>>บางครั้ง “ความรัก” ก็เล่นตลกกับชีวิตคนเราแบบไม่น่าเชื่อ ใครจะคิดว่า วันหนึ่งดีเจชื่อดังระดับแถวหน้าของเมืองไทย อย่าง “มังกร ทิมกุล” ทายาทของครูเล็ก “ภัทราวดี มีชูธน” แห่งภัทราวดี เธียเตอร์ จะโคจรมาปิ๊งรักกับ “เปิล-ดวงมณี ยันตวัฒนา” อดีตผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์และการตลาดของโรงแรมดับเบิ้ลยู กรุงเทพฯ เข้าอย่างจัง แถมทั้งคู่ยังลงเอยด้วยการสร้างครอบครัวที่อบอุ่น หลังคบหาดูใจกันเพียง 2 ปี และมีทายาทลูกแฝดชายหญิงเป็นโซ่ทองคล้องใจให้แน่นหนาเป็นสองเท่า พูดไปก็เหมือนพล็อตซีรีส์เกาหลีชัดๆ แต่นี่คือเรื่องเล่าจากชีวิตจริงของครอบครัวทิมกุล
เที่ยงวันที่อากาศด้านนอกร้อนระอุ เรามีนัดกันที่ห้องพักสุดหรูของโรงแรมดับเบิ้ลยู กรุงเทพฯ ย่านสาทร หลังจากเก็บภาพครอบครัวสุขสันต์ของครอบครัวทิมกุล ที่วันนี้มากันแบบอบอุ่น ทั้งคุณพ่อคุณแม่และลูกแฝดชาย-หญิงวัย 8 เดือน “น้องรินโกะ-ดวงดาว” และ “น้องริวจิ-ดวงอาทิตย์ ทิมกุล” เรียบร้อยก็ถึงเวลาตามไปล้วงลับเส้นทางความรักของทั้งคู่ที่ดูยังไงก็ไม่น่าบรรจบกันได้ เพราะฝ่ายชายเองก็ยังออกปากว่า ถ้าเพื่อนที่รู้จักกันเมื่อ 10 ปีที่แล้วมาเห็นภาพเขาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกวันนี้ ก็คงไม่เชื่อว่าวันนี้เขาจะเป็นแฟมิลี่แมนไปแล้ว เช่นเดียวกับฝ่ายหญิง ที่สำทับเป็นเสียงเดียวกันว่า เพื่อนสมัยเรียน คงจินตนาการ เปิลในบทบาทการเป็นคุณแม่ลูกแฝดไม่ออกเช่นกัน
เริ่มจากเพื่อนลงท้ายคู่ชีวิต
เป็นธรรมดาที่เมื่อคู่รักเจอคำถามว่า “รู้จักกันครั้งแรกได้อย่างไร” จะแก้เขินด้วยการหัวเราะ และ หยุดคิดเพื่อตามหาช่วงเวลาแห่งความประทับใจ สำหรับคู่นี้ก็เช่นกัน
“ผมเจอกับเปิลครั้งแรกที่บ้านเพื่อน สำหรับผมมันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากๆ นะ ผมคิดมาตลอดว่าความรักเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถตามหา ต้องให้มันมาหาเราเอง แต่ครั้งแรกที่เจอเปิล ผมรู้สึกว่าเขาเป็นคนสวยนะ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าเราจะมาเป็นแฟนกันได้ เพราะเราเหมือนเป็นเพื่อนกันมากกว่า เรามีเพื่อนกลุ่มเดียวกัน” มังกร หนุ่มพูดน้อยเริ่มเท้าความถึงเส้นทางความรัก
