ริมฝั่งเจ้าพระยา
โดย...สุนันท์ ศรีจันทรา
กระแสต่อต้านรัฐบาลทหารปะทุขึ้นถี่ยิบ โดยเฉพาะการนำตัว นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย เข้าปรับทัศคติครั้งล่าสุด กำลังจุดชนวนให้คนหลายกลุ่มออกมาเคลื่อนไหว กดดันการใช้อำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)
ปฏิกิริยาต่อต้านรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์มีแนวโน้มที่จะทวีความเร่าร้อนมากขึ้น ทั้งประเด็นการรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การเชิญบรรดาหัวโจกพรรคเพื่อไทยเข้าปรับทัศนคติ และการรุกเร้าขอคืนประชาธิปไตย
ธงของการบดขยี้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกนายทักษิณ ชินวัตรชักขึ้นมาแล้ว ทำให้สถานการณ์การเมืองนับจากนี้เข้มข้นขึ้น
แต่ถ้าประเมินกำลังกลุ่มต่อต้าน คสช. ยังจำกัดวงอยู่ในหมู่คนหน้าเดิมๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขบวนการในเครือข่ายของนายทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่ากลุ่มพลเมืองโต้กลับที่มี นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว เป็นแกนนำ หรือกลุ่มนักวิชาการที่ออกมาแถลงต้านรัฐธรรมนูญ
ความเคลื่อนไหวของเครือข่าย “ทักษิณ” แม้เป็นสิ่งที่ต้องจับตา แต่ ไม่มีอะไรต้องกลัว เพราะขีดความสามารถไม่มากพอที่จะโค่นล้ม คสช.ได้ นอกจากก่อความเดือดร้อนรำคาญไปวันๆ โหวกเหวกโวยวายกวนประสาทพล.อ.ประยุทธ์ไปเรื่อยๆเท่านั้น
เมื่อหาแนวร่วมจากประชาชนไม่ได้ เครือข่าย “ทักษิณ” จึงหันไปชักศึกเข้าบ้าน วิ่งแจ้งไปฟ้องต่างชาติ เรียกให้เข้ามาจุ้นจ้านกิจการภายในประเทศ
คสช.ไม่จำเป็นต้องใช้ไม้แข็งเล่นงานกลุ่มต่อต้าน เพียงแต่บริหารจัดการไปตามสถานการณ์เท่านั้น เมื่อออกมาก่อหวอด ก็แค่จับ แต่จับแล้วก็ปล่อย
แกนนำพรรคเพื่อไทยคนใด “ดื้อยา” ก็เชิญตัวเข้าปรับทัศนคติซ้ำ เช่นเดียวกับนายวัฒนา จะเรียกตัวปรับทัศนคติกี่ครั้งไม่มีปัญหา
ทั้งคสช. ทั้งกลุ่มต่อต้าน ต่างฝ่ายต่างรู้ทันกัน รู้ว่า จะยกระดับการต่อสู้ไปสู่ความรุนแรงไม่ได้ เพราะฝ่ายใดใช้ความรุนแรงก่อน จะเพลี่ยงพล้ำ หมด ความชอบธรรม
คสช.รู้ว่า เครือข่าย “ทักษิณ”ไม่มีน้ำยาอะไรมากไปกว่า การก่อหวอดสร้าง ความวุ่นวาย จุดชนวนโจมตีเพื่อกดดันเท่านั้น เมื่อ คสช.ทนได้ ไม่ใช่ความรุนแรงสลายม็อบ ไม่ใช้อำนาจอำมหิต เข่นฆ่าฝ่ายต่อต้านเหมือนรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ไม่มีมูลเหตุที่จะนำไปปลุกระดม เพื่อให้เกิดการลุกฮือโค่นล้มรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์
ส่วนเครือข่าย “ทักษิณ” ก็รู้ดีว่า คสช.ไม่กล้าใช้ความรุนแรง เพราะจะนำไปสู่เหตุการณ์ลุกลามบานปลาย ทำให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์หมดความชอบธรรมการบริหารประเทศ จึงออกมาเคลื่อนไหวท้าท้าย คสช. ยั่วอารมณ์ พล.อ.ประยุทธ์อย่างต่อเนื่อง
