"สุวพันธุ์"เผยผลตีความกฤษฎีกา กรณีเสนอชื่อ "สังฆราช" ของ มส. ไม่ขัด พ.ร.บ.สงฆ์ "บิ๊กตู่" พูดชัด คดียังไม่จบ ไม่ทูลเกล้าฯ สถาปนาตั้งสังฆราชองค์ใหม่ ห่วงทะเลาะเบาะแว้งบานปลาย ส่วนคดี "ธัมมชโย" คาดรู้ผลสัปดาห์นี้ หลังรัฐเตรียมเข้าหารือเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ดีเอสไอ เร่งสอบคดีรับของโจร ฟอกเงินเพิ่ม พร้อมแย้มกำลังพิจารณาขอหมายค้นรอบ 2 ผู้ว่าฯ โคราชพบที่ดิน "เวิลด์พีซ วัลเล่ย์" งอกอีกกว่า 500 ไร่ สั่งสอบด่วน
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงผลการตีความมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ของคณะกรรมการกฤษฎีกา หลังผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นตีความว่าการเสนอนามสมเด็จพระสังฆราช ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ตามมติของมหาเถรสมาคม (มส.) ชอบหรือไม่ ว่า ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะเสนอนามสมเด็จพระสังฆราช ต้องได้รับความเห็นชอบจาก มส. ก่อน และต้องเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะที่อาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ซึ่งตามกฎหมายไม่ได้กำหนดว่า การเสนอรายชื่อนั้น จำเป็นต้องริเริ่มจากนายกฯ ดังนั้น การส่งความเห็น มส. มา จึงไม่ขัดกับ มาตรา 7 หนังสือฉบับนั้น จึงยังมีผลอยู่ และกฤษฎีกายังได้ตีความอีกว่า นายกฯ ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามความเห็นของผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่สามารถนำมาประกอบการใช้ดุลยพินิจได้ และแนวทางปฏิบัติก่อนหน้านี้ ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 28 ก.พ.2482 ระบุด้วยว่า เมื่อรัฐบาลขอความเห็นจากสำนักงานกฤษฎีกาในเรื่องข้อกฎหมายไป ให้ปฏิบัติตามนั้น ซึ่งตนจะยึดแนวทางตามนี้ โดยจะกราบเรียนให้นายกฯ รับทราบเฉพาะเรื่องความเห็นของกฤษฎีกา และแนวทางปฏิบัติตามมติครม. เพื่อให้นายกฯ พิจารณาต่อไป
"วันนี้เราดูเรื่อง มาตรา 7 ก่อน ขั้นตอนนี้ จบแล้ว ชัดเจนว่า สิ่งที่ทำมา ไม่ได้ขัดแย้งกับ มาตรา 7 ส่วนการดำเนินการต่อไป เรายังไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม หนังสือแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ยังอยู่กับผม ยังมีผลในทางราชการเหมือนเดิม นายกฯ มีหน้าที่เสนอนามสมเด็จพระสังฆราช และรับสนองพระบรมราชโองการ ดังนั้น ก่อนที่ผมจะเสนอเรื่องไป ต้องดูทุกอย่างให้รอบด้าน ครบถ้วน แต่ตอนนี้ยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับขั้นตอนการเสนอนามสมเด็จพระสังฆราช จึงต้องขอเวลาดูเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องก่อนทำความเห็นถึงนายกฯ ต่อไป ไม่สามารถระบุเวลาได้ เพราะมีหลายปัจจัย ต้องให้สังคมเข้าใจตรงกันก่อน ผมขอแบกเรื่องนี้ รับภาระ เป็นของตัวเองก่อน และไม่รู้สึกกดดันอะไร เพราะเชื่อว่า ทุกฝ่ายเข้าใจ" นายสุวพันธุ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตามมาตรา 7 นายกฯ สามารถมีความเห็นแย้งกับ มส. ได้หรือไม่ นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า นายกฯ มีหน้าที่กราบบังคมทูล ซึ่งเมื่อไร อย่างไรนั้น เป็นเรื่องของนายกฯ ส่วนเรื่องของพระนาม กฎหมายกำหนดว่า ต้องมีสมณศักดิ์สูงสุด และ มส. ต้องเห็นชอบพระนามนั้น
