จากกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ระบุว่า เข้าใจในความรู้สึกของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้นำประเทศ ต้องเปิดใจกว้าง รับฟังการวิพากษ์วิจารณ์ นั้น พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคสช. กล่าวว่า ผู้บังคับบัญชาพร้อมรับฟังมาตลอด ได้มีการกำหนดช่องทางการรับฟังที่เป็นทางการในหลายช่องทางมากมาย กว้างขวาง ทั่วประเทศ เพื่อจะนำสิ่งที่ได้รับไปเข้าสู่การพัฒนาปรับอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับสังคมและประเทศชาติ และข้อมูลที่ได้รับตามช่องทางที่กำหนดนี้ส่วนใหญ่มีเหตุมีผล ที่สามารถนำไปสู่การพัฒนาตอบสนองไปตามกระบวนการ ไม่เหมือนที่พบในบางกรณี ที่บางกลุ่มบางบุคคลพยายามหาช่องไปแสดงออกนอกช่องทาง เพื่อให้เป็นประเด็นในมุมต่างๆ แบบมีนัยยะแอบแฝง
สำหรับที่กล่าวถึงกรณีเปรียบเทียบว่า ในช่วงของนายกฯยิ่งลักษณ์ฯ ไม่สามารถออกกฎหมาย หรือคำสั่งใดๆให้เป็นกฎหมายได้นั้น โฆษก คสช. กล่าวว่า สังคมเข้าใจถึงบริบทในความแตกต่างได้ โดยเฉพาะข้อจำกัดในเรื่องของเวลา หรือเทอมในการทำงาน
" มั่นใจว่าในช่วงเวลาปกติ ถึงแม้จะไม่มีกฎหมายพิเศษ ก็ยังคงสามารถดำเนินการบริหารแก้ไขสิ่งต่างๆได้ อยู่ที่ความตั้งใจ หรือความพยายามที่สามารถแสดงให้สังคมได้รับรู้รับทราบ"
สำหรับ ที่กล่าวถึงข้อห่วงใยการใช้กฎหมายปลดคนนั้น คนนี้ เพราะไม่สนองตอบนโยบาย หรือ เอากฎหมายมาบังคับใช้คนให้ทำงานตามคำสั่ง จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปนั้น พ.อ.วินธัย กล่าวว่า การปลด หรือปรับเปลี่ยนบุคคลในช่วงก่อนในหลายกรณีสังคมอาจยังรู้สึกเคลือบแคลงมองว่าเป้าหมายอาจเป็นเรื่องการสมประโยชน์ในมุมทางการเมืองเป็นส่วนสำคัญ
"มั่นใจว่าสำหรับในปัจจุบัน ที่การปรับเปลี่ยนบุคคลหรือข้าราชการคนใด เป็นเรื่องความเหมาะสมตามเนื้องานเป็นสำคัญ เพื่อให้การตอบสนองความต้องการของประชาชนเป็นไปอย่างสมบูรณ์ และเต็มประสิทธิภาพ สอดรับกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน โดยไม่มีเรื่องของการเมืองใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง"
สำหรับกรณีที่กล่าวว่าได้พูดมาตลอดว่า คนที่มีความคิดเห็นต่าง ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้บ้านเมืองแตกแยกนั้น โฆษก คสช. กล่าวว่า อาจต้องยอมรับว่าในสังคมไทยมักมีให้เห็นอยู่ 2 ลักษณะ คือ แบบความคิดเห็นต่าง แต่มีพฤติกรรมอยู่ภายในกรอบ กับแบบมีความคิดเห็นต่าง แต่ชอบมีพฤติกรรมนอกกรอบ และยิ่งในอดีตที่สังคมเห็นและสัมผัสได้ถึงพัฒนาการในความเห็นต่างของสังคมไทย ไม่เพียงทำให้บ้านเมืองนั้นดูแตกแยก หรือแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างเดียว ยังนำมาซึ่งการสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินซึ่งสังคมไหนๆก็ไม่สามารถยอมรับได้ การบริหารจัดการความคิดเห็นที่แตกต่างจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและต้องระมัดระวัง ยืนยันว่า แนวทางในปัจจุบันไม่ใช่คนในสังคมจะเห็นต่างไม่ได้ แต่การเห็นต่างนั้นควรอยู่ในช่องทางที่เหมาะสม ปราศจากความรุนแรง กรณีมีประเด็นข้อกังวลสงสัยต่างๆ ก็ควรเป็นลักษณะที่จับต้องได้จริงเพื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องนำไปสู่การปรับพัฒนาให้เกิดประโยชน์กับสังคมและประเทศชาติอย่างแท้จริง
