“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! บุคคลยังไม่ละธรรมข้อหนึ่งคือ การพูดปด เราย่อมไม่กล่าวว่า มีบาปกรรมอะไรที่บุคคลนั้นทำไม่ได้” นี่คือพุทธพจน์ ซึ่งมีที่มาปรากฏในอิติวุตตกะ พระไตรปิฎกเล่มที่ 25 หน้า 243
โดยนัยแห่งพุทธพจน์ดังกล่าวข้างต้น หมายความว่า คนที่พูดโกหกจนเป็นนิสัยไม่สามารถลดละและเลิกได้ จะไม่ทำผิดศีลข้ออื่นๆ ย่อมไม่มีหรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ คนโกหก ทำความชั่วได้ทุกประการ ไม่มีบาปกรรมอันใดที่คนโกหกทำไม่ได้
พูดอย่างไรเรียกว่า พูดโกหก และคนพูดโกหกจะมีโทษอย่างไร?
โดยนัยแห่งคำว่า มุสาวาท หรือการพูดโกหกได้มีอรรถาธิบายขยายความว่า ได้แก่การมีเจตนาที่จะให้ผู้ฟังเชื่อในสิ่งที่ตนพูด ซึ่งเป็นเรื่องไม่จริงว่าเป็นความจริง และผู้ที่เชื่อเสียประโยชน์จากการเชื่อนั้น หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ การพูดเรื่องเท็จให้ผู้อื่นเชื่อว่า เป็นเรื่องจริง และตนเองได้ประโยชน์จากความเชื่อนั้น นี่คือความหมายของคำว่า มุสาวาท ตามนัยแห่งศีล 5 ข้อที่ 4 คือ มุสาวาทา เวรมณี
ส่วนโทษของการพูดโกหกในแง่ของสังคมก็คือ ทำให้ผู้พูดเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ และในแง่ของพุทธศาสนา การโกหกคือเป็นบาปส่งผลให้ผู้พูดได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อน ทั้งในแง่ของผลกรรมและกฎหมายบ้านเมือง
ถ้าผู้พูดโกหกเป็นภิกษุ โทษที่จะได้รับมีตั้งแต่อาบัติปาจิตตีย์ ตามนัยแห่งสิกขาบทที่ 1 มุสาวาทวรรค ซึ่งมีที่มาของสิกขาบทนี้สรุปใจความได้ดังนี้
พระหัตถกะ ศากยบุตร สนทนากับพวกเดียรถีย์ปฏิเสธแล้วกลับรับ รับแล้วกลับปฏิเสธ กล้าพูดปดทั้งๆ รู้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุ ผู้พูดปดทั้งๆ รู้ และในขั้นสูงต้องอาบัติปาราชิกในข้อหาอวดอุตริมนุสธรรม ซึ่งไม่มีในตน ตามนัยแห่งจตุตถปาราชิก ซึ่งมีที่มาสรุปใจความได้ดังนี้
“พระพุทธเจ้าประทับ ณ เรือนยอดในป่ามหาวัน ใกล้กรุงเวสาลี ในสมัยนั้นภิกษุหลายรูปที่ชอบเป็นมิตรสหายกัน จำพรรษาอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา และในเวลานั้นได้เกิดทุพภิกขภัยในแคว้นวัชชี (ซึ่งมีเวสาลีเป็นราชธานี) ภิกษุทั้งหลายลำบากด้วยเรื่องอาหารบิณฑบาต จึงปรึกษาหารือกันว่าจะทำอย่างไรดี
บางรูปก็เห็นว่า การช่วยแนะนำกิจการงานของคฤหัสถ์บางรูปเห็นว่า ควรทำหน้าที่ทูต (คือนำความข้างนี้ไปบอกข้างนั้น นำความข้างนั้นมาบอกข้างนี้) บางรูปเห็นว่า ควรใช้วิธีสรรเสริญกันและกันให้คฤหัสถ์ฟังว่า ภิกษุรูปนั้นรูปนี้ได้ฌานที่ 1 ได้ฌานที่ 2 เป็นต้น จนถึงได้เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ มีวิชา 3 มีอภิญญา 6
