สภาองค์การนายจ้างชี้ธุรกิจครึ่งหลังรัดเข็มขัดหลังสัญญาณไม่ดีจาก ศก.จีนชะลอ-BREXITขณะที่ในประเทศแรงซื้อไม่กระเตื้องจากหนี้ครัวเรือนสูง ก.แรงงานสั่งเกาะติดเหตุ Q1เลิกจ้างเพิ่ม 30.85%
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) เปิดเผยว่า ครึ่งปีหลังธุรกิจยังคงต้องรัดเข็มขัดเพื่อลดต้นทุนต่อเนื่องมากขึ้นซึ่งจะสะท้อนให้การจ้างงานยังคงทรงตัวเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของไทยยังคงมีปัจจัยเสี่ยงหลายด้านโดยเฉพาะทั้งจากภาวะการส่งออกที่ยังมีแนวโน้มจะติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะจากจีนและผลกระทบต่อเนื่องกับสหภาพยุโรป (อียู) หลังอังกฤษทำประชามติผลโหวตประชาชนสนับสนุนให้ออกจากการเป็นสมาชิกอียู
"หลังจากอังกฤษผลโหวตออกมาแต่ทางปฏิบัติยังไม่มีผลทางกฏหมายแต่ภาพรวมความเชื่อมั่นก็อาจจะกระทบในระยะสั้น ก็ต้องดูกันต่อไปแล้วสมาชิกอียูที่เหลือจะยังคงมีความแน่นหนาที่จะอยู่รวมกันต่ออีกหรือไม่ ขณะเดียวกันจีน สหรัฐอเมริกา อาเซียนก็ค้าขายในอียู ทุกอย่างจะพัวพันและเศรษฐกิจโลกก็จะฟื้นตัวได้ช้าขึ้นที่สุดจะกระทบส่งออก"นายธนิตกล่าว
นอกจากนี้ภาวะเศรษฐกิจไทยพบว่า ยังมีความเปราะบางจากภาวะหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นซึ่งยังคงทำให้แนวโน้มกำลังซื้อของประชาชนยังคงไม่ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญแม้ว่านโยบายรัฐบาลจะพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากด้านต่างๆ แต่พบว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นเต็มเม็ดเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้ทำให้ภาระหนี้ของประชาชนยังคงอยู่ ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือ GDP ของไทยปีนี้แม้จะมีแนวโน้มเติบโตระดับ 3-3.5% ซึ่งหากพิจารณาอย่างละเอียดการเติบโตของ GDP มาจากเม็ดเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของรัฐแต่เม็ดเงินเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นการกระจุกตัวอยู่กับผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่เพียง 10 รายเท่านั้นจึงทำให้เงินเหล่านี้ไม่ได้กระจายไปยังเศรษฐกิจฐานราก
นายธนิตกล่าวว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นมากจะเป็นสิ่งที่ทำให้การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจต่อไปมีความยากลำบากมากขึ้นการที่รัฐบาลกำหนดผลักดันให้เกิดอุตสาหกรรม 4.0 โดยเน้นการใช้นวตกรรมขั้นสูงผลิตสินค้าลดการใช้แรงงานจำนวนมากลงนั้นแม้จะเป็นสิ่งที่ไทยจะต้องก้าวไปในทิศทางนี้แต่รัฐจะต้องมองหลายปัจจัยประกอบโดยเฉพาะปัจจุบันไทยมีแรงงานในระบบ 37.68 ล้านคนอยู่ในภาคเกษตรมากสุดถึง 50% อุตสาหกรรมและบริการกว่า 10 ล้านคนและอยู่ในอุตสาหกรรมไอที อิเล็กทรอนิกส์ฯลฯจริงๆแค่หลักแสนคน และพบว่าเกษตรยังอยู่อุตสาหกรรม 2.0 และอุตสาหกรรม3.0 จึงควรจัดกลุ่มที่จะพัฒนาได้ในการส่งเสริมจะดีกว่า
แหล่งข่าวจากกระทรวงแรงงานกล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงแรงงานได้มอบหมายให้แรงงานจังหวัดจับตาใกล้ชิดถึงภาวะการจ้างงาน และการดำเนินธุรกิจโรงงานทุกขนาดเพื่อนำมาประเมินทิศทางและแนวโน้มการจ้างงานในปี 2559 หลังจากที่ไตรมาสแรกปีนี้ มีผู้ว่างงานสะสม 3.7 แสนคน ขณะที่การเลิกจ้างงานอยู่ที่ 2.51 หมื่นคนเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 4 ปี 2558 เพิ่มขึ้น 5.62% แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2558 เพิ่มขึ้นถึง 30.85% ซึ่งถือเป็นทิศทางที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่แรงงานในระบบมีทั้งสิ้น 37 กว่าล้านคน เป็นแรงงานต่างด้าวที่อยู่ในระบบ 1.58 ล้านคน.