ด้านนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การตอบโต้กันของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. นั้นปล่อยให้คนระดับนายกรัฐมนตรีเขาว่ากันดีกว่า ระดับหางแถวอย่างเราๆคงคอยฟังอย่างเดียว แต่เมื่อนายกฯ คนหนึ่ง พูดถึงนายกฯอีกคนหนึ่ง อยากจะ ทราบข้อเท็จจริงเหมือนกันว่า เมื่อ 2 ปีก่อน พล.อ.ประยุทธ์ พูดเหมือน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกมากล่าวอ้างหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้พูดในแง่บวกของ พล.อ.ประยุทธ์ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ จะออกมาอธิบาย หรือชี้แจงเพิ่มเติม เราอยากจะฟังคำตอบว่า 2 ปีที่แล้ว ท่านพูดจริงอย่างที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าหรือไม่
สำหรับที่กล่าวถึงกรณีเปรียบเทียบว่า ในช่วงของนายกฯยิ่งลักษณ์ฯ ไม่สามารถออกกฎหมาย หรือคำสั่งใดๆให้เป็นกฎหมายได้นั้น โฆษก คสช. กล่าวว่า สังคมเข้าใจถึงบริบทในความแตกต่างได้ โดยเฉพาะข้อจำกัดในเรื่องของเวลา หรือเทอมในการทำงาน
" มั่นใจว่าในช่วงเวลาปกติ ถึงแม้จะไม่มีกฎหมายพิเศษ ก็ยังคงสามารถดำเนินการบริหารแก้ไขสิ่งต่างๆได้ อยู่ที่ความตั้งใจ หรือความพยายามที่สามารถแสดงให้สังคมได้รับรู้รับทราบ"
สำหรับ ที่กล่าวถึงข้อห่วงใยการใช้กฎหมายปลดคนนั้น คนนี้ เพราะไม่สนองตอบนโยบาย หรือ เอากฎหมายมาบังคับใช้คนให้ทำงานตามคำสั่ง จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปนั้น พ.อ.วินธัย กล่าวว่า การปลด หรือปรับเปลี่ยนบุคคลในช่วงก่อนในหลายกรณีสังคมอาจยังรู้สึกเคลือบแคลงมองว่าเป้าหมายอาจเป็นเรื่องการสมประโยชน์ในมุมทางการเมืองเป็นส่วนสำคัญ
"มั่นใจว่าสำหรับในปัจจุบัน ที่การปรับเปลี่ยนบุคคลหรือข้าราชการคนใด เป็นเรื่องความเหมาะสมตามเนื้องานเป็นสำคัญ เพื่อให้การตอบสนองความต้องการของประชาชนเป็นไปอย่างสมบูรณ์ และเต็มประสิทธิภาพ สอดรับกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน โดยไม่มีเรื่องของการเมืองใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง"
สำหรับกรณีที่กล่าวว่าได้พูดมาตลอดว่า คนที่มีความคิดเห็นต่าง ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้บ้านเมืองแตกแยกนั้น โฆษก คสช. กล่าวว่า อาจต้องยอมรับว่าในสังคมไทยมักมีให้เห็นอยู่ 2 ลักษณะ คือ แบบความคิดเห็นต่าง แต่มีพฤติกรรมอยู่ภายในกรอบ กับแบบมีความคิดเห็นต่าง แต่ชอบมีพฤติกรรมนอกกรอบ และยิ่งในอดีตที่สังคมเห็นและสัมผัสได้ถึงพัฒนาการในความเห็นต่างของสังคมไทย ไม่เพียงทำให้บ้านเมืองนั้นดูแตกแยก หรือแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างเดียว ยังนำมาซึ่งการสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินซึ่งสังคมไหนๆก็ไม่สามารถยอมรับได้ การบริหารจัดการความคิดเห็นที่แตกต่างจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและต้องระมัดระวัง ยืนยันว่า แนวทางในปัจจุบันไม่ใช่คนในสังคมจะเห็นต่างไม่ได้ แต่การเห็นต่างนั้นควรอยู่ในช่องทางที่เหมาะสม ปราศจากความรุนแรง กรณีมีประเด็นข้อกังวลสงสัยต่างๆ ก็ควรเป็นลักษณะที่จับต้องได้จริงเพื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องนำไปสู่การปรับพัฒนาให้เกิดประโยชน์กับสังคมและประเทศชาติอย่างแท้จริง
ด้านนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การตอบโต้กันของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. นั้นปล่อยให้คนระดับนายกรัฐมนตรีเขาว่ากันดีกว่า ระดับหางแถวอย่างเราๆคงคอยฟังอย่างเดียว แต่เมื่อนายกฯ คนหนึ่ง พูดถึงนายกฯอีกคนหนึ่ง อยากจะ ทราบข้อเท็จจริงเหมือนกันว่า เมื่อ 2 ปีก่อน พล.อ.ประยุทธ์ พูดเหมือน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกมากล่าวอ้างหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้พูดในแง่บวกของ พล.อ.ประยุทธ์ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ จะออกมาอธิบาย หรือชี้แจงเพิ่มเติม เราอยากจะฟังคำตอบว่า 2 ปีที่แล้ว ท่านพูดจริงอย่างที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าหรือไม่
