือปฏิรูปประเทศในรัฐบาลชุดนี้ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ถือเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ ที่เป็นผู้เริ่มปฏิรูปประเทศไทยครั้งยิ่งใหญ่ ในทุกด้าน ตามรัฐธรรมนูญ หมวดที่ 16 ได้บัญญัติเอาไว้ โดยบางเรื่องก็ทำไปแล้ว เช่น เรื่องการศึกษา และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตำรวจ ก็ต้องทำให้เสร็จภายใน 1 ปี
"ดังนั้น คสช.และรัฐบาล ยังมีภาระหน้าที่ ที่จะต้องปฏิบัติให้กับประเทศชาติ ใครที่คิดว่า ต้องการให้อยู่นานสักหน่อยนั้น ถึงรัฐธรรมนูญนี้ผ่านแล้วคสช. และรัฐบาล ก็จะต้องทำหน้าที่ต่อไปอีกประมาณ ปีครึ่งเป็นอย่างน้อย ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เพียงพอสำหรับการแก้ปัญหาของประเทศ สำหรับการเดินหน้าให้ประเทศเดินหน้าสู่ประชาธิปไตยฯ ดังนั้นจึงขออย่ากังวลใจ เพราะผมตัดสินใจรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ " นายสุเทพ กล่าว
**ร้อง กกต.เอาผิด กรธ.ชี้นำประชามติ
นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เวลา 10.00 น.วันนี้ (15ก.ค.) ตนจะไปยื่นหนังสือต่อ นายศุภชัย สมเจริญ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ให้ดำเนินคดีกับ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) และบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยเร่งด่วน เนื่องจากกรธ.ได้จัดทำเอกสาร" คำอธิบายสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ" ในลักษณะชี้นำด้านดีด้านเดียว ให้ประชาชนที่ได้อ่านข้อความในเอกสารไปใช้สิทธิออกเสียงรับร่างรธน. ถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงลงประชามติ มาตรา 61 วรรคสอง ที่ห้ามเผยแพร่ ภาพ เสียง สื่อสิ่งพิมพ์หรือสื่อใดๆโดยมุ่งหวังให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ไปใช้สิทธิออกเสียงหรือออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่ออกเสียง ถือว่าก่อความวุ่ยวายเพื่อให้การออกเสียงไม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และหาก กกต.เพิกเฉย จะถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
**"ปู"เชิญชวนใช้สิทธิประชามติ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กYingluck Shinawatra ว่า การลงประชามติในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมากต่ออนาคตประเทศ ถือเป็นครั้งสำคัญของการลงประชามติครั้งนี้ใช้คะแนนรับหรือไม่รับร่างมีมากกว่ากัน โดยไม่ได้คิดจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ออกเสียงมีจำนวนเท่าไร ดังนั้น การออกมาใช้สิทธิ์ให้มากที่สุด จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเป็นการดำรงรักษาประชาธิปไตย พร้อมกับเป็นการเลือกอนาคต ว่าเห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้หรือไม่ ที่จะใช้ในการบริหารบ้านเมืองของเราต่อไป และประชาชนได้รับประโยชน์จากร่างรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ โดยสิ่งเหล่านี้มีความสำคัญต่อประเทศเป็นอย่างมาก ที่ประชาชนทุกคนควรจะได้ร่วมกันใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อกำหนด และร่วมกันตัดสินอนาคตประเทศนี้
ทั้งนี้ ส่วนตัวจึงอยากจะขอเชิญชวนให้ไปใช้สิทธิ์กันมาก ๆ เพื่อแสดงออกทางความคิดและร่วมกันกำหนดอนาคตของประเทศด้วยวิถีทางที่เป็นประชาธิปไตย
***จ่าฝูงลิงป่าพาลูกน้องฉีกบัญชี
วานนี้ (24 ก.ค.) นายประยูร จักรพัชรกุล ผอ.การเลือกตั้งประจำจังหวัดพิจิตร พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจสอบบริเวณศาลาวัดหาดมูลกระบือ ต.ย่านยาว อ.เมืองฯ จ.พิจิตร หลังได้รับแจ้งว่าบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิลงประชามติของหน่วยที่ 1 หมู่ 1 ต.ย่านยาว ที่ติดไว้ 15 แผ่น ถูกทำลายฉีกขาดกระจัดกระจายไปทั่วทั้งศาลาวัด
พระมหาเมธี จันทะวังโส เจ้าอาวาสวัดหาดมูลกระบือ ที่นำดูที่เกิดเหตุ พร้อมเล่าให้ฟังว่า ภายในวัดนี้มีฝูงลิงป่าที่อยู่รวมกันเกือบ 200 ตัว ที่มาอาศัยขอของกินจากวัด และชาวบ้าน ซึ่งวันนี้ชาวบ้านได้รวมตัวกันตำข้าวเม่าเตรียมทอดขายในงานแข่งเรือ จึงคาดว่าฝูงลิงป่าที่มี “ไอ้บาก” เป็นจ่าฝูง คงจะพาลูกน้องมาขออาหารกิน แล้วไปฉีกบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ บนศาลาวัดดังกล่าว
นายประยูรกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดา เพราะในอดีตที่ผ่านมาบริเวณศาลาวัดแห่งนี้ก็ใช้เป็นหน่วยเลือกตั้ง ส.ว., ส.ส., ส.อบต.ทุกครั้ง ก็ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ครั้งนี้ที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพราะฝูงลิงป่าที่หิวโหย ประกอบกับความซุกซน จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น.