วานนี้ (26เม.ย.) ที่พรรคเพื่อไทย นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ตนได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) หมู่บ้าน ว่า เมื่อวันที่ 25 เม.ย. เวลา 11.30 น. มีทหารนอกเครื่องแบบชื่อ ส.ท.วีระพงษ์ สร้อยเสนา ขับขี่รถจักรยานยนต์ มาขอแลกบัตรเข้าไปในหมู่บ้านสินเก้า ถ.ศรีนครินทร์ ที่ตนอาศัยอยู่ จากนั้นได้ร่วมกับพวกอีก 1 คน เฝ้าสังเกตการณ์หน้าหมู่บ้าน จนเวลาประมาณ 17.30 น. จึงได้กลับไป
จากการตรวจสอบพบว่าส.ท.วีระพงษ์ เป็นทหารสังกัดกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ซึ่งมี พ.ท.สมพร โตภาพ นายทหารที่ คสช. สั่งให้นำกำลังมาควบคุมตน ที่บ้านพักเมื่อวันที่ 14 เม.ย. ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ คสช.มักอ้างเหตุนำตัวบุคคลที่คิดเห็นต่างไปควบคุมตัว เพื่อปรับทัศนคติ โดยอ้างว่าใช้อำนาจตามคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 3/2558 ซึ่งกรณีของตน เคยถูกควบคุมตัวมาแล้ว 4 ครั้ง ทุกครั้งมีการสอบถามข้อมูลที่ซ้ำๆ กัน ซึ่งตนก็ได้ให้ข้อมูลไปจนครบถ้วนแล้ว จึงไม่มีข้ออ้างที่จะนำตัวไปควบคุม เพื่อสอบถามข้อมูลอีก ขณะเดียวกัน คำสั่งหัวหน้าคสช. ก็ไม่ได้ให้อำนาจควบคุมบุคคลเพื่อปรับทัศนคติ เป็นเพียงอำนาจในการสอบถามข้อมูล หรือให้ถ้อยคำเท่านั้น
" คสช.และรัฐบาล มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยรวมถึงการปกป้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชน แต่กลับทำตัวเป็นผู้ข่มขู่ คุกคามประชาชนเสียเอง ผมเป็นบุคคลสาธารณะที่เพียงแค่แสดงความคิดเห็นต่างจากคสช. ยังถูกข่มขู่ คุกคาม ถึงเพียงนี้ แล้วพี่น้องประชาชนทั่วไปจะถูกกลั่นแกล้งขนาดไหน"
นายวัฒนา กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาส่วนตัว ของตนเพียงคนเดียว แต่เป็นเรื่องของการจำกัดสิทธิ เสรีภาพ ในการแสดงออกของประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งขัดกับ มาตรา 4 ของรธน.ชั่วคราว ที่คสช. เป็นผู้ขอพระราชทานมาใช้บังคับเอง ทั้งยังขัดกับข้อ 19 ของปฏิญญาสากล ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ที่ประเทศไทยมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตามมาตั้งแต่ พ.ศ.2491 อีกด้วย จึงขอเรียกร้องให้ คสช. หยุดพฤติกรรมที่เป็นการคุกคามดังกล่าว หากเห็นว่าการกระทำของตนเป็นความผิด ก็ดำเนินคดีให้เป็นไปตามครรลองของกฎหมาย ไม่ควรใช้พฤติกรรรมที่แสดงถึงการลุแก่อำนาจ ดังที่เคยทำมา
นายวัฒนา กล่าวอีกว่าขณะนี้กำลังจะมีการทำประชามติ ร่างรธน. ดังนั้นควรเปิดโอกาสให้ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย ได้แสดงความคิดเห็น เหตุที่ต้องไปร้องที่สหประชาชาติ ก็เพราะประเทศไทยไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกสหประชาชาติ จนถูกมองว่าเอาเรื่องในประเทศไปฟ้องต่างประเทศ การนำตัวตนไปกักขังโดยไม่มีเหตุอันชอบธรรม ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่ไปร้องเพราะเรื่องนี้เรื่องเดียว ไม่เกี่ยวกับกฎหมาย หรือเรื่องอื่นๆ ภายในประเทศ ขอให้ คสช.หยุดพฤติกรรม การแสดงความข่มขู่ เลิกสร้างความหวาดกลัวให้ประชาชนเสียที
เมื่อถามว่า หากเจ้าหน้าที่เชิญไปพบอีก จะปฏิบัติอย่างไร นายวัฒนา กล่าว่าถ้าเชิญมา ก็ไม่รับเชิญ คสช.ไม่มีอำนาจเรียกใคร ไม่ว่าตนหรือผู้อื่น ไปเปิดคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ดูได้เลยว่า ไม่มีอำนาจ แต่เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต การที่ได้ร้องเรียนไปที่สหประชาชาติ ซึ่งสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ตอบกลับมา เพราะเขาถือเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ลดความเป็นคน ให้เสื่อมเสียความเป็นคน ห้ามนำไปควบคุม คุมขังตามอำเภอใจ ซึ่งความผิดดังกล่าว ต้องขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ เพราะเป็นความผิดต่อมวลมนุษยชาติ