ถ้าแค่จับแล้วปล่อย ถ้าแค่คุมตัวไปปรับทัศนคติ ไม่จ้างคนมาลอบทำร้าย ไม่ส่งคนมายิงปืนใส่ ไม่ขนระเบิดมาถล่ม ไม่ใช้ตำรวจคุกคามเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับกลุ่ม กปปส.ที่ออกมาต่อต้านรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ คนอย่างนายวัฒนา หรือหัวโจกพรรคเพื่อไทยคนอื่นๆ คนอย่าง “จ่านิว” หรือนักวิชาการที่ทำตัวเป็นลูกสมุนรับใช้ “ทักษิณ” ไม่มีวันกลัว
จะจับเมื่อไหร่ จะคุมตัวเข้าค่ายทหารปรับทัศนคติสักกี่วัน เชิญได้เลย เพราะถือเป็นโอกาสโชว์ผลงานให้ “นาย” ดูอีกด้วย
การจะเผด็จศึก คสช. โดยระดมมวลชนมาเผชิญหน้าก็ทำไม่ได้ เพราะคนเสื้อแดงจริงๆ มีอยู่จำกัดจำเขี่ย ไม่ได้มากมายเหมือนที่บรรดาหัวโจกคนเสื้อแดงเคยคุยโวไว้ และถ้ามีจำนวนมากจริง นางสาวยิ่งลักษณ์คงไม่กระเด็นตกเก้าอี้นายกฯ
ถ้ามวลชนคนเสื้อแดงมีพลังจริง รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์คงไม่ถูกโค่นลง
สิ่งที่ “ทักษิณ” ทำได้คือ บงการให้ลูกสมุนออกมาป่วนเท่านั้น
คสช.ไม่มีอะไรต้องกังวลกับเครือข่าย “ทักษิณ” ที่กำลังเดินสายก่อหวอด จะตะโกนเสียงโหวกเหวกฟ้องนานาชาติก็ไม่เดือดร้อน เพียงแต่ควบคุมไม่ให้เคลื่อนไหวเกินขอบเขตเท่านั้น และวางมาตรการคุมม็อบเครือข่าย “ทักษิณ” ไว้ในระดับ “ปราม” ก็พอ ไม่จำเป็นต้องยกระดับในขั้น “ปราบ”
เพราะถือว่า ยังไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์สักเท่าไหร่
สิ่งที่ คสช.กังวลมากกว่าคือ การป้องกันไม่ให้เครือข่าย “ทักษิณ” ขยายแนวร่วมได้ ป้องกันไม่ให้กระแสการต่อต้านรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ขยายวงเท่านั้น
ถ้ามีเฉพาะเครือข่ายลูกสมุน “ทักษิณ” ที่ออกมาเคลื่อนไหว คสช.ไม่กลัว แต่กลัวว่า ประชาชนกลุ่มอื่นจะลุกฮือขึ้นมาต่อต้านด้วย
เกือบ 2 ปีที่ผ่านมา คสช.นอนตาหลับได้ เพราะประชาชนส่วนใหญ่ ไม่ร่วมสังฆกรรมกับเครือข่ายลูกสมุน “ทักษิณ” จะประท้วงเรื่องใด จะต่อต้านอะไร ไม่มีใครสนับสนุน จะทำกิจกรรมการเมืองที่ไหน ไม่มีใครเล่นด้วย
แต่อนาคตอันไม่ไกล ไม่แน่ว่า จุดยืนของประชาชนอาจเปลี่ยนไป
เพราะประชาชนเริ่มจะเบื่อ เริ่มจะมีเสียงบ่นรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์มากขึ้นแล้ว
อุตส่าห์ไล่ “ทักษิณ” ออกไป ปล่อยให้ คสช.เข้ามาแทน แต่ประเทศยังพังอยู่ดี จนมีคำถามว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์แตกต่างกว่าตรงไหน
ระวังๆไว้หน่อยแล้วกัน อย่าให้ประชาชนท้อแท้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จนหมดใจที่จะสนับสนุน และเปลี่ยนข้าง หันไปจับมือกับเครือข่าย “ทักษิณ”
เพราะถ้าประชาชนออกไปเป็นแนวร่วมกับเครือข่าย “ทักษิณ” เมื่อไหร่ รัฐบาลทหารจะต้องเริ่มนับถอยหลังเมื่อนั้น