“เปิลรู้จักกับเขาผ่านการแนะนำของเพื่อนอีกที พอดีวันนั้นเพื่อนเปิลชวนไปปาร์ตี้ ซึ่งเขาไปเป็นดีเจพอดี เพื่อนเลยแนะนำให้รู้จักกัน ตอนนั้นเปิลไม่ได้คิดอะไรนะ เพราะเราต่างคนก็ต่างไม่ได้โสด แค่รู้จักกันไว้ เจอกันทุกครั้งก็เพราะนัดกันเป็นก๊วน จนผ่านไปปีนึง เราทั้งคู่กลับมาโสด มีอยู่วันหนึ่งเขาเดินเข้ามาหาเปิลจับมือเราแล้วบอกว่า เขายังไม่มีเบอร์เปิลเลย ความรู้สึกตอนนั้นก็เหมือนสปาร์กเล็กๆ นะ ด้วยเซนส์เรารู้แล้วหละ ว่าเขากำลังจะจีบเรา ที่ผ่านมาเราก็เคยมีแฟน แต่ไม่เคยรู้สึกสปาร์กเหมือนครั้งนี้ วันนั้น ถามว่ารู้สึกยังไงกับเขา ก็เริ่มสนใจเขานิดๆ นะ เลยให้เบอร์ไป และเราก็เริ่มคุยกัน”
“ผมว่าความที่เรามีเพื่อนกลุ่มเดียวกันทำให้เราเข้ากันง่ายขึ้น เวลาชวนไปไหนกับเพื่อนผม ก็ไม่ต้องห่วงว่าเขาจะอึดอัด อย่างแฟนเก่าผม ไม่ใช่เขาไม่ดีนะ เราจบกันแบบนี้ ทุกวันนี้ก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ แต่เพราะพอกลุ่มเพื่อนเราต่างกัน ทัศนคติบางอย่างเราต่างกัน ผมอยากมีครอบครัวอยากมีลูก แต่เขาไม่อยากมี เลยเข้ากันลำบาก ส่วนผมกับเปิลต้องบอกว่าความสัมพันธ์เราเกิดขึ้นแบบธรรมชาติมากๆ เริ่มจากการเป็นเพื่อน รู้จักกันเป็นปีก่อนจะจีบเขา เราเป็นคู่ที่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยนะ แทบจะตรงข้ามกันในหลายๆ อย่างด้วยซ้ำ อย่างเวลาไปดูหนังผมชอบหนังแอกชั่นเขาชอบหนังดราม่า เราก็ต้องสลับกันบางครั้งตามใจเขา บางทีตามใจผม ซึ่งข้อดีของการที่เราต่างกัน คือ ทำให้เราไม่เบื่อเวลาอยู่ด้วยกัน และมีอะไรตื่นเต้นจะทำด้วยกันเสมอ”
“เราไม่ใช่คู่ที่มุ้งมิ้ง ไม่หวาน เพราะพี่มังกรจะออกแนวทะเล้นๆ มากกว่า ไม่มีดอกไม้ หรือพูด Good Night ก่อนนอน หรือเวลาจะทำอะไรต้องรายงานกันตลอด เพราะเราเป็นคู่ที่ให้อิสระกันและกันมาก เปิลคิดเสมอว่า การเป็นแฟนกันไม่จำเป็นต้องคุยกันทุกวัน รายงานตัวตลอด เพื่อเป็นหนึ่งในวิธีป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายนอกใจ เพราะคนเราถ้าจะไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน ต่อให้ทำอย่างไรเขาก็ไป เราคุยกันแบบเป็นพี่เป็นน้อง คบกับแบบผู้ใหญ่มากๆ ถึงภายนอกเขาจะดูเป็นผู้ชายโหด มีรอยสัก (หัวเราะ) แต่จริงๆ เขาเป็นผู้ชายที่ซอฟต์และจิตใจดีมากๆ นะ เราถึงเลือกเขาเป็นคู่ชีวิต”
ไม่หวานแต่มั่นคง
หลังจากวันที่ตัดสินใจคบหากันเป็นแฟน ผ่านไปเพียง 1 ปี มังกร ชายหนุ่มที่ดูขี้อาย ขี้เล่น ไม่โรแมนติกเอาซะเลย กลับตั้งใจทำเซอร์ไพรส์แฟนสาวในวันเกิดด้วยการขอหมั้น
“คบกันได้ 1 ปี เขาก็ขอหมั้น เซอร์ไพรส์ในวันเกิดเรา จำได้ว่าวันนั้นเราทำงานเสร็จก็กลับบ้านตามปกติ รู้อยู่แล้วว่าต้องมีเค้กเซอร์ไพรส์วันเกิด แต่ที่ไม่คิดคือเขาจะขอหมั้นผ่านข้อความบนหน้าเค้กวันเกิด เขาเขียนว่า “Will you get engaged to me?” ก่อนหน้านี้เราไม่ได้ระแวงเลยว่าเขาจะขอหมั้นหรือขอแต่งงาน พอเจอแบบนี้ก็เซอร์ไพรส์แต่ก็ Say Yes! (หัวเราะ) หลังจากหมั้น 1 ปี เราก็แต่งงานกัน"
