ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ช่วงสัปดาห์ สองสัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์การเมืองมีเรื่องร้อน กวนใจให้ผู้นำรัฐบาลและคสช. ออกอาการหงุดหงิด หลายเรื่อง หลักๆก็มีเรื่องกฎหมายประชามติ ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เขียนข้อห้ามไว้กว้างครอบจักรวาล ยากที่จะตีความว่า อะไรทำได้ ทำไม่ได้ เรื่องการเคลื่อนไหวของกลุ่มต้านคสช. ต้านรัฐธรรมนูญ ในโลกโซเชียล จนมีการจับกุม 8 แอดมิน และจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการปล่อยตัว รวมทั้งเรื่องที่ป.ป.ช.พยายามจะถอนฟ้อง คดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 ที่มีคนสำคัญอย่าง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผล.ตร. น้องชายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นจำเลยร่วมอยู่ด้วย ซึ่งขณะนี้คดีอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว
ดังนั้น คนที่ออกอาการหงุดหงิดมากกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ที่หงุดหงิดกับสื่อ เป็นประจำแทบทุกวันอยู่แล้ว ก็คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
เมื่อวันประชุมครม. 3 พ.ค. ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร ก็ถูกสื่อถามในเรื่องเหล่านั้น ซึ่งท่านก็ตอบไปตามสไตล์ ว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย จะใช้กฎหมายอย่างจริงจังกับทุกคน ทุกฝ่าย ไม่มีสองมาตรฐาน
ส่วนเรื่องที่ป.ป.ช.จะถอนคดีน้องชายของท่านออกจากศาล ท่านก็ยืนยันซ้ำๆ หลายครั้งว่า ไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยว !!
จากนั้น ก็เปลี่ยนเรื่องไปพูดถึงงานในความรับผิดชอบของท่าน ว่ากำลังสั่งปราบปรามผู้มีอิทธิพล พวกค้ายาเสพติด ซึ่งในวันเดียวกันนั้น พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง ก็เปิดยุทธการ "นครปฐมร่มเย็น" บุกค้นบ้านเป้าหมายในพื้นที่จ.นครปฐมพร้อมกัน 12 จุด ซึ่งแน่นอนว่าบ้านหลักๆ ไม่พ้น“บ้านใหญ่นครปฐม” ก็คือบ้านพักคนในตระกูล "สะสมทรัพย์" และเครือข่าย มีการแถลงข่าวว่า สามารถยึดอาวุธปืน ได้จำนวนมาก
ก่อนจบการให้สัมภาษณ์ พล.อ.ประวิตร ก็ทิ้งท้ายว่า "มีบางคนโทรศัพท์ไปขู่รัฐมนตรีบางท่าน เพื่อให้ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ เราไม่สามารถยอมได้ รู้ถึงไหน ผมจับถึงนั่น ผมจับทั้งนั้น ขณะนี้กำลังตรวจสอบอยู่ แต่ไม่อยากเปิดเผยว่า เป็นรัฐมนตรีคนใด"
ทำเอานักข่าวแปลกใจไปตามๆกัน ว่ารัฐมนตรีที่กำกับดูแลด้านความมั่นคง ดูแลตำรวจ ก็คือ พล.อ.ประวิตร แล้วใครจะกล้าข่มขู่ "พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์" ที่มีอำนาจ บารมีคับประเทศ แต่ท่านก็บอกว่า คนที่ถูกข่มขู่ไม่ใช่ตัวท่าน
แล้วเป็นรัฐมนตรีคนไหนกันที่ถูกขู่ บรรดานักข่าวก็พยายามไปสืบเสาะ ก็มีผู้ที่เป็น "แหล่งข่าวกล่าวว่า" บอกรัฐมนตรีที่ถูกขู่เป็นรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ คือ นายอุตตม สาวนายน รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ซึ่งขณะนั้นอยู่ระหว่างปฏิบัติราชการ ที่ประเทศเยอรมนี
