xs
xsm
sm
md
lg

เปิดโปงขบวนการค้าน้ำกาม “นาตารี” รัชดาฯ ซ่อง “เสี่ย ล.”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


ตะลึง!!?? เส้นทางค้ามนุษย์ยุคดิจิตอล แม่เล้าออกตระเวนตกเขียวสาวน้อยชนเผ่าท่าขี้เหล็ก ก่อนส่งสังเวยกาม แฉเรียกเสี่ยหื่น “เปิดซิง” เก็บเงินแสนก่อนลดระดับส่งเข้านั่งตู้ “จับตา” นาตารีโด่งดังจัดลูกค้าจีนแห่เที่ยว แต่ตำรวจไม่รู้ไม่เห็น งานนี้ถ้ารัฐเอาจริงอาจมียึดทรัพย์ เสี่ย ล.

จากข้อมูล NVADER ที่แจ้งเบาะแสมายังรัฐบาล ว่า มีการค้ามนุษย์ในสถานบริการขนาดใหญ่ใจกลางเมืองกรุง จนเป็นที่มาของ “ปฏิบัติการสังขร” โดยเจ้าหน้าที่จากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และเจ้าหน้าที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร บุกเข้าตรวจค้นสถานอาบอบนวด “นาตารี” ย่านถนนรัชดาภิเษก พื้นที่สน.ห้วยขวาง พบหญิงต่างด้าวอายุต่ำกว่า 18 ปี และเกินกว่า 18 ปี รวมถึง 119 คน โดยก่อนหน้าได้วางแผนล่อซื้อการค้าประเวณีกับหญิงบริการอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 3 คน เมื่อพบความผิดชัดเจนจึงส่งสัญญาณบุกเข้าทลาย

ระหว่างการตรวจค้นยังพบบัญชีรายจ่าย หรือ “ส่วยน้ำกาม” ที่สถานบริการดังกล่าวจ่ายต่อผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีการโอนเงินเข้าบัญชีให้กับบุคคลต่าง ๆ ด้วยจึงเก็บเป็นหลักฐาน ส่วนตัวเจ้าของอยู่ระหว่างการสืบสวนว่าเป็นของผู้ใด หากพบจะดำเนินคดีตามกฎหมายในทันทีโดยอัตราโทษถึงขั้นยึดทรัพย์

สำหรับสถานบริการอาบอบนวด “นาตารี” ทราบกันในวงการว่า เป็นของเสี่ยคนดังที่ท่องยุทธจักรค้าเนื้อสดมานานหลายสิบปี อักษรย่อ “นาย ก.” มีชื่อเล่น “เสี่ย ล.” เคยโด่งดังเมื่อครั้งมีข่าวปะทะกับเจ้าพ่ออ่างชื่อดังระดับประเทศรายหนึ่งเกี่ยวกับการขออนุญาตเปิดสถานอาบอบนวด ย่านถนนรัชดา แต่มีปัญหาอยู่ติดกับสถานศึกษา จนเกิดการตีความว่าผิด พ.ร.บ. สถานบริการหรือไม่เส้นทางของ “เสี่ย ล.” เติบโตมาจากการค้าหญิงบริการมาตั้งแต่ยังเป็นโรงน้ำชา ก่อนขยับมาเป็นอาบอบนวดขนาดเล็กและเติบใหญ่มาเรื่อย ๆ จน เป็นเจ้าของสถานอาบอบนวด ขนาดใหญ่ระดับ 4 ดาวหลายแห่ง รวมทั้งนวดแผนโบราณอีกจำนวนหนึ่งนอกจากกิจการ “นวด” แฝง “นาบ” แล้ว “เสี่ย ล.” ยังอยากสร้างเม็ดเงินให้มากขึ้นอีก ด้วยการลงทุนซื้ออพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งภายในซอยโชคชัย 4 ย่านลาดพร้าว แล้วลักไก่เปิดสถานบริการอาบอบนวด พร้อมกับบ่อนพนันมาตรฐาน แต่เนื่องจากเกิดปัญหากับเสี่ยอ่างคนดัง จึงตามถูกราวีเปิดโปงกระทั่งต้องปิดตัวไปโดยปริยาย

สำหรับการเปิดค้าประเวณีแบบท้าทายกฎหมาย ท่ามกลางความพยายามของรัฐบาลไทย ที่จะให้หลุดพ้นจากการจัดอันดับในกลุ่มเทียร์ 3 หรือประเทศที่ยังมีสถานการณ์การค้ามนุษย์ในระดับเลวร้าย แต่ดูเหมือนว่า ยังมีการปล่อยปละละเลยจากเจ้าหน้าที่บางหน่วยงานของรัฐ ดังเช่น กรณีการบุกทลายสถานบริการอาบ อบ นวด ซึ่งนอกจากจะพบเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 18 ปีจำนวนหนึ่งแล้ว ยังเป็นสาวต่างด้าวอีกจำนวนมาก จึงเกิดคำถามว่า

