xs
xsm
sm
md
lg

“สุดแผ่นดิน” มิชชั่นคอมพลีท “โป้ง-โมเดิร์นด็อก” ปันเพื่อน้องปั่น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
เสร็จสิ้นภารกิจกันไปหมาดๆ สำหรับโครงการ Life Cycling “ปันเพื่อน้องปั่น” นำโดยสุดยอดนักปั่นน่องเหล็ก “โป้ง-ปวิณ สุวรรณชีพ” หรือหนุ่มมือกลองแห่งวงดนตรีที่ครองใจผู้ฟังอย่างยาวนาน “โป้ง-โมเดิร์นด็อก” ออกทริปปั่นตามเส้นทางเชียงราย-สตูล รวมระยะทางกว่า 2,354 กิโลเมตร เพื่อนำเงินที่ได้รับไปซื้อจักรยานให้น้องๆ ผู้ด้อยโอกาสใช้สำหรับเดินทางไปโรงเรียน

FEEL GOOD พร้อมเปิดบทสนทนาพูดคุยกับสิงห์นักปั่นผู้ซึ่งเป็นคนริเริ่มสำหรับภารกิจปั่นสุดแผ่นดิน ถึงเรื่องราวไลฟ์สไตล์การปั่นจักรยานของเขา รวมถึงแรงบันดาลใจในการทำดีปันน้ำใจเพื่อสังคมในครั้งนี้ . .

“เราเป็นคนชอบปั่นจักรยาน พอปั่นจักรยานมันก็อยากจะหาอะไรที่มันท้าทายต่อไปเรื่อยๆ พอปั่นไป 20 กิโลฯ ได้ก็อยากปั่นให้ได้ 40 กิโลฯ ปั่น 40 กิโลฯ ได้ก็อยากปั่นให้ถึง 100 กิโลฯ ทีนี้พอมันปั่น 100 กิโลฯ ไปเรื่อยๆ มันก็เริ่มอยากหาเป้าหมายอื่นๆ”

นี่อาจเป็นความรู้สึกของสิงห์นักปั่นส่วนใหญ่เลยก็ว่าได้ สำหรับความต้องการที่จะพิสูจน์ศักยภาพตัวเองและมองหาความท้าทายบนเส้นทางสองล้อ เขายอมรับกับเราถึงเป้าหมายที่ต้องการพิชิต ก่อนจะเล่าต่อไปถึงแรงบันดาลใจในการเริ่มทำภารกิจ “สุดแผ่นดิน” ที่ไม่น่าเชื่อเลยว่าได้แรงบันดาลใจมาจากการพลาดโอกาสปั่นฯ แข่งขันที่ประเทศรัสเซีย

“มีคนมาชวนไปปั่นที่งานหนึ่งเป็นการปั่นแข่งกันที่ประเทศรัสเซีย ปั่นราวๆ 9,000 กิโลฯ ปั่นฯจากด้านหนึ่งของรัสเซียไปอีกด้านหนึ่ง ข้ามทวีปเลยประมาณ 20 กว่าวัน แต่ว่าไม่ได้ไปเลยมาคิดว่าไหนๆ ก็ไม่ได้ไปรัสเซียแล้วก็หาปั่นเองดีกว่า มาคิดว่าอะไรที่มันอยู่ในช่วง 2 อาทิตย์ได้ก็เลยลองปั่นเหนือสุดลงมาใต้สุดแล้วกัน”

 
ความผิดหวังที่ได้พลาดโอกาสการปั่นแข่งขันที่ประเทศรัสเซีย ไม่ได้ทำให้ความตั้งใจของเขาจบลงไปด้วย เพราะเขามีความคิดที่จะทำบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น นั่นคือการปั่นจักรยานจากเหนือสุดจนถึงใต้สุดของประเทศ เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับน้องๆ ที่ขาดแคลนจักรยาน นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของภารกิจครั้งนี้

