เมืองไทย 360 องศา
อากาศร้อน ๆ แบบนี้ บางทีหากควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ อาจเกิดอาการคลุ้มคลั่งสติแตกได้เหมือนกัน ยิ่งหากต้องเจอกับสภาพยั่วยุอยู่ตลอดเวลา หากไม่พยายามกัดฟันระงับอารมณ์ มันก็ยุ่งเหมือนกัน เหมือนกับเวลานี้ที่ระดับบิ๊กของรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กำลังเผชิญกับเกมยั่วยุของขั้วการเมืองฝ่ายตรงข้าม รวมไปถึงพวกฝ่ายการเมืองสายวิชาการที่เชิดชูในเรื่องสิทธิมนุษยชนนำหน้าผสมปนเป จนแยกแทบไม่ออกกันแล้ว
แน่นอนว่า การเคลื่อนไหวของ วัฒนา เมืองสุข นักการเมืองในขั้ว ทักษิณ ชินวัตร ที่กำลัง “ลองของ” ยั่วอารมณ์กวนประสาทบรรดาผู้นำของ คสช. ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ดูแลงานด้านความมั่นคง โดยอ้างเหตุผลในเรื่องของสิทธิมนุษยชน เสรีภาพ ในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งที่ผ่านมาเขาได้วิจารณ์คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญฉบับ มีชัย ฤชุพันธุ์ ซึ่งกำหนดลงประชามติในวันที่ 7 สิงหาคม ที่จะถึงนี้
วัฒนา เมืองสุข ได้ประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ และวิจารณ์คณะรักษาความสงบแห่งชาติ แบบท้าทายหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ และที่ผ่านมา ทางฝ่ายทหารก็ไปล็อกตัวมาเข้าค่ายอบรม “ปรับทัศนคติ” มาแล้วหลายรอบ แต่เมื่อออกมาก็ยังเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะเขารู้อยู่ว่าทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ก็คงไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่านี้ อย่างมากก็แค่จับไปควบคุมตัวระยะหนึ่งแล้วก็ปล่อย หรือจับฟ้องศาล แล้วมีการประกันตัวออกมา
เพราะมีการประเมินแล้วว่า ทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติคงไม่กล้าจับเข้าคุกเป็นเวลานาน เพราะถ้าทำแบบนั้นมันก็ยิ่งยั่วยุให้เกิดการเคลื่อนไหวกลายเป็น “เงื่อนไขแบบลูกโซ่” ที่อีกฝ่ายต้องการอยู่แล้ว ไหนจะเป็นพวกมวลชนแนวร่วมในประเทศที่รอเงื่อนไขลุกฮือชุมนุมหน้าค่ายทหาร “จี้ให้ปล่อยตัว” โดยไม่มีเงื่อนไขอะไรประมาณนั้น เนื่องจากที่ผ่านมาหากสังเกตให้ดีจะพบว่ามีการ “เคลื่อนไหวแบบประสานงาน” กันมาอย่างดี ทั้งในนามพรรคเพื่อไทย ตามมาด้วยมวลชนและนักศึกษาบางกลุ่มที่เห็นภาพจนชินตา อย่างพวก “จ่านิว” ประเภทนี้