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ยิ่งในสภาวะที่รัฐบาล และ คสช. ประกาศจุดยืนต้องทำลายขบวนการค้ามนุษย์ให้สิ้นซาก แต่ก็ยังเปิดค้าเนื้อสดกลางกรุงอย่างโจ๋งครึ่ม แสดงให้เห็นว่า ยังคงมีบางหน่วยงานหย่อนยาน บกพร่องต่อหน้าที่ หรืออาจเข้าขั้นร่วมรู้เห็นเป็นใจเพียงเพื่อแลกกับส่วยจำนวนไม่กี่หมื่นบาทต่อเดือน

ทั้งนี้ หากต้องการสืบค้นกันอย่างจริงจัง “บัญชีส่วยน้ำกาม” จะเป็นตัวบ่งชี้ไปถึงบุคคลต่าง ๆ ได้อย่างแน่นอน

ทั้งนี้ ความเป็นจริงของสถานบริการอาบ อบ นวด ทุกแห่ง ล้วนมีการค้าประเวณีแอบแฝงทั้งสิ้น รวมไปถึงสถานนวดแผนโบราณ ในรูปแบบทั่วไป หรือมีพริตตี้ส่วนใหญ่มีการขายเนื้อสดกันด้วย ไม่ว่าจะเป็นย่านถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ย่านรัชดา - ห้วยขวาง ย่านถนนประเสริฐมนูญกิจ - ประดิษฐ์มนูธรรม หรือ ถนนเกษตร - นวมินทร์ ถนนเลียบทางด่วน ที่คุ้นเคย ย่านถนนพระราม 9 เชิงสะพานปิ่นเกล้าฯ บางยี่ขัน ย่านชานเมืองตามความเจริญเติบโตของเมืองหลวง หากเมื่อเข้าไปใช้บริการอาจจะมีข้อความแผ่นสติกเกอร์เขียนว่า “ห้ามค้าประเวณี” แต่ให้เชื่อว่าเป็นเพียงเทคนิคการเลี่ยงกฎหมายเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา สถานบริการอาบ อบ นวดหลายแห่งอยู่ในสภาพซบเซา บางที่ต้องปิดกิจการไปเลย อาทิ “ซีซาร์” อาบ อบ นวด หรือที่กำลังร่อแร่ต้องลดแลกแจกแถมให้กับนักเที่ยว ก็คือ อาบอบนวดในเครือชวาลา ส่วนแหล่งอื่น ๆ อย่างดีที่สุด ก็คือ สามารถเลี้ยงตัวเองได้ ต่างกับ “นาตารี” ซึ่งกลายเป็นแหล่งสวรรค์ของนักท่องเที่ยวเนื่องจากผู้บริหาร “ใจถึง” จัดสาวบริการต่างด้าวจำนวนมากในราคาไม่แพงไว้ล่อตะเข้สายหื่น ซึ่งเกือบทั้งหมด และลูกค้าส่วนใหญ่ของ “นาตารี” คือ นักท่องเที่ยวชาวจีน หรือมีศัพท์เรียกว่าพวก “วอล์กกิงสตรีท” พวกนี้มักจองที่พักตามโรงแรมย่านถนนรัชดาฯ เมื่อว่างจากโปรแกรมเที่ยววัด - วัง ก็จะ “แว่บ” มาลงอ่าง

“ป๋า ม.” อดีตคนเชียร์แขกรายหนึ่ง ผู้มีประสบการณ์รับจ้างเป็นพนักงานเชียร์ และ ผจก. ผ่านงานอาบ อบ นวด มาอย่างโชกโชน ให้ข้อมูลว่า ก่อนทหารเข้ามายึดอำนาจ และก่อนจะมีกฎหมายลงโทษขบวนการค้ามนุษย์อย่างรุนแรงถึงขั้นยึดทรัพย์นั้นขบวนการค้ามนุษย์ หรือ “ตกเขียว” เด็กสาวหน้าตาดีจะเดินทางเข้าไปยังท่าขี้เหล็ก ชายแดนเพื่อนบ้านเรา และติดต่อกับครอบครัวกลุ่มชนเผ่า ขอซื้อลูกสาวเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ซึ่งขบวนการนี้จะมี “คนกลาง” ผู้อธิบายลักษณะของงานอย่างตรงไปตรงมาพร้อมกับเสนอเงินหลักแสน จนถึงหลายแสนบาทสุดแท้แต่บุคลิก รูปร่างหน้าตาของเด็กสาว จนเมื่อตกลงกันได้ก็จะหาทางผ่านด่าน ตม.แม่สาย จ.เชียงราย เดินทางมายังเมืองหลวงเพื่อขายตัว “ล้างหนี้” จนกว่าจะครบถ้วน