รวมเวลานับตั้งแต่เริ่มคบหาดูใจกันในฐานะแฟน เพียง 2 ปีเท่านั้น ดีเจหนุ่มกับอดีตพีอาร์สาวก็ตัดสินใจลั่นระฆังวิวาห์ ถามว่าเร็วไปไหม เปิลยอมรับว่า...เร็วมาก เพราะเธอเองก็ไม่เคยคิดว่าจะคบกับใครแค่ 2 ปีแล้วแต่งเลย แต่สำหรับมังกร เธอมั่นใจว่าเขาเป็นผู้ชายที่เธอจะสามารถฝากชีวิตไว้ได้ เพราะสัมผัสได้ว่าเขาเป็นคนที่จิตใจดี เป็นคนดี แค่นี้ก็พอแล้ว
“หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เปิลประทับใจเขามาก ตั้งแต่สมัยยังไม่แต่งงานคือ มีครั้งหนึ่งเปิลมีปัญหา ตอนนั้นเขาอยู่ที่ภูเก็ต กำลังจะต้องไปร่วมงานหนึ่งในฐานะดีเจ ซึ่งชื่อของเขาก็ถูกโปรโมตไปแล้ว แต่พอเขารู้ว่าเรามีปัญหา เขาตัดสินใจไปคุยกับทางผู้จัดงาน เพื่อขอกลับมาหาเปิลที่กรุงเทพฯ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เปิลรู้สึกได้ว่า ผู้ชายคนนี้เขาพร้อมจะอยู่เคียงข้างเราเสมอ”
เช่นเดียวกับมังกร ที่สำทับว่า ประทับใจเปิล เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่อดทน ใจเย็น พร้อมจะอยู่เคียงข้างเขาทั้งในยามสุขและทุกข์
“คุณแม่ผมพูดเสมอว่า ใครเป็นแฟนผมต้องมีความอดทนสูงมาก ซึ่งผมก็คิดว่าเป็นอย่างนั้นนะ และเปิลก็เป็นผู้หญิงที่ใจเย็น และมีความอดทนสูงมาก เขาอยู่กับผมทั้งช่วงที่ผมมีความสุขและมีปัญหา ผมดีใจที่ได้เป็นแฟนเขาและได้แต่งงานกัน เพราะไม่รู้ว่าถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นจะทนผมไหวไหม (หัวเราะ)”
“เปิลว่าไม่ใช่ว่าเราอดทนหรอก แต่เพราะเปิลเป็นคนเข้าใจโลกมากกว่า เปิลว่าถ้าแค่อดทนใครก็ทำได้ แต่ถ้าอดทนแบบไม่เข้าใจก็อยู่ได้ไม่นาน เปิลเข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น บางครั้งเขาอาจจะเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงมาก แต่นี่คือตัวตนที่เราชอบเขาตั้งแต่ต้น ไม่งั้นจะแต่งงานด้วยทำไม (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นเมื่อเราใช้ชีวิตคู่กัน ตัวตนของเขาหรือสิ่งที่เขาเป็นก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเรา”
ลูกแฝดเปลี่ยนชีวิต
หลังจากเริ่มต้นชีวิตแต่งงาน ถามว่าชีวิตเปลี่ยนไปไหม คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แต่งงานไม่ทำให้ชีวิตเปลี่ยน แต่การมีลูกทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป
“สำหรับผมช่วงแต่งงาน ผมยังทำงานเป็นดีเจเหมือนเดิม ซึ่งงานดีเจเป็นงานที่ผมทำมาตั้งแต่อายุ 13 ปี ควบคู่กับการเป็นอาจารย์สอนที่โรงเรียนเอสเออี สคูล ออฟ ออดิโอ เอนจิเนียริ่ง และดูแลธุรกิจส่วนตัว นั่นคือ ให้เช่าบ้านพักส่วนตัวที่เชียงใหม่ ชื่อว่า “บ้านแก้วมังกร” ที่อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ และ อพาร์ตเมนต์ที่หัวหิน ชื่อ “บ้านมังกร” แต่หลังจากมีลูก ผมตั้งใจว่าจะเลิกเป็นครูแล้ว ส่วนงานดีเจคงเลือกรับมากขึ้น เพราะผมต้องทุ่มเทเวลาเพื่ออยู่กับลูกให้มากขึ้น”
เช่นเดียวกับเปิล เวิร์กกิ้งวูแมนคนเก่ง หลังจากแต่งงานเธอยังสนุกกับการทำงานในฐานะพีอาร์สาวสุดมั่นเหมือนเดิม เพราะแม้ช่วงที่ตั้งท้องลูกแฝด ถึงต้องแบกน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นถึง 20 กิโลกรัม เธอก็ยังสู้ตายทำงานจนเกือบหยดสุดท้ายถึงลาคลอด หลังจากครบกำหนดลา ก็รีบกลับมาทำงาน แต่ปรากฏว่า ดัชนีความสุขในการทำงานของเธอกลับลดลง ไม่ใช่เพราะงานเปลี่ยนไป แต่เพราะความรู้สึกว่ามีลูกน้อยรออยู่ที่บ้าน สุดท้ายเธอจึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำ ไปเป็นคุณแม่ฟูลไทม์ พร้อมดูแลธุรกิจส่วนตัว พร้อมรับเป็นที่ปรึกษาด้านพีอาร์และการสร้างแบรนด์
”ด้วยงานพีอาร์โรงแรมค่อนข้างหนัก ทำงานวันละ 10 ชั่วโมง ต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง ถึงบ้านอีกที 2 ทุ่ม บางทีกลับมาลูกก็หลับแล้ว วันๆ แทบไม่มีเวลาอยู่กับลูก เปิลเองคิดเสมอว่า ลูกเรามีช่วงเวลาเป็นเด็กครั้งเดียว ถ้าเราพลาดโอกาสที่จะดูแลเขาในช่วงนี้ก็ผ่านไปเลยนะ ตอนนั้นเลยคิดจะลาออกจากงาน แต่ก็ลังเล ปรึกษาหลายคน หนึ่งในนั้นคือ คุณสามีเขาก็ไม่ได้บังคับเรานะ เพราะอย่างที่บอก เราเป็นคู่ที่ให้อิสระกันและกันมาก แต่เขาก็เห็นด้วยถ้าเราจะลาออกมาดูแลลูก เพราะเขาก็เชื่อว่าลูกต้องการเปิลมาก”
ธุรกิจใหม่ของคุณแม่ฟูลไทม์
พอตัดสินใจได้ เปิลจึงลาออกมาสวมบทคุณแม่ฟูลไทม์ พร้อมปลุกปั้นธุรกิจชุดคลุมท้องแฟชั่นสำหรับผู้หญิงทำงานภายใต้ชื่อแบรนด์ “Bumpalicious” ซึ่งทำร่วมกับเพื่อนอีก 2 คน ตั้งแต่สมัยยังทำงานประจำ เธอบอกว่าทำแบรนด์มาได้ 1 ปีแล้ว ฟีดแบ็กค่อนข้างดี โดยธุรกิจนี้เริ่มต้นจากตัวเปิลช่วงตั้งครรภ์ แล้วประสบปัญหาหาชุดคลุมท้องแฟชั่นใส่มาทำงานไม่มี ส่วนใหญ่ในท้องตลาดจะเป็นสไตล์เกาหลี ซึ่งไม่เหมาะกับผู้หญิงทำงาน เลยเห็นช่องว่างทางการตลาด
“ทุกวันนี้เปิลยังตื่นตี 5 ครึ่งเหมือนเดิม เพราะลูกตื่นเร็ว (หัวเราะ) เปิลจะรับหน้าที่อาบน้ำให้ลูกเอง เพราะเราอยากใกล้ชิดกับลูกให้มากที่สุด มีบางช่วงที่ให้พี่เลี้ยงดู เปิลก็จะนั่งทำงานอยู่ใกล้ๆ ถ้าลูกเป็นอะไรอย่างน้อยก็อยู่ในสายตาเรา”