โดย...สุนันท์ ศรีจันทรา
กระแสต่อต้านรัฐบาลทหารปะทุขึ้นถี่ยิบ โดยเฉพาะการนำตัว นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย เข้าปรับทัศคติครั้งล่าสุด กำลังจุดชนวนให้คนหลายกลุ่มออกมาเคลื่อนไหว กดดันการใช้อำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)
ปฏิกิริยาต่อต้านรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์มีแนวโน้มที่จะทวีความเร่าร้อนมากขึ้น ทั้งประเด็นการรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การเชิญบรรดาหัวโจกพรรคเพื่อไทยเข้าปรับทัศนคติ และการรุกเร้าขอคืนประชาธิปไตย
ธงของการบดขยี้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกนายทักษิณ ชินวัตรชักขึ้นมาแล้ว ทำให้สถานการณ์การเมืองนับจากนี้เข้มข้นขึ้น
แต่ถ้าประเมินกำลังกลุ่มต่อต้าน คสช. ยังจำกัดวงอยู่ในหมู่คนหน้าเดิมๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขบวนการในเครือข่ายของนายทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่ากลุ่มพลเมืองโต้กลับที่มี นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว เป็นแกนนำ หรือกลุ่มนักวิชาการที่ออกมาแถลงต้านรัฐธรรมนูญ
ความเคลื่อนไหวของเครือข่าย “ทักษิณ” แม้เป็นสิ่งที่ต้องจับตา แต่ ไม่มีอะไรต้องกลัว เพราะขีดความสามารถไม่มากพอที่จะโค่นล้ม คสช.ได้ นอกจากก่อความเดือดร้อนรำคาญไปวันๆ โหวกเหวกโวยวายกวนประสาทพล.อ.ประยุทธ์ไปเรื่อยๆเท่านั้น
เมื่อหาแนวร่วมจากประชาชนไม่ได้ เครือข่าย “ทักษิณ” จึงหันไปชักศึกเข้าบ้าน วิ่งแจ้งไปฟ้องต่างชาติ เรียกให้เข้ามาจุ้นจ้านกิจการภายในประเทศ
คสช.ไม่จำเป็นต้องใช้ไม้แข็งเล่นงานกลุ่มต่อต้าน เพียงแต่บริหารจัดการไปตามสถานการณ์เท่านั้น เมื่อออกมาก่อหวอด ก็แค่จับ แต่จับแล้วก็ปล่อย
แกนนำพรรคเพื่อไทยคนใด “ดื้อยา” ก็เชิญตัวเข้าปรับทัศนคติซ้ำ เช่นเดียวกับนายวัฒนา จะเรียกตัวปรับทัศนคติกี่ครั้งไม่มีปัญหา
ทั้งคสช. ทั้งกลุ่มต่อต้าน ต่างฝ่ายต่างรู้ทันกัน รู้ว่า จะยกระดับการต่อสู้ไปสู่ความรุนแรงไม่ได้ เพราะฝ่ายใดใช้ความรุนแรงก่อน จะเพลี่ยงพล้ำ หมด ความชอบธรรม
คสช.รู้ว่า เครือข่าย “ทักษิณ”ไม่มีน้ำยาอะไรมากไปกว่า การก่อหวอดสร้าง ความวุ่นวาย จุดชนวนโจมตีเพื่อกดดันเท่านั้น เมื่อ คสช.ทนได้ ไม่ใช่ความรุนแรงสลายม็อบ ไม่ใช้อำนาจอำมหิต เข่นฆ่าฝ่ายต่อต้านเหมือนรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ไม่มีมูลเหตุที่จะนำไปปลุกระดม เพื่อให้เกิดการลุกฮือโค่นล้มรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์
ส่วนเครือข่าย “ทักษิณ” ก็รู้ดีว่า คสช.ไม่กล้าใช้ความรุนแรง เพราะจะนำไปสู่เหตุการณ์ลุกลามบานปลาย ทำให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์หมดความชอบธรรมการบริหารประเทศ จึงออกมาเคลื่อนไหวท้าท้าย คสช. ยั่วอารมณ์ พล.อ.ประยุทธ์อย่างต่อเนื่อง
