จากกรณี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีคำสั่งลงโทษ ปลดออก นายคุณวุฒิ ตันตระกูล รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานกรรมการบริหารจัดการดินในการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ฐานที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ต่อราชการ กรณีการขนย้ายมูลดินออกจากพื้นที่ก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ล่าช้า ทำให้กระทบต่อแผนงานก่อสร้าง และลงโทษไล่ออก นายสมชาติ ธรรมศิริ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการสภาฯ ในฐานะประธานกรรมการสโมสรรัฐสภา และผู้จัดการสโมสรรัฐสภา และรองประธานกรรมการจัดสร้างวัตถุมงคล (หลวงปู่ทวด) ที่กระทำผิดวินัยร้ายแรง กรณีใช้ตำแหน่งประธานกรรมการสโมสรรัฐสภา ลงนามอนุมัติให้สำนักงานเลขาธิการสภาฯ ยืมเงินของสโมสรรัฐสภา จำนวน 3.4 ล้านบาท เพื่อใช้ในการจัดสร้างวัตถุมงคลโดยไม่มีอำนาจ และไม่มีกฎหมายรองรับ โดยทั้งคู่จะยื่นอุทธรณ์ขอความเป็นธรรม จากคณะกรรมการข้าราชการรัฐสภา (ก.ร.) ภายใน 30 วันนั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการเผยแพร่เอกสารไม่ระบุที่มา พร้อมตีตราประทับว่า ลับ ภายในหมู่ข้าราชการสภาฯ และทางสังคมออนไลน์ ซึ่งมีเนื้อหาระบุถึง กรณีของนายสมชาติ ตั้งแต่ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการสโมสรรัฐสภา และผู้จัดการสโมสรรัฐสภา ทั้งที่โดยปกติแล้วจะเป็นส.ส.ทำหน้าที่ ในตำแหน่งนี้ แต่เมื่อมีการรัฐประหาร ส่งผลให้ข้อบังคับสโมสรรัฐสภาได้ถูกยกเลิก และเป็นช่วงสุญญากาศ ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายสมชาติ จึงได้เสนอให้นายจเร พันธ์เปรื่อง เลขาธิการสภาฯ ในขณะนั้น ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสโมสรรัฐสภาขึ้น โดยที่นายสมชาติ เป็นผู้ร่างคำสั่งด้วยตนเอง และเสนอตัวเองเป็นประธานกรรมการสโมสรรัฐสภา และผู้จัดการสโมสรรัฐสภา มาเป็นเวลา 2 ปีกว่า แม้ว่าจะมีการแต่งตั้ง สนช. เมื่อเดือนก.ค.57 แล้ว นายสมชาติ ก็ไม่เสนอให้ประธานสนช.พิจารณาการแต่งกรรมการสโมสรรัฐสภาชุดใหม่ ให้เป็นไปตามข้อบังคับเดิมแต่อย่างใด
ในเอกสาร ยังได้ระบุถึงโครงการจัดสร้างวัตถุมงคล (หลวงปู่ทวด) ที่มีการยืมเงินสโมสรรัฐสภา จำนวน 3.4 ล้านบาทเศษ มาเป็นทุนจัดสร้างด้วยว่า โครงการดังกล่าวได้ระบุวัตถุประสงค์หลักว่า เพื่อสมทบทุนในการบูรณะปฏิสังขรณ์เสนาสนะสงฆ์ วัดห้วยเงาะ จ.ปัตตานี และส่วนที่เหลือ จะนำไปสมทบทุนกองทุนสวัสดิการข้าราชการสภาฯ รวมไปถึงสาธารณกุศลอื่นๆ แต่ยังไม่มีการแสดงหลักฐานว่า เงินที่ยืมไปจากสโมสรรัฐสภานั้น ได้นำไปจัดสร้างวัตถุมงคลทั้งหมดหรือไม่ รวมทั้งเงินที่ได้จากการจำหน่ายวัตถุมงคล กว่า 1 ล้านบาทนั้น มีการนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์หลัก จริงหรือไม่ เพราะข้อเท็จจริงมีการนำเงินส่วนนี้ไปซื้อทองคำ ให้แก่ข้าราชการเกษียณ และ จัดสัมมนา ก.ร.ที่พัทยา แต่ไม่ได้นำคืนสโมสรรัฐสภา