กับบทบาทการเป็นคุณแม่ลูกแฝด เปิลยอมรับว่าทั้งช็อกและดีใจพร้อมกัน เพราะตอนก่อนจะท้อง ยังไปปรึกษาคุณหมอด้วยซ้ำว่า ทำไมแต่งงานมา 1ปีแล้วยังไม่มีลูก ปรากฏว่าตรวจแล้ว ทั้งเธอและสามีก็ไม่ได้มีปัญหา คุณหมอเลยลองให้ยามากินเพื่อบำรุงไข่ ปรากฏว่าคราวนี้ติดมาสองใบเลย เป็นแฝดชายหญิง
“ตอนแรกก็ช็อกนะ แต่ก็ดีใจปนกังวลว่าเป็นแฝดแล้วเราจะเลี้ยงไหวเหรอ แต่มองอีกแง่หนึ่ง นี่ก็เป็นเรื่องดีเพราะเราตั้งใจอยากมีลูก 2 คน ชาย 1 หญิง 1 อยู่แล้ว อยากให้เมื่อวันหนึ่งเราจากโลกนี้ไป ลูกของเราจะไม่โดดเดี่ยวยังมีพี่น้องที่จะใช้ชีวิตไปด้วยกัน “
สำหรับที่มาของชื่อลูกแฝดที่ใครได้ยินเป็นต้องสะดุดหู นึกว่าเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น คุณแม่สุดมั่นถือโอกาสเป็นฝ่ายเฉลยว่า เป็นเพราะเพื่อนสนิทของสามีเป็นชาวญี่ปุ่น ด้วยความที่เขาชื่อริวจิ แปลว่ามังกร เลยเกิดไอเดียว่าอยากให้ลูกใช้ชื่อที่มีความหมายเป็นชื่อของพ่อแม่ อย่างลูกสาวให้ชื่อเรนโกะ แปลว่าแอปเปิล เหมือนชื่อของแม่ ส่วนริวจิ ก็แปลว่ามังกร เป็นชื่อของพ่อ ส่วนชื่อจริงของลูก เปิลตั้งใจให้ชื่อเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ เพราะเปิลและสามีชอบเที่ยวธรรมชาติและป่าเขา เลยตั้งชื่อเขาว่าดวงอาทิตย์และดวงดาว
“ตอนแรกลูกสาวจะให้ชื่อดวงจันทร์ แต่ไปศึกษาแล้วตัว จ.เป็นกาลกิณีกับวันเกิดเขาเลยเปลี่ยนเป็นดวงดาว นี่จึงกลายเป็นที่มาของครอบครัวสามดวง อีกดวงหนึ่งมาจากชื่อดวงมณีของแม่”
ชีวิตเพื่อลูกหัวใจเพื่อเธอ
ถึงการมีลูกจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงของชายหญิงคู่หนึ่ง แต่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เต็มใจ สำหรับมังกร เขาพูดเต็มปากว่า จากนี้ไปชีวิตของเขา 100% คือ ลูก เช่นเดียวกับเปิล ที่ทุกวันนี้ลูกคือพลังใจที่ทำให้เธอคลายความเหนื่อยล้าทั้งหมด
“สำหรับผมการมีลูกเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มาก ทุกวันนี้เวลาที่ผมอุ้มลูกยังมีบางครั้งที่ไม่เชื่อตัวเองเลยว่า เราเป็นพ่อคน มีลูกชายและลูกสาวแล้วเหรอ ความจริงผมเป็นคนที่ชอบเด็กแฝดมาก ใครจะคิดว่าวันนี้ผมจะมีลูกแฝด สำหรับผมถ้าจะมีลูกอีกยินดีนะ จะชายหรือหญิงผมไม่เกี่ยง พอได้มาเลี้ยงลูก ผมรู้เลยว่า พระเป็นเจ้าให้ทักษะการเป็นดีเจกับผม แต่สิ่งที่พระเจ้าไม่ได้ให้มาคือ ทักษะการโอ๋ลูก เวลาที่ลูกร้อง บางครั้งผมอยากช่วยแบ่งเบาเปิล แต่ดูเหมือนยิ่งเข้าไปอุ้มเขายิ่งร้องดัง เพราะฉะนั้นบางครั้งตอนกลางคืน เกิดลูกตื่นมา ผมจำเป็นต้องปลุกเปิล เพราะขืนไปอุ้ม ลูกยิ่งร้องหนัก”