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) เปิดเผยว่า ครึ่งปีหลังธุรกิจยังคงต้องรัดเข็มขัดเพื่อลดต้นทุนต่อเนื่องมากขึ้นซึ่งจะสะท้อนให้การจ้างงานยังคงทรงตัวเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของไทยยังคงมีปัจจัยเสี่ยงหลายด้านโดยเฉพาะทั้งจากภาวะการส่งออกที่ยังมีแนวโน้มจะติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะจากจีนและผลกระทบต่อเนื่องกับสหภาพยุโรป (อียู) หลังอังกฤษทำประชามติผลโหวตประชาชนสนับสนุนให้ออกจากการเป็นสมาชิกอียู
"หลังจากอังกฤษผลโหวตออกมาแต่ทางปฏิบัติยังไม่มีผลทางกฏหมายแต่ภาพรวมความเชื่อมั่นก็อาจจะกระทบในระยะสั้น ก็ต้องดูกันต่อไปแล้วสมาชิกอียูที่เหลือจะยังคงมีความแน่นหนาที่จะอยู่รวมกันต่ออีกหรือไม่ ขณะเดียวกันจีน สหรัฐอเมริกา อาเซียนก็ค้าขายในอียู ทุกอย่างจะพัวพันและเศรษฐกิจโลกก็จะฟื้นตัวได้ช้าขึ้นที่สุดจะกระทบส่งออก"นายธนิตกล่าว
นอกจากนี้ภาวะเศรษฐกิจไทยพบว่า ยังมีความเปราะบางจากภาวะหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นซึ่งยังคงทำให้แนวโน้มกำลังซื้อของประชาชนยังคงไม่ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญแม้ว่านโยบายรัฐบาลจะพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากด้านต่างๆ แต่พบว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นเต็มเม็ดเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้ทำให้ภาระหนี้ของประชาชนยังคงอยู่ ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือ GDP ของไทยปีนี้แม้จะมีแนวโน้มเติบโตระดับ 3-3.5% ซึ่งหากพิจารณาอย่างละเอียดการเติบโตของ GDP มาจากเม็ดเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของรัฐแต่เม็ดเงินเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นการกระจุกตัวอยู่กับผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่เพียง 10 รายเท่านั้นจึงทำให้เงินเหล่านี้ไม่ได้กระจายไปยังเศรษฐกิจฐานราก
นายธนิตกล่าวว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นมากจะเป็นสิ่งที่ทำให้การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจต่อไปมีความยากลำบากมากขึ้นการที่รัฐบาลกำหนดผลักดันให้เกิดอุตสาหกรรม 4.0 โดยเน้นการใช้นวตกรรมขั้นสูงผลิตสินค้าลดการใช้แรงงานจำนวนมากลงนั้นแม้จะเป็นสิ่งที่ไทยจะต้องก้าวไปในทิศทางนี้แต่รัฐจะต้องมองหลายปัจจัยประกอบโดยเฉพาะปัจจุบันไทยมีแรงงานในระบบ 37.68 ล้านคนอยู่ในภาคเกษตรมากสุดถึง 50% อุตสาหกรรมและบริการกว่า 10 ล้านคนและอยู่ในอุตสาหกรรมไอที อิเล็กทรอนิกส์ฯลฯจริงๆแค่หลักแสนคน และพบว่าเกษตรยังอยู่อุตสาหกรรม 2.0 และอุตสาหกรรม3.0 จึงควรจัดกลุ่มที่จะพัฒนาได้ในการส่งเสริมจะดีกว่า
แหล่งข่าวจากกระทรวงแรงงานกล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงแรงงานได้มอบหมายให้แรงงานจังหวัดจับตาใกล้ชิดถึงภาวะการจ้างงาน และการดำเนินธุรกิจโรงงานทุกขนาดเพื่อนำมาประเมินทิศทางและแนวโน้มการจ้างงานในปี 2559 หลังจากที่ไตรมาสแรกปีนี้ มีผู้ว่างงานสะสม 3.7 แสนคน ขณะที่การเลิกจ้างงานอยู่ที่ 2.51 หมื่นคนเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 4 ปี 2558 เพิ่มขึ้น 5.62% แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2558 เพิ่มขึ้นถึง 30.85% ซึ่งถือเป็นทิศทางที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่แรงงานในระบบมีทั้งสิ้น 37 กว่าล้านคน เป็นแรงงานต่างด้าวที่อยู่ในระบบ 1.58 ล้านคน.