นายสุวพันธุ์ กล่าวอีกว่า จะหารือกับเจ้าคณะใหญ่หนกลาง เพื่อหาทางออก เรื่องพระธัมมชโย โดยแจ้งกับทางเจ้าคณะใหญ่หนกลางไปแล้วว่า สัปดาห์นี้ จะขอเข้าพบ เพื่อขอทราบความคืบหน้า เนื่องจากเราได้ทำงานร่วมกันมาตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย. ซึ่งใช้เวลาพอสมควรแล้ว และระหว่างที่เราทำงาน ก็มีทั้งความคืบหน้าต่างๆ รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวกับเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ซึ่งท่านยังไม่ได้แจ้งให้ตนทราบ เพราะฉะนั้นในสัปดาห์นี้ ถึงเวลาที่ตนจะต้องทราบความคืบหน้า โดยได้นัดหมายไปเรียบร้อย ก็แล้วแต่ท่านสะดวกว่าจะให้ตนไปพบเมื่อไร
เมื่อถามว่า หากเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ถือว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของกฎหมาย ไม่ใช่กิจของสงฆ์ รัฐบาลจะดำเนินการอย่างไรต่อ นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า ต้องรอให้ทางเจ้าคณะใหญ่หนกลางแจ้งความคืบหน้ากับตนก่อน เพื่อจะได้ทราบว่า เราจะเดินหน้าอย่างไรต่อไป เพื่อให้ได้ทางออกที่เหมาะสมกับทุกฝ่าย โดยจะทำทุกอย่างให้เร็วที่สุด เพราะหากปล่อยเวลานานไป อาจจะเกิดปัญหาเรื่องข้อกฎหมายเพิ่มขึ้น ซึ่งเจ้าคณะใหญ่หนกลาง มีความเข้าใจดีในเรื่องนี้ และตนก็เห็นถึงความเมตตาที่ท่านได้ช่วยเราจัดการ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการกฤษฎีกา ตีความ มาตรา 7 พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535 ในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ โดยให้เริ่มต้นจาก มส. ว่า ไม่ได้ว่าอะไร อำนาจใคร ก็อำนาจใคร ตนมีหน้าที่อะไร มีหน้าที่นำขึ้นทูลเกล้าฯ แล้วตนทูลเกล้าฯ ในสิ่งที่มีปัญหาได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ ก็จบ
เมื่อถามว่า ต้องรอคดีจบก่อนใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่ต้องแสดง คิดไม่ออกเหรอว่าต้องรอกระบวนการเรียบร้อยก่อน
"แล้วไม่กลัวว่าจะเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันหรืออย่างไร วันนี้มีกี่พวก อย่ามองบ้านเมืองในแง่ดีแง่เดียว มันมีพร้อมทุกเรื่อง"นายกรัฐมนตรีกล่าว
ทางด้านพ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในความผิดสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงินและรับของโจร จากกรณีรับเช็คเงินสด นายศุภชัย ศรีศุภอักษร ผู้ต้องหายักยอกทรัพย์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ว่า ดีเอสไออยู่ระหว่างการสอบสวนเพิ่มเติมในบางประเด็นตามที่อัยการมีคำสั่ง แต่ไม่ขอลงรายละเอียด ซึ่งจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 13 ก.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันที่อัยการนัดสั่งคดี