“ช่วงที่ท้องเปิลอ่านหนังสือเลี้ยงลูกเยอะมาก เพราะมองว่าเป็นภาระความรับผิดชอบของเราที่จะต้องดูแลเขาให้ดีที่สุด แต่พอเขาลืมตาดูโลกจริง กลายเป็นเราเรียนรู้ และแก้ปัญหารายวันมากกว่า อนาคต เราคุยกันว่าอาจจะให้ลูกไปเรียนที่หัวหิน เพราะเราไม่อยากให้เขาโตมาในสังคมเมืองที่ไม่มีเฮลตี้ ไลฟ์สไตล์รองรับเขา สังคมเมืองเต็มไปด้วยเทคโนโลยี เราอยากให้เขาโตมาในสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ เน้นศิลปะและดนตรี แต่นี่ก็ยังเป็นอนาคตไกลๆ ที่เราแค่คิดเผื่อไว้”
ส่วนอนาคต เปิลบอกว่า เธอไม่ได้หวังว่าลูกต้องเป็นคนเก่งสอบได้ที่ 1 ของฉัน ได้เกรด 4 ทุกวิชา ขอแค่เรียนพอใช้ได้ รู้ผิดรู้ถูก รู้ทันโลก เข้าใจโลก อยู่กับความเป็นจริง เพราะบางครั้งคนที่เรียนได้เกรด 4 ทุกตัวก็ไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิตเสมอไป ขณะที่ฟากคุณพ่อเสริมว่า เขาตั้งใจจะเป็นคุณพ่อที่ดี เป็นแบบอย่างที่ดีของลูก เมื่อลูกโตขึ้นเขาจะหากิจกรรมเพื่อทำร่วมกัน
“ผมไม่ได้อยากให้เขาโตมาเป็นแบบผม เขาไม่จำเป็นต้องชอบหรือรักในสิ่งที่ผมทำ แต่ผมแค่อยากหากิจกรรมอะไรที่เราได้ทำร่วมกัน ได้เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของพ่อลูกไว้ด้วยกัน สำหรับผมด้วยความที่โตมาในวัฒนธรรมการเลี้ยงแบบไทยและแบบฝรั่ง ผมไม่มองว่าอย่างใดอย่างหนึ่งดีที่สุด แต่ผมอยากให้ลูกมีความเคารพผู้ใหญ่ นอบน้อมแบบไทย แต่มีวิธีคิดแบบฝรั่ง กล้าคิดกล้าทำในสิ่งที่ตัวเองมีแพสชั่น”
“สำหรับเปิลมาถึงวันนี้ แค่เรากลับมาบ้านได้เห็นลูกนอนหลับก็มีความสุขแล้ว ลูกทำให้เรามีพลังที่อยากจะก้าวเดินไปข้างหน้า ความท้อทุกอย่างหายไปเมื่อได้เห็นหน้าลูก จากนี้ไปนอกเหนือจากเป้าหมายที่จะปั้นแบรนด์ชุดคลุมท้องให้ประสบความสำเร็จ เปิลก็ตั้งใจจะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตราบที่ยังมีแรง เปิลจะดูแลเขาให้ดีที่สุด” คุณแม่คนเก่งกล่าวทิ้งท้าย :: Text by FLASH
นายแบบ & นางแบบ :: มังกร ทิมกุล, ดวงมณี ยันตวัฒนา, ดวงดาว และดวงอาทิตย์ ทิมกุล
แต่งหน้า :: เอมอุษา แก้วธานี, วิศินี ทองเชื่อม, ชนกนันท์ เชี่ยวไชยชาญ จากสถาบัน International Makeup Fashion Academy (IMFA)
ทำผม :: สุพัตรา ซัทคลิฟฟ์ จากสถาบัน International Makeup Fashion Academy (IMFA)
สถานที่ :: ห้อง Extreme Wow Suite ของโรงแรมดับเบิ้ลยู กรุงเทพฯ (W Bangkok Hotel) โทรศัพท์ 0-2344-4314 เว็บไซต์ www.whotels.com/bangkok