“มันเริ่มจากรัสเซียมีค่าสมัครที่ต้องสมัครคนละ 1 ล้าน เราต้องหาเงินค่าสมัครให้ได้ภายในเวลาที่ตั้งไว้ แต่มันก็หาเงินไม่ได้ตามเวลาที่กำหนด เราเลยพลาดโปรแกรมนั้นไป แต่พอไม่ได้ไปแข่งตรงนั้น เรามานั่งคิดมันมีวิธีหาเงินแต่ว่าถ้าเราเอาเงินที่หามาล้านหนึ่งไปแข่ง มันจะดูทำเพื่อตัวเองไปไหม

เราเลยคิดว่าคราวนี้เราใช้วิธีเดียวกันกับที่หาเงิน แต่ว่าลองเอาเงินไปทำประโยชน์อย่างอื่น มันก็เหมือนเราปั่นแล้วเราได้ให้คนอื่นด้วย ผมตั้งใจให้น้องๆ ที่เขาต้องการใช้จักรยาน แต่เขาไม่มีโอกาส ยังมีเด็กอีกหลายคนที่เดินไปโรงเรียน 3-4 กิโลฯ ถ้าเขามีจักรยานเขาใช้เวลาแค่ 5 นาที ในขณะที่ถ้าเขาเดินไป เขาต้องใช้เวลาครึ่งชั่วโมง มันก็เสียเวลาชีวิตเขาไปเยอะเหมือนกัน”

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจด้วยความอิ่มอกอิ่มใจแล้ว คุณโป้งยังบอกกับเราอีกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเกินความคาดหมาย รวมถึงเงินบริจาคที่เขาได้รับจากเหล่านักปั่นและคนไทยทั่วประเทศถึงหลักแสน ถือว่าเป็นความสำเร็จที่เต็มไปด้วยความภูมิใจ


 
“มันรู้สึกดี ตื่นเต้น สนุก เกินความคาดหมาย จริงๆ แล้วไม่ได้คิดด้วยว่าจะมีใครมาให้เงินหรือเปล่า เพราะที่คิดไว้คือไปคนเดียว ปรากฎว่าทุกคนให้ความสนใจกันเยอะ เข้ามาบริจาคเงิน มาช่วยกันเยอะแยะไปหมด ตอนนี้ได้ 5 แสนกว่าบาทตั้งแต่ที่เริ่มปั่นมา 2 อาทิตย์ เพราะมันเริ่มจากศูนย์เลย ไม่ได้คิดว่าจะมีคนมาปั่นจักรยานเยอะแยะ มันชื่นใจดี”

มองย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน จากหนุ่มนักดนตรีผู้ใช้ชีวิตในยามราตรี เขาได้มารู้จักกับเพื่อนสองล้อที่ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปได้มากถึงเพียงนี้ คุณโป้งบอกกับเราว่าจักรยานช่วยเปิดโลกของเขา และทำให้เขาได้ค้นพบตัวเองในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ถ้ามองย้อนไปจักรยานมันช่วยเปิดโลกนะ เหมือนคนที่ไม่เคยคิดจะทำอะไรเพื่อตัวเอง จักรยานมันทำให้รู้ศักยภาพอะไรใหม่ๆ ที่เราไม่เคยรู้ว่าเราทำได้ บางคนเริ่มปั่นจักรยานอาจคิดว่าปั่นตอนเช้าไป 20 กิโลฯ เสร็จแล้วก็กลับไปนอน

แต่เขาไม่รู้หรอกว่าบางทีเขาอาจจะปั่นไปแล้ว 100 กิโลฯ ก็ได้ เขาอาจจะเริ่มปั่นข้ามจังหวัดได้ เริ่มปั่นข้ามประเทศได้ ถ้ามันไม่มีจักรยานมันก็อาจจะไม่เคยลองทำอะไรแบบนี้ บางทีการท่องเที่ยวมันอาจจะไม่ได้ไปเพื่อดูสิ่งรอบตัวซะทีเดียว แต่มันเป็นการท่องเที่ยวเพื่อค้นหาตัวเอง สำรวจตัวเราเอง”