ถ้าแค่จับแล้วปล่อย ถ้าแค่คุมตัวไปปรับทัศนคติ ไม่จ้างคนมาลอบทำร้าย ไม่ส่งคนมายิงปืนใส่ ไม่ขนระเบิดมาถล่ม ไม่ใช้ตำรวจคุกคามเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับกลุ่ม กปปส.ที่ออกมาต่อต้านรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ คนอย่างนายวัฒนา หรือหัวโจกพรรคเพื่อไทยคนอื่นๆ คนอย่าง “จ่านิว” หรือนักวิชาการที่ทำตัวเป็นลูกสมุนรับใช้ “ทักษิณ” ไม่มีวันกลัว
จะจับเมื่อไหร่ จะคุมตัวเข้าค่ายทหารปรับทัศนคติสักกี่วัน เชิญได้เลย เพราะถือเป็นโอกาสโชว์ผลงานให้ “นาย” ดูอีกด้วย
การจะเผด็จศึก คสช. โดยระดมมวลชนมาเผชิญหน้าก็ทำไม่ได้ เพราะคนเสื้อแดงจริงๆ มีอยู่จำกัดจำเขี่ย ไม่ได้มากมายเหมือนที่บรรดาหัวโจกคนเสื้อแดงเคยคุยโวไว้ และถ้ามีจำนวนมากจริง นางสาวยิ่งลักษณ์คงไม่กระเด็นตกเก้าอี้นายกฯ
ถ้ามวลชนคนเสื้อแดงมีพลังจริง รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์คงไม่ถูกโค่นลง
สิ่งที่ “ทักษิณ” ทำได้คือ บงการให้ลูกสมุนออกมาป่วนเท่านั้น
คสช.ไม่มีอะไรต้องกังวลกับเครือข่าย “ทักษิณ” ที่กำลังเดินสายก่อหวอด จะตะโกนเสียงโหวกเหวกฟ้องนานาชาติก็ไม่เดือดร้อน เพียงแต่ควบคุมไม่ให้เคลื่อนไหวเกินขอบเขตเท่านั้น และวางมาตรการคุมม็อบเครือข่าย “ทักษิณ” ไว้ในระดับ “ปราม” ก็พอ ไม่จำเป็นต้องยกระดับในขั้น “ปราบ”
เพราะถือว่า ยังไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์สักเท่าไหร่
สิ่งที่ คสช.กังวลมากกว่าคือ การป้องกันไม่ให้เครือข่าย “ทักษิณ” ขยายแนวร่วมได้ ป้องกันไม่ให้กระแสการต่อต้านรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ขยายวงเท่านั้น
ถ้ามีเฉพาะเครือข่ายลูกสมุน “ทักษิณ” ที่ออกมาเคลื่อนไหว คสช.ไม่กลัว แต่กลัวว่า ประชาชนกลุ่มอื่นจะลุกฮือขึ้นมาต่อต้านด้วย
เกือบ 2 ปีที่ผ่านมา คสช.นอนตาหลับได้ เพราะประชาชนส่วนใหญ่ ไม่ร่วมสังฆกรรมกับเครือข่ายลูกสมุน “ทักษิณ” จะประท้วงเรื่องใด จะต่อต้านอะไร ไม่มีใครสนับสนุน จะทำกิจกรรมการเมืองที่ไหน ไม่มีใครเล่นด้วย
แต่อนาคตอันไม่ไกล ไม่แน่ว่า จุดยืนของประชาชนอาจเปลี่ยนไป
เพราะประชาชนเริ่มจะเบื่อ เริ่มจะมีเสียงบ่นรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์มากขึ้นแล้ว
อุตส่าห์ไล่ “ทักษิณ” ออกไป ปล่อยให้ คสช.เข้ามาแทน แต่ประเทศยังพังอยู่ดี จนมีคำถามว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์แตกต่างกว่าตรงไหน
ระวังๆไว้หน่อยแล้วกัน อย่าให้ประชาชนท้อแท้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จนหมดใจที่จะสนับสนุน และเปลี่ยนข้าง หันไปจับมือกับเครือข่าย “ทักษิณ”
เพราะถ้าประชาชนออกไปเป็นแนวร่วมกับเครือข่าย “ทักษิณ” เมื่อไหร่ รัฐบาลทหารจะต้องเริ่มนับถอยหลังเมื่อนั้น