ทั้งหมดเห็นว่าวิธีหลังนี้ดี จึงได้เที่ยวสรรเสริญกันและกันให้คฤหัสถ์ฟัง จึงได้รับการเลี้ยงดูจากคฤหัสถ์ชาวริมฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาเป็นอย่างดี ผิวพรรณผ่องใส เอิบอิ่ม เมื่อออกพรรษาแล้วจึงเก็บเสนาสนะเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ กรุงเวสาลี (ในเวลาเดียวกันกับที่ภิกษุจากที่อื่นได้มาเฝ้า) และปรากฏว่า ภิกษุจากทิศทางอื่นล้วนซูบผอม มีผิวพรรณหยาบ มีเส้นเอ็นขึ้นเห็นได้ชัด (เมื่อเทียบกับภิกษุที่มาจากฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา) ซึ่งล้วนแล้วแต่เอิบอิ่มอ้วนพี พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสถามทุกข์สุข และทรงทราบเรื่องนั้น จึงตรัสติเตียนและเรียกประชุมภิกษุทั้งหลายแล้ว ตรัสเรื่องมหาโจร 5 ประเภทเปรียบเทียบกับภิกษุคือ
1. มหาโจรพวกหนึ่ง คิดรวบรวมพวกตั้งร้อยตั้งพันเพื่อจะเข้าไปฆ่า ปล้น เอาไฟเผาในคามนิคมราชธานี ต่อมาก็รวบรวมพวกตั้งร้อยตั้งพันเข้าไปฆ่า ปล้น เอาไฟเผาในคามนิคมราชธานี เทียบด้วยภิกษุบางรูปคิดรวบรวมพวกตั้งร้อยตั้งพัน เพื่อจาริกไฟในคามนิคมราชธานีให้คฤหัสถ์ และบรรพชิตสักการะเคารพนับถือ บูชา อ่อนน้อม และได้จีวร บิณฑบาต ที่อยู่อาศัย ตลอดยารักษาโรค ต่อมาก็รวบรวมพวกตั้งร้อยตั้งพันจาริกไฟในคามนิคมราชธานี มีคฤหัสถ์บรรพชิตสักการะ เคารพนับถือ บูชา อ่อนน้อม และได้จีวร บิณฑบาต ที่อยู่อาศัย ตลอดจนยารักษาโรคนี้เป็นมหาโจรประเภทที่ 1 (ซึ่งมีความปรารถนาลาภสักการะแล้วทำอุบายต่างๆ จนได้สมประสงค์)
2. ภิกษุชั่วบางรูปเรียนพระธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ก็โกงเป็นของตนเอง (แสดงว่าตนคิดได้เองมิได้เรียนจากใคร)
3. ภิกษุชั่วบางรูปใส่ความเพื่อนพรหมจารีผู้บริสุทธิ์ ด้วยข้อหาว่าประพฤติผิดพรหมจรรย์ อันไม่มีมูลนี้เป็นมหาโจรประเภทที่ 3
4. ภิกษุชั่วบางรูป เอาของสงฆ์ที่เป็นครุภัณฑ์ ครุบริขาร (ที่ห้ามแจกจ่าย) เช่น อาราม ที่ตั้งอาราม วิหาร เตียง ตั่ง เป็นต้น ไปสงเคราะห์คฤหัสถ์ประจบคฤหัสถ์ (เพราะเห็นแก่ลาภ) นี้เป็นมหาโจรประภทที่ 4
5. ภิกษุผู้อวดคุณพิเศษที่ไม่มีจริง ไม่เป็นจริง ชื่อว่าเป็นยอดมหาโจรในโลก เพราะบริโภคก้อนข้าวของราษฎรด้วยอาการแห่งขโมย
ครั้นแล้วทรงติเตียนภิกษุชาวริมฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาด้วยประการต่างๆ พร้อมทั้งทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามภิกษุอวดคุณพิเศษที่ไม่มีในตน เมื่ออวดแล้วแม้จะออกตัวสารภาพผิดทีหลัง ก็ต้องอาบัติปาราชิก
จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ในวงการสงฆ์ไทยได้มีภิกษุหลายรูปมีพฤติกรรมเยี่ยงมหาโจร 5 ประเภท ประเภทใดประเภทหนึ่ง หรือหลายประเภทในบุคคลเดียวกันเช่น พระนิกรผู้โด่งดังในการนั่งสมาธินำเที่ยวทัวร์นรกและสวรรค์ ในที่สุดต้องอาบัติปาราชิกสิกขาบทที่ 1 เนื่องจากเสพเมถุนกับสีกาอรอุมา พระยันตระ ผู้โด่งดังจากการแสดงธรรมด้วยลีลาท่าทางในทำนองเดียวกับพระพุทธองค์ และต้องพ้นไปจากเพศของนักบวช เนื่องจากถูกโจทย์ด้วยอาบัติปาราชิก สิกขาบทที่ 1 โดยมีผู้ใกล้ชิดต้องหนีไปอยู่อเมริกา และพระภาวนาพุทโธ ผู้โด่งดังด้วยลีลาแห่งการแสดงธรรม และรับเด็กชาวเขามาเลี้ยงดู และต้องพ้นจากเพศภาวะของนักบวช เนื่องจากต้องอาบัติปาราชิก สิกขาบทที่ 1 เนื่องจากมีเพศสัมพันธ์กับเด็กซึ่งตนนำมาเลี้ยงดู และยังตกเป็นจำเลยในข้อหามีเพศสัมพันธ์กับเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี ต้องโทษจำคุกอยู่ในขณะนี้
ล่าสุดพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย น่าจะเข้าข่ายเป็นมหาโจรประเภทที่ 1 เนื่องจากมีพฤติกรรมรวบรวมพวกเป็นพันเป็นหมื่นจัดกิจกรรมเพื่อสร้างศรัทธา และแสวงหาลาภสักการะในหลายรูปแบบ เช่น การจัดกิจกรรมเดินธุดงค์ธรรมทายาท ด้วยการออกเดินในเมืองใหญ่ และมีการโปรยดอกไม้รองรับการเหยียบย่ำซึ่งไม่เป็นไปตามธุดงค์ 13 ข้อตามที่พระพุทธเจ้าอนุญาตไว้แต่ประการใด และยังเข้าข่ายเป็นมหาโจรประเภทที่ 5 จากพฤติกรรมอวดคุณพิเศษ จะเห็นได้จากการบอกเล่าถึงการไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าบนสวรรค์ เป็นต้น
แต่ท่านผู้อ่านซึ่งเป็นชาวพุทธจะเห็นด้วยตามนัยดังกล่าวข้างต้นหรือไม่ ก็เป็นสิทธิแห่งความเชื่อของแต่ละบุคคล และถ้าจะปฏิเสธหรือเห็นด้วยก็ขอให้ใช้ปัญญาพิจารณาตามนัยแห่งกาลามสูตร ก็คงจะพบความจริง
โดยนัยแห่งพุทธพจน์ดังกล่าวข้างต้น หมายความว่า คนที่พูดโกหกจนเป็นนิสัยไม่สามารถลดละและเลิกได้ จะไม่ทำผิดศีลข้ออื่นๆ ย่อมไม่มีหรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ คนโกหก ทำความชั่วได้ทุกประการ ไม่มีบาปกรรมอันใดที่คนโกหกทำไม่ได้
พูดอย่างไรเรียกว่า พูดโกหก และคนพูดโกหกจะมีโทษอย่างไร?
โดยนัยแห่งคำว่า มุสาวาท หรือการพูดโกหกได้มีอรรถาธิบายขยายความว่า ได้แก่การมีเจตนาที่จะให้ผู้ฟังเชื่อในสิ่งที่ตนพูด ซึ่งเป็นเรื่องไม่จริงว่าเป็นความจริง และผู้ที่เชื่อเสียประโยชน์จากการเชื่อนั้น หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ การพูดเรื่องเท็จให้ผู้อื่นเชื่อว่า เป็นเรื่องจริง และตนเองได้ประโยชน์จากความเชื่อนั้น นี่คือความหมายของคำว่า มุสาวาท ตามนัยแห่งศีล 5 ข้อที่ 4 คือ มุสาวาทา เวรมณี
ส่วนโทษของการพูดโกหกในแง่ของสังคมก็คือ ทำให้ผู้พูดเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ และในแง่ของพุทธศาสนา การโกหกคือเป็นบาปส่งผลให้ผู้พูดได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อน ทั้งในแง่ของผลกรรมและกฎหมายบ้านเมือง
ถ้าผู้พูดโกหกเป็นภิกษุ โทษที่จะได้รับมีตั้งแต่อาบัติปาจิตตีย์ ตามนัยแห่งสิกขาบทที่ 1 มุสาวาทวรรค ซึ่งมีที่มาของสิกขาบทนี้สรุปใจความได้ดังนี้