"จนกระทั่งล่วงเลยระยะเวลาปีกว่าแล้ว พอถูกร้องเรียน จึงรีบนำมาคืน และได้สอบถามวัดห้วยเงาะ พบว่า ยังไม่เคยนำเงินมาให้ทางวัด และเห็นว่ายังมีค่าใช้จ่ายไม่ปรากฏรายละเอียดอีกว่า 6 แสนบาท ที่ยังไม่สามารถชี้แจงได้ ปัจจุบันมีเงินคืนสโมสร 5 แสนกว่าบาท ยังคงค้างกว่า 2.9 ล้านบาท แล้วใครจะเป็นผู้รับผิดชอบกับเงินจำนวนนี้" เอกสาร ระบุ
ในเอกสารยังได้กล่าวย้อนไปถึงสมัยที่ นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ทำหน้าที่นายกสโมสรรัฐสภา ด้วยว่า สโมสรรัฐสภา มีเงินราว 20 ล้านบาท จากขายสลากกินแบ่งรัฐบาล และการใช้เงินต้องเป็นเรื่องของส.ส.ที่มีอำนาจ แต่ในยุคของนายสมชาติ ได้เปลื่อยนแปลงรายชื่อผู้มีอำนาจในการลงนามสั่งจ่ายเงินเป็น นายสมชาติเอง กับกรรมการอีก 2 คน ส่วนกรณีที่ นายสมชาติ ระบุว่า สโมสรฯ เป็นกิจการในกำกับของสภาผู้แทนราษฎร มีกลุ่มงานกิจการทั่วไป สำนักเลขาธิการสภาฯ รับผิดชอบ แต่ที่ผ่านมา นายสมชาติไม่ได้มอบหมายให้กลุ่มงานกิจการทั่วไปมีส่วนร่วมในการบริหาร โดยเฉพาะการทำบันทึกข้อตกลงยืมเงินสร้างวัตถุมงคล กลุ่มงานกิจการทั่วไป ก็ไม่มีส่วนรู้เห็น
ส่วนที่อ้างว่า เป็นการปฏิบัติตามแบบที่เคยทำมาก่อน ก็ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เนื่องจากสมัยที่ นายสุวิจักขณ์ นาควัชระ เป็นเลขาธิการสภาฯได้ให้ยืมเงินแก่ข้าราชการที่เดือดร้อน จากการปรับตำแหน่ง ก็ได้มีการจัดทำบันทึกภายในโดยผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมกรรมการสโมสรอย่างถูกต้อง
" ยืมแล้วให้เอาไปสร้างพระ สวมหมวกกี่ใบ เป็นทั้งคนอนุมัติให้ยืม ยืมเงินได้มาแล้วตนเองในฐานะกรรมการสร้างพระ ก็นำไปใช้ แล้วเวลาทวงหนี้ จะทำอย่างไร ตัวละครที่ยืม ให้ยืม สร้างพระ ก็คนเดิมๆ แล้วไม่เรียกสมคบคิดกันหรือ" เอกสารดังกล่าว ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการเผยแพร่เอกสารไม่ระบุที่มา พร้อมตีตราประทับว่า ลับ ภายในหมู่ข้าราชการสภาฯ และทางสังคมออนไลน์ ซึ่งมีเนื้อหาระบุถึง กรณีของนายสมชาติ ตั้งแต่ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการสโมสรรัฐสภา และผู้จัดการสโมสรรัฐสภา ทั้งที่โดยปกติแล้วจะเป็นส.ส.ทำหน้าที่ ในตำแหน่งนี้ แต่เมื่อมีการรัฐประหาร ส่งผลให้ข้อบังคับสโมสรรัฐสภาได้ถูกยกเลิก และเป็นช่วงสุญญากาศ ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายสมชาติ จึงได้เสนอให้นายจเร พันธ์เปรื่อง เลขาธิการสภาฯ ในขณะนั้น ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสโมสรรัฐสภาขึ้น โดยที่นายสมชาติ เป็นผู้ร่างคำสั่งด้วยตนเอง และเสนอตัวเองเป็นประธานกรรมการสโมสรรัฐสภา และผู้จัดการสโมสรรัฐสภา มาเป็นเวลา 2 ปีกว่า แม้ว่าจะมีการแต่งตั้ง สนช. เมื่อเดือนก.ค.57 แล้ว นายสมชาติ ก็ไม่เสนอให้ประธานสนช.พิจารณาการแต่งกรรมการสโมสรรัฐสภาชุดใหม่ ให้เป็นไปตามข้อบังคับเดิมแต่อย่างใด