นายขจรศักดิ์ พุทธานุภาพ อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 3 กล่าวว่า การขอหมายค้นครั้งต่อไป จะต้องมีการประชุมคณะพนักงานสอบสวนร่วมกันก่อนพิจารณายื่นคำร้องต่อศาล ซึ่งคาดว่าต้องใช้เวลา 2 วัน เพื่อเคลียร์สถานที่ โดยเฉพาะเรื่องของลูกศิษย์ของวัดพระธรรมกายที่จะเข้าไปปฏิบัติธรรม เพื่อให้การดำเนินการตามหมายค้นสามารถกระทำได้ แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการเรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวน
สำหรับความคืบหน้าการตรวจสอบศูนย์ปฏิบัติธรรมเวิลด์พีซ วัลเล่ย์ สาขาวัดพระธรรมกาย ของมูลนิธิตะวันธรรม ตั้งอยู่ในท้องที่บ้านหนองจอก ม.6 ต.โป่งตาลอง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ล่าสุด นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ได้กล่าวในเรื่องนี้ว่า สำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา ได้มีการตรวจสอบที่ดินของ เวิลด์พีซฯ ไปแล้วจำนวน 480 ไร่ และมีความชัดเจนแล้วว่าที่ดินดังกล่าว แบ่งเป็นมีเอกสารสิทธิโฉนดที่ดิน และ น.ส.3 ก.จำนวนกว่า 200 ไร่ ส่วนที่เหลืออีก 186 ไร่ ไม่มีเอกสารสิทธิ และได้รับการยืนยันจากนิคมสร้างตนเองลำตะคองแล้วว่าเป็นที่ดินของนิคมสร้างตนลำตะคอง และไม่ได้มีการออกเอกสารสิทธิหรือออกหนังสือใดๆ ในพื้นที่ดังกล่าว ฉะนั้นถือว่าเป็นการครอบครองโดยผิดกฎหมาย
ทั้งนี้ สำนักงานปฏิรูปที่ดินจังหวัดนครราชสีมา (ส.ป.ก.) ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบพื้นที่รอบแนวรั้วของศูนย์ปฏิบัติธรรมเวิลด์พีซ วัลเล่ย์ ซ้ำอีก พบว่า ที่ดินที่อยู่ในแนวรั้ว ไม่ใช่เนื้อที่แค่ 480 ไร่ แต่ความจริงแล้วมีอยู่มากกว่า 900 ไร่ หรืองอกเพิ่มมาอีก 500 ไร่ ซึ่งตนได้สั่งการให้ ส.ป.ก. และที่ดินจังหวัดนครราชสีมา รวมถึงนิคมสร้างตนเองลำตะคอง ไปตรวจสอบที่ดินอีกกว่า 500 กว่าไร่ดังกล่าวว่ามีเอกสารสิทธิหรือไม่ คาดว่าวันนี้ (12 ก.ค.) จะมีความชัดเจนว่าที่ดินจำนวนดังกล่าวมีเอกสารสิทธิหรือไม่ อย่างไร
พล.ต.ต.ฐากูร นัทธีศรี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด(ผบก.ภ.จว.) นครราชสีมา กล่าวถึงการดำเนินคดีกับศูนย์ปฏิบัติธรรมเวิลด์พีซ วัลเล่ย์ ว่า ได้ตั้งประเด็นการสอบสวนไว้ 5 คดี คือ 1.การก่อสร้างอาคารในพื้นที่ที่ไม่ได้รับอนุญาต 2.การก่อสร้างอาคารทับลำรางและทางสาธารณะ 3.การเจาะบ่อบาดาลโดยไม่ได้รับอนุญาต 4.แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ทั้งกรณีการขออนุญาตก่อสร้างอาคารและขอนุญาตใช้ไฟฟ้า และ5.คดีเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและการบุกรุกที่ดินของรัฐ ซึ่งกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปทส.) รับไปดำเนินคดีเองทั้งหมด โดยขณะนี้กำลังรอผลตรวจสอบอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากชัดเจน ก็จะแจ้งความร้องทุกข์และแจ้งข้อหาดำเนินคดีต่อไป ส่วนการก่อสร้างอาคาร ได้มีการอายัดอาคารและสั่งระงับการก่อสร้างทั้งหมดแล้ว