อย่างในเวลานี้มีกลุ่มที่เรียกว่า “กลุ่มพลเมืองโต้กลับ” รวมทั้งจะมีกลุ่มที่เรียกชื่อแบบอื่นตามออกมาเป็นดอกเห็ด หากยัง “มีเงื่อนไข” แบบกรณีของ วัฒนา เมืองสุข หรือคนอื่น ซึ่งเวลานี้ก็คาดเดาได้ไม่ผิด เพราะกลุ่มพลเมืองโต้กลับได้เคลื่อนไหวเรียกร้องให้ปล่อยตัว วัฒนา โดยนัดชุมนุมกันทุกเย็น จากนั้นจะนัดชุมนุมใหญ่ทุกเย็นวันศุกร์ ซึ่งรายการแบบนี้แหละขึ้นอยู่กับการควบคุมอารมณ์และการควบคุมสถานการณ์ของทางฝ่ายรัฐ ซึ่งก็คือฝ่ายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพราะอย่างที่ประเมินกันแล้วว่าสถานการณ์หลังสงกรานต์เป็นต้นไป จะร้อนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ หากควบคุมไม่ดี โอกาส “ป่วน” ก็มีได้ทุกเมื่อ
หากจะพูดว่าสำหรับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เริ่มเข้าสู่โจทย์ยากขึ้นเรื่อย ๆ และอึดอัดขึ้นเรื่อย ๆ เพราะจะมีรายการยั่วยุให้จับแบบนี้ต่อไปถี่ยิบเรื่อย ๆ ประเภทยั่วให้จับยั่วให้ปราบ ต้องการทำให้บิ๊ก คสช. ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ทำให้เกิด “สติแตก” ให้ได้
ที่บอกว่าจะเจองานยาก เพราะเมื่อพิจารณาตามตารางปฏิทินเวลาก็ถือว่าใกล้นับถอยหลังสำหรับการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่กำหนดเอาไว้ในวันที่ 7 สิงหาคม เพราะหากพิจารณากันแบบแคบ ๆ เอากันเฉพาะพรรคเพื่อไทย และครอบครัว ทักษิณ ชินวัตร ที่ถือว่าได้รับผลกระทบโดยตรงจากเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จากคุณสมบัติที่เคยถูกตัดสินว่า “โกง” ทำให้ต้องถูกห้ามลงสนามการเมืองตลอดชีวิต ดังนั้น ถือว่ามี “เดิมพันสูง” ต้องคว่ำ ขณะเดียวกัน หากพิจารณากันตามความเป็นจริงร่างฉบับนี้ก็ให้สิทธิ์กับประชาชนน้อยกว่าเดิมหากเทียบกับฉบับปี 40 หรือปี 50 โดยเฉพาะเนื้อหาในบทเฉพาะกาลที่เปิดช่องให้มี ส.ว. แต่งตั้ง และร่วมโหวตนายกฯคนนอก ด้วยเงื่อนไขแบบนี้แหละมันก็จะกลายเป็นเงื่อนไขให้เกิดการขยายผลกันได้ไม่ยาก
เพราะในความเป็นจริงบรรยากาศยามนี้ ก็ต้องบอกว่าเป็น “เผด็จการเต็มขั้น” พิจารณาจากองค์ประกอบแล้วใช่เลย ทั้งการรัฐประหาร ร่างรัฐธรรมนูญโดยคำสั่งคณะรัฐประหาร คำสั่งห้ามการรณรงค์ค้านรับร่างรัฐธรรมนูญถูกมองว่าเป็นการปิดปากมัดมือชก ดังนั้น ยิ่งใกล้ถึงวันดีเดย์บรรยากาศก็ยิ่งเครียด
นั่นเป็นบรรยากาศภายใน ที่รับรองว่าจะต้องเข้มข้น โดยเฉพาะแผนยั่งยุให้จับ ยั่วให้ป่วนมากขึ้นทุกวัน ขึ้นอยู่กับว่าทางฝ่ายรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะสามารถควบคุมอารมณ์ได้มากแค่ไหน หากหลงไปตามเกม หรือประเมินสถานการณ์ผิดคิดว่าตัวเองมีฐานมวลชนแน่นปึ้ก จนทำให้เหลิงคิดจะทำอะไรก็ได้ มันก็มีโอกาสพลิกได้ทุกเมื่อที่สำคัญอย่าทำลายศรัทธาของประชาชนเป็นอันขาด
ขณะเดียวกัน ที่บอกว่าเป็นงานยากอีกอย่างหนึ่งแบบน่าจับตาก็คือแรงกดดันจากนานาชาติ ที่เวลานี้กำลังถูกดึงเข้ามาเป็นตัวช่วย แม้ว่าอาจยังไม่ถึงขั้นพลิก แต่มีโอกาสผสมโรงให้ป่วนได้ตลอดเวลา เอาเป็นอย่าพลาดก็แล้วกัน !!