ในเอกสาร ยังได้ระบุถึงโครงการจัดสร้างวัตถุมงคล (หลวงปู่ทวด) ที่มีการยืมเงินสโมสรรัฐสภา จำนวน 3.4 ล้านบาทเศษ มาเป็นทุนจัดสร้างด้วยว่า โครงการดังกล่าวได้ระบุวัตถุประสงค์หลักว่า เพื่อสมทบทุนในการบูรณะปฏิสังขรณ์เสนาสนะสงฆ์ วัดห้วยเงาะ จ.ปัตตานี และส่วนที่เหลือ จะนำไปสมทบทุนกองทุนสวัสดิการข้าราชการสภาฯ รวมไปถึงสาธารณกุศลอื่นๆ แต่ยังไม่มีการแสดงหลักฐานว่า เงินที่ยืมไปจากสโมสรรัฐสภานั้น ได้นำไปจัดสร้างวัตถุมงคลทั้งหมดหรือไม่ รวมทั้งเงินที่ได้จากการจำหน่ายวัตถุมงคล กว่า 1 ล้านบาทนั้น มีการนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์หลัก จริงหรือไม่ เพราะข้อเท็จจริงมีการนำเงินส่วนนี้ไปซื้อทองคำ ให้แก่ข้าราชการเกษียณ และ จัดสัมมนา ก.ร.ที่พัทยา แต่ไม่ได้นำคืนสโมสรรัฐสภา
"จนกระทั่งล่วงเลยระยะเวลาปีกว่าแล้ว พอถูกร้องเรียน จึงรีบนำมาคืน และได้สอบถามวัดห้วยเงาะ พบว่า ยังไม่เคยนำเงินมาให้ทางวัด และเห็นว่ายังมีค่าใช้จ่ายไม่ปรากฏรายละเอียดอีกว่า 6 แสนบาท ที่ยังไม่สามารถชี้แจงได้ ปัจจุบันมีเงินคืนสโมสร 5 แสนกว่าบาท ยังคงค้างกว่า 2.9 ล้านบาท แล้วใครจะเป็นผู้รับผิดชอบกับเงินจำนวนนี้" เอกสาร ระบุ
ในเอกสารยังได้กล่าวย้อนไปถึงสมัยที่ นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ทำหน้าที่นายกสโมสรรัฐสภา ด้วยว่า สโมสรรัฐสภา มีเงินราว 20 ล้านบาท จากขายสลากกินแบ่งรัฐบาล และการใช้เงินต้องเป็นเรื่องของส.ส.ที่มีอำนาจ แต่ในยุคของนายสมชาติ ได้เปลื่อยนแปลงรายชื่อผู้มีอำนาจในการลงนามสั่งจ่ายเงินเป็น นายสมชาติเอง กับกรรมการอีก 2 คน ส่วนกรณีที่ นายสมชาติ ระบุว่า สโมสรฯ เป็นกิจการในกำกับของสภาผู้แทนราษฎร มีกลุ่มงานกิจการทั่วไป สำนักเลขาธิการสภาฯ รับผิดชอบ แต่ที่ผ่านมา นายสมชาติไม่ได้มอบหมายให้กลุ่มงานกิจการทั่วไปมีส่วนร่วมในการบริหาร โดยเฉพาะการทำบันทึกข้อตกลงยืมเงินสร้างวัตถุมงคล กลุ่มงานกิจการทั่วไป ก็ไม่มีส่วนรู้เห็น
ส่วนที่อ้างว่า เป็นการปฏิบัติตามแบบที่เคยทำมาก่อน ก็ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เนื่องจากสมัยที่ นายสุวิจักขณ์ นาควัชระ เป็นเลขาธิการสภาฯได้ให้ยืมเงินแก่ข้าราชการที่เดือดร้อน จากการปรับตำแหน่ง ก็ได้มีการจัดทำบันทึกภายในโดยผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมกรรมการสโมสรอย่างถูกต้อง
" ยืมแล้วให้เอาไปสร้างพระ สวมหมวกกี่ใบ เป็นทั้งคนอนุมัติให้ยืม ยืมเงินได้มาแล้วตนเองในฐานะกรรมการสร้างพระ ก็นำไปใช้ แล้วเวลาทวงหนี้ จะทำอย่างไร ตัวละครที่ยืม ให้ยืม สร้างพระ ก็คนเดิมๆ แล้วไม่เรียกสมคบคิดกันหรือ" เอกสารดังกล่าว ระบุ