พระหัตถกะ ศากยบุตร สนทนากับพวกเดียรถีย์ปฏิเสธแล้วกลับรับ รับแล้วกลับปฏิเสธ กล้าพูดปดทั้งๆ รู้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุ ผู้พูดปดทั้งๆ รู้ และในขั้นสูงต้องอาบัติปาราชิกในข้อหาอวดอุตริมนุสธรรม ซึ่งไม่มีในตน ตามนัยแห่งจตุตถปาราชิก ซึ่งมีที่มาสรุปใจความได้ดังนี้
“พระพุทธเจ้าประทับ ณ เรือนยอดในป่ามหาวัน ใกล้กรุงเวสาลี ในสมัยนั้นภิกษุหลายรูปที่ชอบเป็นมิตรสหายกัน จำพรรษาอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา และในเวลานั้นได้เกิดทุพภิกขภัยในแคว้นวัชชี (ซึ่งมีเวสาลีเป็นราชธานี) ภิกษุทั้งหลายลำบากด้วยเรื่องอาหารบิณฑบาต จึงปรึกษาหารือกันว่าจะทำอย่างไรดี
บางรูปก็เห็นว่า การช่วยแนะนำกิจการงานของคฤหัสถ์บางรูปเห็นว่า ควรทำหน้าที่ทูต (คือนำความข้างนี้ไปบอกข้างนั้น นำความข้างนั้นมาบอกข้างนี้) บางรูปเห็นว่า ควรใช้วิธีสรรเสริญกันและกันให้คฤหัสถ์ฟังว่า ภิกษุรูปนั้นรูปนี้ได้ฌานที่ 1 ได้ฌานที่ 2 เป็นต้น จนถึงได้เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ มีวิชา 3 มีอภิญญา 6
ทั้งหมดเห็นว่าวิธีหลังนี้ดี จึงได้เที่ยวสรรเสริญกันและกันให้คฤหัสถ์ฟัง จึงได้รับการเลี้ยงดูจากคฤหัสถ์ชาวริมฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาเป็นอย่างดี ผิวพรรณผ่องใส เอิบอิ่ม เมื่อออกพรรษาแล้วจึงเก็บเสนาสนะเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ กรุงเวสาลี (ในเวลาเดียวกันกับที่ภิกษุจากที่อื่นได้มาเฝ้า) และปรากฏว่า ภิกษุจากทิศทางอื่นล้วนซูบผอม มีผิวพรรณหยาบ มีเส้นเอ็นขึ้นเห็นได้ชัด (เมื่อเทียบกับภิกษุที่มาจากฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา) ซึ่งล้วนแล้วแต่เอิบอิ่มอ้วนพี พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสถามทุกข์สุข และทรงทราบเรื่องนั้น จึงตรัสติเตียนและเรียกประชุมภิกษุทั้งหลายแล้ว ตรัสเรื่องมหาโจร 5 ประเภทเปรียบเทียบกับภิกษุคือ
1. มหาโจรพวกหนึ่ง คิดรวบรวมพวกตั้งร้อยตั้งพันเพื่อจะเข้าไปฆ่า ปล้น เอาไฟเผาในคามนิคมราชธานี ต่อมาก็รวบรวมพวกตั้งร้อยตั้งพันเข้าไปฆ่า ปล้น เอาไฟเผาในคามนิคมราชธานี เทียบด้วยภิกษุบางรูปคิดรวบรวมพวกตั้งร้อยตั้งพัน เพื่อจาริกไฟในคามนิคมราชธานีให้คฤหัสถ์ และบรรพชิตสักการะเคารพนับถือ บูชา อ่อนน้อม และได้จีวร บิณฑบาต ที่อยู่อาศัย ตลอดยารักษาโรค ต่อมาก็รวบรวมพวกตั้งร้อยตั้งพันจาริกไฟในคามนิคมราชธานี มีคฤหัสถ์บรรพชิตสักการะ เคารพนับถือ บูชา อ่อนน้อม และได้จีวร บิณฑบาต ที่อยู่อาศัย ตลอดจนยารักษาโรคนี้เป็นมหาโจรประเภทที่ 1 (ซึ่งมีความปรารถนาลาภสักการะแล้วทำอุบายต่างๆ จนได้สมประสงค์)
