นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีฯ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต และ ผอ.สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) กล่าวว่า ภาพความชุลมุนวุ่นวายทางการเมืองที่ยังปรากฎให้เห็นอยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มโจมตีสถาบันฯ กลุ่มต้านรัฐประหาร กลุ่มต้านรัฐธรรมนูญ และกลุ่มอำนาจเก่าที่เสียประโยชน์ ตอกย้ำให้เห็นถึงการเมืองของความแตกแยกที่ยังดำรงอยู่ แม้จะเป็นแค่กลุ่มเล็กๆ แต่ก็เป็นยอดภูเขาน้ำแข็ง ที่เบื้องหลังพร้อมกลับมาเผชิญหน้ากันได้อีก
ความขัดแย้งที่อำพรางตัวในช่วง คสช. คุมอำนาจมากว่า 2 ปี จะกลายเป็นเงื่อนปมสำคัญ ที่กระทบต่อกระบวนการปฏิรูปประเทศ ไม่ว่า คสช. จะตั้งใจปฏิรูปมากน้อยแค่ไหนก็ตาม ประชามติ ร่างรัฐธรรมนูญ หรือแม้แต่การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง จะไม่ได้ทำให้การเมืองไทย ออกจากความแตกแยกได้อย่างแท้จริง
ถ้าย้อนไปช่วงที่ คสช. เข้ายึดอำนาจ และควบคุมสถานการณ์จะเห็นชัดว่า คสช.พยายามวางตัวเป็นอำนาจที่สาม ที่ไม่ฝักไฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนสังคมทั่วไปก็รับได้ แต่มาถึงวันนี้ คสช. ยังไม่สามารถสร้างทางเลือกที่สาม ที่เป็นทางออกของสังคมการเมืองได้อย่างเป็นรูปธรรม
การปฏิรูปประเทศ และการลดการเผชิญหน้า ยังทำไม่ได้ในระดับใจกลาง และต้นเหตุแห่งปัญหา ยังเป็นลักษณะปะผุเท่านั้น โครงสร้างอำนาจที่เป็นมูลเหตุปัญหายังไม่ได้รับการปรับเปลี่ยน ฉะนั้น การเมืองที่ยังไม่ได้ปฏิรูปอย่างจริงจัง และความแตกแยกที่ดำรงอยู่แบบนี้จะฉุดการเมืองไว้ที่เดิม แม้บางคนอาจจะสบายใจบางระดับกับการเข้ามาคุมอำนาจของ คสช. แต่เนื้อในของการเมืองก็ต้องยอมรับความจริงกันว่ายังพร้อมวนกลับมาที่เดิมตลอดเวลา
กว่า 2 ปี ของ คสช. ถ้ายังปฏิรูปในเรื่องใหญ่ๆไม่ได้ สภาวะแบบนี้จะทำให้ในอนาคตสังคมการเมืองไทยกลายเป็นทวิรัฐ คือ เป็นรัฐที่ปรับตัวให้อยู่ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หรือมาจากการรัฐประหารก็ได้
ความขัดแย้งที่อำพรางตัวในช่วง คสช. คุมอำนาจมากว่า 2 ปี จะกลายเป็นเงื่อนปมสำคัญ ที่กระทบต่อกระบวนการปฏิรูปประเทศ ไม่ว่า คสช. จะตั้งใจปฏิรูปมากน้อยแค่ไหนก็ตาม ประชามติ ร่างรัฐธรรมนูญ หรือแม้แต่การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง จะไม่ได้ทำให้การเมืองไทย ออกจากความแตกแยกได้อย่างแท้จริง
ถ้าย้อนไปช่วงที่ คสช. เข้ายึดอำนาจ และควบคุมสถานการณ์จะเห็นชัดว่า คสช.พยายามวางตัวเป็นอำนาจที่สาม ที่ไม่ฝักไฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนสังคมทั่วไปก็รับได้ แต่มาถึงวันนี้ คสช. ยังไม่สามารถสร้างทางเลือกที่สาม ที่เป็นทางออกของสังคมการเมืองได้อย่างเป็นรูปธรรม
การปฏิรูปประเทศ และการลดการเผชิญหน้า ยังทำไม่ได้ในระดับใจกลาง และต้นเหตุแห่งปัญหา ยังเป็นลักษณะปะผุเท่านั้น โครงสร้างอำนาจที่เป็นมูลเหตุปัญหายังไม่ได้รับการปรับเปลี่ยน ฉะนั้น การเมืองที่ยังไม่ได้ปฏิรูปอย่างจริงจัง และความแตกแยกที่ดำรงอยู่แบบนี้จะฉุดการเมืองไว้ที่เดิม แม้บางคนอาจจะสบายใจบางระดับกับการเข้ามาคุมอำนาจของ คสช. แต่เนื้อในของการเมืองก็ต้องยอมรับความจริงกันว่ายังพร้อมวนกลับมาที่เดิมตลอดเวลา
กว่า 2 ปี ของ คสช. ถ้ายังปฏิรูปในเรื่องใหญ่ๆไม่ได้ สภาวะแบบนี้จะทำให้ในอนาคตสังคมการเมืองไทยกลายเป็นทวิรัฐ คือ เป็นรัฐที่ปรับตัวให้อยู่ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หรือมาจากการรัฐประหารก็ได้