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯได้ระบุถึงคดีค้างเก่า ในโครงการบ้านเอื้ออาทร สมัยที่ นายวัฒนาเป็น รมว.พัฒนาสังคมฯ นายวัฒนา กล่าวว่า ไม่รู้สึกกังวล นายกฯพูดเช่นนี้ เหมือนจะเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ เรื่องนี้อยู่ในชั้นการพิจารณาของป.ป.ช.แล้ว ก็ควรปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ ซึ่งที่ผ่านมา ตนก็เคยถูกตรวจสอบโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ในสมัยรัฐประหารเมื่อปี 49 จำนวน 4 คดี ด้วยกัน ต่อมามีการยกฟ้องไป 3 คดี ส่วนคดีที่ยังค้างในป.ป.ช. ก็ควรปล่อยให้เป็นมติของคณะทำงาน การที่นายกฯ อออกมาระบุเช่นนี้ เหมือนกับว่า เป็นความผิดของตนไปแล้ว
"ทุกวันนี้ที่หน้าบ้านพักผม ยังมีทหารมาเฝ้าบ้าน จะมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ถ้าไม่ได้เป็นการกดดันข่มขู่ จนทำให้แม่บ้าน 2 คน คิดจะลาออก ทุกวันนี้ลูกสาวก็ไม่กล้ากลับบ้าน ภรรยาก็เริ่มบอกจะไหวเหรอ ทุกคนต่างอยู่ภายใต้การกดดัน และที่บุตรสาวต้องเดินทางไปต่างประเทศเป็นการด่วน จนไม่ได้มารับตัวผม ในวันปล่อยตัว เพราะถูกข่มขู่ " นายวัฒนา กล่าว
ด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวถึงกรณี นายวัฒนา จะยื่นเรื่องต่อสหประชาชาติ หลังถูก คสช. ส่งทหารไปคุกคาม ว่า "ผมเลิกพูดถึงคนๆ นี้ไปนานแล้ว อย่ามาพูดกับผม"
ส่วนกรณี นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน ทำเรื่องถึงคสช. เพื่อขอเดินทางไปต่างประเทศ ตามคำเชิญ ให้ไปพูดถึงสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ต้องดูว่า ควร หรือไม่ควร เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม อย่าลืมว่าวันนี้ใครเป็นรัฐบาล และถ้าต้องการอยากทราบข้อมูล ก็ให้มาเชิญรัฐบาลไปชี้แจง
จากการตรวจสอบพบว่าส.ท.วีระพงษ์ เป็นทหารสังกัดกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ซึ่งมี พ.ท.สมพร โตภาพ นายทหารที่ คสช. สั่งให้นำกำลังมาควบคุมตน ที่บ้านพักเมื่อวันที่ 14 เม.ย. ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ คสช.มักอ้างเหตุนำตัวบุคคลที่คิดเห็นต่างไปควบคุมตัว เพื่อปรับทัศนคติ โดยอ้างว่าใช้อำนาจตามคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 3/2558 ซึ่งกรณีของตน เคยถูกควบคุมตัวมาแล้ว 4 ครั้ง ทุกครั้งมีการสอบถามข้อมูลที่ซ้ำๆ กัน ซึ่งตนก็ได้ให้ข้อมูลไปจนครบถ้วนแล้ว จึงไม่มีข้ออ้างที่จะนำตัวไปควบคุม เพื่อสอบถามข้อมูลอีก ขณะเดียวกัน คำสั่งหัวหน้าคสช. ก็ไม่ได้ให้อำนาจควบคุมบุคคลเพื่อปรับทัศนคติ เป็นเพียงอำนาจในการสอบถามข้อมูล หรือให้ถ้อยคำเท่านั้น
" คสช.และรัฐบาล มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยรวมถึงการปกป้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชน แต่กลับทำตัวเป็นผู้ข่มขู่ คุกคามประชาชนเสียเอง ผมเป็นบุคคลสาธารณะที่เพียงแค่แสดงความคิดเห็นต่างจากคสช. ยังถูกข่มขู่ คุกคาม ถึงเพียงนี้ แล้วพี่น้องประชาชนทั่วไปจะถูกกลั่นแกล้งขนาดไหน"