2. ภิกษุชั่วบางรูปเรียนพระธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ก็โกงเป็นของตนเอง (แสดงว่าตนคิดได้เองมิได้เรียนจากใคร)
3. ภิกษุชั่วบางรูปใส่ความเพื่อนพรหมจารีผู้บริสุทธิ์ ด้วยข้อหาว่าประพฤติผิดพรหมจรรย์ อันไม่มีมูลนี้เป็นมหาโจรประเภทที่ 3
4. ภิกษุชั่วบางรูป เอาของสงฆ์ที่เป็นครุภัณฑ์ ครุบริขาร (ที่ห้ามแจกจ่าย) เช่น อาราม ที่ตั้งอาราม วิหาร เตียง ตั่ง เป็นต้น ไปสงเคราะห์คฤหัสถ์ประจบคฤหัสถ์ (เพราะเห็นแก่ลาภ) นี้เป็นมหาโจรประภทที่ 4
5. ภิกษุผู้อวดคุณพิเศษที่ไม่มีจริง ไม่เป็นจริง ชื่อว่าเป็นยอดมหาโจรในโลก เพราะบริโภคก้อนข้าวของราษฎรด้วยอาการแห่งขโมย
ครั้นแล้วทรงติเตียนภิกษุชาวริมฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาด้วยประการต่างๆ พร้อมทั้งทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามภิกษุอวดคุณพิเศษที่ไม่มีในตน เมื่ออวดแล้วแม้จะออกตัวสารภาพผิดทีหลัง ก็ต้องอาบัติปาราชิก
จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ในวงการสงฆ์ไทยได้มีภิกษุหลายรูปมีพฤติกรรมเยี่ยงมหาโจร 5 ประเภท ประเภทใดประเภทหนึ่ง หรือหลายประเภทในบุคคลเดียวกันเช่น พระนิกรผู้โด่งดังในการนั่งสมาธินำเที่ยวทัวร์นรกและสวรรค์ ในที่สุดต้องอาบัติปาราชิกสิกขาบทที่ 1 เนื่องจากเสพเมถุนกับสีกาอรอุมา พระยันตระ ผู้โด่งดังจากการแสดงธรรมด้วยลีลาท่าทางในทำนองเดียวกับพระพุทธองค์ และต้องพ้นไปจากเพศของนักบวช เนื่องจากถูกโจทย์ด้วยอาบัติปาราชิก สิกขาบทที่ 1 โดยมีผู้ใกล้ชิดต้องหนีไปอยู่อเมริกา และพระภาวนาพุทโธ ผู้โด่งดังด้วยลีลาแห่งการแสดงธรรม และรับเด็กชาวเขามาเลี้ยงดู และต้องพ้นจากเพศภาวะของนักบวช เนื่องจากต้องอาบัติปาราชิก สิกขาบทที่ 1 เนื่องจากมีเพศสัมพันธ์กับเด็กซึ่งตนนำมาเลี้ยงดู และยังตกเป็นจำเลยในข้อหามีเพศสัมพันธ์กับเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี ต้องโทษจำคุกอยู่ในขณะนี้
ล่าสุดพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย น่าจะเข้าข่ายเป็นมหาโจรประเภทที่ 1 เนื่องจากมีพฤติกรรมรวบรวมพวกเป็นพันเป็นหมื่นจัดกิจกรรมเพื่อสร้างศรัทธา และแสวงหาลาภสักการะในหลายรูปแบบ เช่น การจัดกิจกรรมเดินธุดงค์ธรรมทายาท ด้วยการออกเดินในเมืองใหญ่ และมีการโปรยดอกไม้รองรับการเหยียบย่ำซึ่งไม่เป็นไปตามธุดงค์ 13 ข้อตามที่พระพุทธเจ้าอนุญาตไว้แต่ประการใด และยังเข้าข่ายเป็นมหาโจรประเภทที่ 5 จากพฤติกรรมอวดคุณพิเศษ จะเห็นได้จากการบอกเล่าถึงการไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าบนสวรรค์ เป็นต้น
แต่ท่านผู้อ่านซึ่งเป็นชาวพุทธจะเห็นด้วยตามนัยดังกล่าวข้างต้นหรือไม่ ก็เป็นสิทธิแห่งความเชื่อของแต่ละบุคคล และถ้าจะปฏิเสธหรือเห็นด้วยก็ขอให้ใช้ปัญญาพิจารณาตามนัยแห่งกาลามสูตร ก็คงจะพบความจริง