ขบวนการนายหน้าค้าเนื้อสดส่วนใหญ่เป็นสตรี เป็นที่เชื่อถือของพ่อ - แม่เด็กสาวที่อนุญาตให้พามาทำงานได้ ทั้งนี้ น่าจะมาจากผลงานในอดีตเมื่อมีเด็กบ้านนั้นมาทำงานเพียงปี 2 ปี ฐานะก็เปลี่ยนแปลงสามารถปลูกบ้าน มีรถกระบะ มีรถจักรยานยนต์และมีเครื่องไฟฟ้าอำนวยความสะดวกจากประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นหน้าเป็นตา เป็นความสำเร็จของครอบครัวคล้าย ๆ กับบรรยากาศเมื่อ 30 - 40 ปีก่อน เมื่อยังมีขบวนการตกเขียวในหลายจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทย

คราวนี้มาถึงขั้นตอนสำคัญที่ “ป๋า ม.” ระบุว่า ขบวนการค้ามนุษย์จะสามารถเรียกทุนคืนด้วยการเปิดบริสุทธิ์เด็กสาวทุกคน อาจจะมีราคาตั้งแต่เรือนแสนถึงหลาย ๆหมื่น แต่ค่าเปิดบริสุทธิ์พวกนี้จะเก็บไว้หมดไม่ยอมจ่ายให้เด็ก จากนั้นจะค่อย ๆ ลดลง ๆ จนผ่านไปสักระยะเมื่ออบรมการวางตัว มี “ครูฝึก” การดูแลแขกนักเที่ยว ทั้งอาบน้ำให้ จนถึงขั้นตอนอื่น ๆ จนเห็นว่าเด็กสามารถส่งไป “นั่งตู้” ทำงานอย่างจริงจังได้ก็จะมอบให้กับเจ้าของอาบ อบ นวด จัดการอีกขั้นตอนหนึ่ง เช่น กำหนดราคาที่แตกต่างกันประมาณที่รอบละ 2 พัน - 3 พันบาท หักให้กับสถานบริการ 50/50 หรืออาจจะมากน้อยสุดแท้แต่ตกลงกัน ส่วนเงินค่าตัวเด็กนายหน้าก็จะทยอยหักไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหมดหนี้สิน ประมาณว่า เด็ก 1 คน จะสร้างรายได้ให้ขบวนการค้ามนุษย์มากถึง 5 แสน ถึง 1 ล้านบาท

เมื่อถามถึงมาตรการสอดส่องดูแลเด็ก ป๋า ม. บอกว่า อันนี้ไม่ต้องห่วงเพราะทางสายจัดหาเด็กจะจัดการที่พักให้เป็นอย่างดี จากที่เคยอยู่ชนบทห่างไกลบางบ้านไม่มีไฟฟ้าแต่พอมาอยู่กรุงเทพฯชีวิตเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงนอนห้องปรับอากาศ กินอยู่อย่างดี แถมด้วยโทรศัพท์ราคาแพงแต่งตัวพัฒนาไปตามแฟชั่น มีหลายคนเมื่อใช้หนี้หมดก็ยังไม่ยอมกลับ พวกนี้พอปีกกล้าขาแข็งก็บินเดี่ยวหากินเอง ด้วยความสาวสวย ผิวพรรณดี บางคนได้สามีเป็นเสี่ยเป็นนักธุรกิจตั้งรกรากอยู่ในกรุงเทพฯ หรือประเทศไทยก็มี

“ผมไม่สนับสนุนให้ทำกันแบบนี้นะ แต่ที่เห็น ที่ผ่านมามันเป็นแบบนี้ คือ ถ้าจะคิดว่าพวกนี้เขาทำ เพราะความยากจนส่วนหนึ่งอาจจะใช่ สำหรับผมคิดว่าส่วนที่ใหญ่กว่า คือ เป็นทางเลือกให้กับชีวิตเขาเอง เพราะใคร ๆ ก็อยากสบาย อยากให้พ่อแม่พี่น้องได้สบาย เราเองก็อยากให้มันเป็นแบบนั้นใช่ไหมล่ะ” ป๋า ม. กล่าวทิ้งท้าย
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น