นายวัฒนา กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาส่วนตัว ของตนเพียงคนเดียว แต่เป็นเรื่องของการจำกัดสิทธิ เสรีภาพ ในการแสดงออกของประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งขัดกับ มาตรา 4 ของรธน.ชั่วคราว ที่คสช. เป็นผู้ขอพระราชทานมาใช้บังคับเอง ทั้งยังขัดกับข้อ 19 ของปฏิญญาสากล ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ที่ประเทศไทยมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตามมาตั้งแต่ พ.ศ.2491 อีกด้วย จึงขอเรียกร้องให้ คสช. หยุดพฤติกรรมที่เป็นการคุกคามดังกล่าว หากเห็นว่าการกระทำของตนเป็นความผิด ก็ดำเนินคดีให้เป็นไปตามครรลองของกฎหมาย ไม่ควรใช้พฤติกรรรมที่แสดงถึงการลุแก่อำนาจ ดังที่เคยทำมา
นายวัฒนา กล่าวอีกว่าขณะนี้กำลังจะมีการทำประชามติ ร่างรธน. ดังนั้นควรเปิดโอกาสให้ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย ได้แสดงความคิดเห็น เหตุที่ต้องไปร้องที่สหประชาชาติ ก็เพราะประเทศไทยไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกสหประชาชาติ จนถูกมองว่าเอาเรื่องในประเทศไปฟ้องต่างประเทศ การนำตัวตนไปกักขังโดยไม่มีเหตุอันชอบธรรม ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่ไปร้องเพราะเรื่องนี้เรื่องเดียว ไม่เกี่ยวกับกฎหมาย หรือเรื่องอื่นๆ ภายในประเทศ ขอให้ คสช.หยุดพฤติกรรม การแสดงความข่มขู่ เลิกสร้างความหวาดกลัวให้ประชาชนเสียที
เมื่อถามว่า หากเจ้าหน้าที่เชิญไปพบอีก จะปฏิบัติอย่างไร นายวัฒนา กล่าว่าถ้าเชิญมา ก็ไม่รับเชิญ คสช.ไม่มีอำนาจเรียกใคร ไม่ว่าตนหรือผู้อื่น ไปเปิดคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ดูได้เลยว่า ไม่มีอำนาจ แต่เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต การที่ได้ร้องเรียนไปที่สหประชาชาติ ซึ่งสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ตอบกลับมา เพราะเขาถือเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ลดความเป็นคน ให้เสื่อมเสียความเป็นคน ห้ามนำไปควบคุม คุมขังตามอำเภอใจ ซึ่งความผิดดังกล่าว ต้องขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ เพราะเป็นความผิดต่อมวลมนุษยชาติ
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯได้ระบุถึงคดีค้างเก่า ในโครงการบ้านเอื้ออาทร สมัยที่ นายวัฒนาเป็น รมว.พัฒนาสังคมฯ นายวัฒนา กล่าวว่า ไม่รู้สึกกังวล นายกฯพูดเช่นนี้ เหมือนจะเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ เรื่องนี้อยู่ในชั้นการพิจารณาของป.ป.ช.แล้ว ก็ควรปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ ซึ่งที่ผ่านมา ตนก็เคยถูกตรวจสอบโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ในสมัยรัฐประหารเมื่อปี 49 จำนวน 4 คดี ด้วยกัน ต่อมามีการยกฟ้องไป 3 คดี ส่วนคดีที่ยังค้างในป.ป.ช. ก็ควรปล่อยให้เป็นมติของคณะทำงาน การที่นายกฯ อออกมาระบุเช่นนี้ เหมือนกับว่า เป็นความผิดของตนไปแล้ว
"ทุกวันนี้ที่หน้าบ้านพักผม ยังมีทหารมาเฝ้าบ้าน จะมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ถ้าไม่ได้เป็นการกดดันข่มขู่ จนทำให้แม่บ้าน 2 คน คิดจะลาออก ทุกวันนี้ลูกสาวก็ไม่กล้ากลับบ้าน ภรรยาก็เริ่มบอกจะไหวเหรอ ทุกคนต่างอยู่ภายใต้การกดดัน และที่บุตรสาวต้องเดินทางไปต่างประเทศเป็นการด่วน จนไม่ได้มารับตัวผม ในวันปล่อยตัว เพราะถูกข่มขู่ " นายวัฒนา กล่าว
ด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวถึงกรณี นายวัฒนา จะยื่นเรื่องต่อสหประชาชาติ หลังถูก คสช. ส่งทหารไปคุกคาม ว่า "ผมเลิกพูดถึงคนๆ นี้ไปนานแล้ว อย่ามาพูดกับผม"
ส่วนกรณี นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน ทำเรื่องถึงคสช. เพื่อขอเดินทางไปต่างประเทศ ตามคำเชิญ ให้ไปพูดถึงสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ต้องดูว่า ควร หรือไม่ควร เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม อย่าลืมว่าวันนี้ใครเป็นรัฐบาล และถ้าต้องการอยากทราบข้อมูล ก็ให้มาเชิญรัฐบาลไปชี้แจง