ชีวิตหลังจากที่มีบัดดี้สองล้อเปลี่ยนไปมากพอควร เขาเล่าว่าจากมนุษย์ที่อยู่ในโหมดกลางคืนเสียส่วนใหญ่ ได้เริ่มปรับเปลี่ยนตารางชีวิตให้เข้าสู่โหมดกลางวันมากขึ้น มีการทำกิจกรรมในตอนเช้ามากขึ้น และแน่นอนว่าสุขภาพร่างกายเขาก็ดีขึ้นด้วยเช่นกัน


 
“ชีวิตเปลี่ยนไปเยอะ ที่แน่ๆ คือสุขภาพดีขึ้น เพราะเราก็ต้องตื่นเช้า กิจกรรมกลางคืนต่างๆ ปาร์ตี้อะไรพวกนั้นจะน้อยลงไป มันเปลี่ยนเป็นกิจกรรมตอนเช้ามากขึ้น ความรู้สึกแรกของการปั่นคือเหนื่อยมาก เหนื่อยจนคิดว่าทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้ แต่พอปั่นฯ เสร็จแล้ว มันรู้สึกว่าเราอยากกลับไปทำแบบนี้อีก มันรู้สึกมาเรื่อยๆ จนถึงวันนี้”

สำหรับคุณโป้งเองแล้ว แน่นอนว่าหลายคนต้องคุ้นภาพชินตากับการเป็นนักปั่นฝีเท้ามหากาฬ เราจึงอยากรู้ว่าหากเปรียบคุณโป้งเองกับชิ้นส่วนจักรยานในส่วนใดส่วนหนึ่ง คุณโป้งจะคิดว่าตัวเองคือชิ้นส่วนชิ้นใด เขาหัวเราะหลังคำถามสิ้นสุดลง พร้อมกับให้คำตอบโดยที่เราเห็นด้วยอย่างไม่มีข้อปฏิเสธ

“จริงๆ จักรยานทุกชิ้นมันก็ต้องมีฟังก์ชั่นของมันเนอะ เราว่ามันคงเลือกอันใดอันหนึ่งยากนะ เพราะว่าถ้าขาดอะไรอันหนึ่งมันก็ไม่สามารถไปต่อได้ คนเราก็เหมือนกันแหละเราต้องฟังก์ชั่นตัวเองให้ได้ครบทุกอย่างถึงจะดำเนินชีวิตไปปกติได้”

“ชีวิตนักดนตรีกับนักปั่นอะไรคือตัวตน” เราโยนคำถามไปด้วยความสงสัยกับช่วงเวลาการทำงานด้านดนตรีตลอดช่วงชีวิต กับไลฟ์สไตล์การปั่นจักรยาน 3ปีกว่าที่ดูเหมือนว่ากลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขาด้วยเช่นกัน

“มันคืออะไรก็ได้ที่ทำแล้วรู้สึกดี มันคงแยกกันไม่ได้หรอก ระหว่างดนตรีกับจักรยาน เพราะตอนนี้ทำดนตรี ทำรายการจักรยาน มันก็ไปด้วยกันได้อย่างดี ไม่ได้แบ่งแยก เวลาไปเล่นคอนเสิร์ตต่างจังหวัด ผมก็เอาจักรยานไปถ่ายด้วย มันอยู่ด้วยกันได้หมดทุกอย่าง ถ้าเราคิดว่าเราทำแล้วแฮปปี้ดีก็โอเคแล้ว”

เรื่อง : พิมพรรณ มีชัยศรี
ภาพ : อินสตาแกรม

ชมภาพ . .





 
กำลังโหลดความคิดเห็น