เมื่อนักข่าวไปถามเรื่องรัฐมนตรีถูกขู่จาก พล.อ.ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ท่านก็บอกว่า ขณะนี้ตำรวจกำลังตรวจสอบว่า เป็นการโทรศัพท์มาจากที่ที่ไหน เชื่อว่าไม่นานคงจะทราบ แต่ในส่วนของสมช.นั้น ยังไม่มีรายละเอียด แต่พล.อ.ประวิตร ได้สั่งการทั้งสายข่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตรวจสอบแล้ว
เลขาสมช. ยังบอกว่าในเมื่อผู้ถูกข่มขู่เป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ไม่ใช่รัฐมนตรีด้านความมั่นคง แสดงว่าผู้ที่โทรขู่ คงพยายามที่จะสกัดผลงานรัฐบาล เพราะขณะนี้รัฐบาลกำลังมีผลงานด้านเศรษฐกิจ และถือเป็นเครดิตของรัฐบาล จึงพยายามตีเจาะไปยังหน่วยงานที่มีผลงาน
โถ..ท่านเลขาฯสมช. ตอนนี้เนี่ยนะ รัฐบาลกำลังมีผลงานด้านเศรษฐกิจ ประชาชนอยู่ดีกินดี การเงินเฟื่องฟู อู้ฟู่ จนถึงกับต้องขู่ไล่รัฐมนตรี คลัง รัฐมนตรีไอซีที. กันเลยเชียวหรือ
ท่านไม่รู้จริงๆ หรือว่าขณะนี้เศรษฐกิจกำลังฝืดเคืองอย่างหนัก พ่อค้า แม่ขาย บ่นกันทุกหัวระแหง ว่าขายไม่ดี คนไม่มีเงินจะซื้อของ ธุรกิจเอสเอ็มอี ที่รัฐบาลพยายามปลุก ก็ปลุกไม่ขึ้น เพราะผลิตสินค้าออกมาแล้ว ต่อให้สินค้าดี มีคุณภาพ แต่ผู้ซื้อในประเทศไม่มีกำลังซื้อ โอกาสที่จะเจ๊ง มากกว่าที่จะเติบโต ที่รอดไปได้กว่าจะเข้มแข็งถึงขั้นส่งไปขายในตลาดโลกได้ ก็ต้องใช้ทุน ใช้เวลา
เรื่องเศรษฐกิจภายในประเทศฝืดเคืองนั้น คิดง่ายๆว่า ทุกๆ ปีเราเคยขายข้าวได้ปีละเป็นสิบล้านตัน แต่ปีสองปีที่ผ่านมา ข้าวขายไม่ออก คาเต็มโกดัง เพราะเป็นข้าวเก่าจากนโยบายรับจำนำข้าว ที่ไม่มีคุณภาพ ต่างประเทศไม่ซื้อ ส่วนข้าวที่จะปลูกในฤดูกาลใหม่ รัฐบาลก็รณรงค์ให้ปลูกพืชชนิดอื่นที่ใช้น้ำน้อย บอกว่า น้ำในเขื่อนเหลือน้อย มีปัญหาภัยแล้ง ทำให้เงินที่เคยได้จากการขายข้าวปีละหลายแสนล้านบาท หายไปจากระบบ แถมราคายางพารายังตกต่ำเข้าไปอีก
การเงินโดยรวมของประเทศจึงชะงักงัน ยังดีที่ได้ภาคการท่องเที่ยวจากทัวร์จีน มาช่วยจุนเจือไว้ มิฉะนั้น จะแย่กว่านี้
กลับมาเข้าเรื่องรัฐมนตรีถูกขู่ เมื่อนักข่าวไปถาม นายอุตตม สาวนายน รมว.ไอซีที ท่านบอกไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ถูกขู่ และก็ไม่ได้มีการพูดคุยกับ รมว.คลังด้วย เพราะท่านปฏิบัติราชการในต่างประเทศ ในที่ประชุมครม. พล.อ.ประวิตร ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ ไม่ได้มีการบอกเตือนอะไร แต่ถ้า ถูกข่มขู่จริง ก็จะไม่ออกจากตำแหน่ง
หลังจากที่ พล.อ.ประวิตร ปูดข่าวว่ามีรัฐมนตรีถูกขู่แล้ว วันรุ่งขึ้น ท่านก็ให้สัมภาษณ์ไป อมยิ้มไป ถึงความคืบหน้าในเรื่องนี้ว่า เจ้าหน้าที่เจอตัวคนที่โทรขู่แล้ว เป็นคนบ้า เขาทำคนเดียว เป็นคนสติไม่ค่อยดี
"จริงจริง จะไปโกหกทำไม ไม่มีนัยอะไร มันไปค้นเบอร์โทร มันโทร. ไป 1133 เป็นร้อยครั้ง ผมยังโดนเลย มีเบอร์อยู่ที่กับคนที่โดนจับ แต่ยังไม่ได้โทร.มาหาผม ผมก็แค่อยากรู้ว่ามันมีขบวนการหรือเปล่า ปรากฏว่า ไม่มี พบเป็นแค่คนเดียว ถือว่าเรื่องจบแล้ว เป็นคนโรคจิต"
ก็เป็นอันว่า เรื่องโทรขู่รัฐมนตรี เป็นเรื่องของคนบ้า ที่จบลงแค่ชั่วข้ามคืน โดยที่ไม่มีใครเห็นว่า คนบ้าคนนั้นเป็นใคร คนที่รู้ดีมีอยู่คนเดียวคือ "บิ๊กป้อม"