ผู้จัดการรายวัน360 - "ไพบูลย์” ยื่น มส.เอาผิด “สมเด็จช่วง” ละเมิดธรรมวินัย พบสั่งจ่ายเช็ค 1 ล้านบาทค่าเบนซ์หรูให้ “อู่วิชาญ” พร้อมลงนามยื่นจดทะเบียนด้วยตัวเองด้วย ด้าน “ดีเอสไอ” ไม่ขัด “ธัมมชโย” ขอเลื่อนพบ พนง.สอบสวนคดีฟอกเงิน-รับของโจร นัดอีกหน 25 เม.ย.นี้ “บิ๊กต๊อก” ชี้เรื่องปกติทำได้ทุกคดี แต่ถ้าเลื่อน 3 ครั้งเจอหมายจับ ด้าน “ทนายวัดปากน้ำ” เผยศาลนัดพร้อมคดีฟ้องอู่เบนซ์ 25 เม.ย.นี้เหมือนกัน
วานนี้ (7 เม.ย.) เวลา 13.30 น. ที่ สำนักงานมหาเถรสมาคม (มส.) พุทธมลฑล จ.นครปฐม นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เดินทางมายื่นหนังสือคำร้องต่อคณะกรรมการ มส. ถึงการล่วงละเมิดพระธรรมวินัยของ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญโญ) ประธานกรรมการ มส. โดยมี นายสมชาย สุรชาตรี ผู้ตรวจการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือ
** แฉ “สมเด็จช่วง” เซ็นเช็คค่าเบนซ์เอง
โดย นายไพบูลย์ ระบุว่า สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ได้กระทำผิดล่วงละเมิดพระธรรมวินัย โดยเป็นผู้ลงนามสั่งจ่ายเช็คจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน ของธนาคารกรุงเทพ สาขาตลาดพลู ฉบับลงวันที่ 13 ธ.ค.2553 จำนวนเงิน 1 ล้านบาท ให้กับอู่วิชาญ เพื่อเป็นการชำระค่าซื้อรถยนต์ ยี่ห้อ เมอร์ซิเดส เบนซ์ รุ่น 300 ดี คาบิโอเลต ปี 1958 ทะเบียน ขม 99 กทม.ที่ถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุว่าเป็นรถนำเข้าผิดกฎหมายหลายประการไปเมื่อไม่นานมานี้ อีกทั้งสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ยังเป็นผู้ลงนามยื่นขอจดทะเบียนต่อกรมขนส่งทางบกด้วยตนเองอีกด้วย โดยปรากฏหลักฐานในสมุดคู่มือจดทะเบียนของกรมขนส่งทางบกเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค.2554 ซึ่งตรงกับวันเกิดของด้วยตนเอง
“การกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้สมเด็จช่วงกระทำการล่วงละเมิดพระธรรมวินัย 3 ประการ ประกอบด้วย 1.การได้รับเงินและสะสมไว้ในบัญชีธนาคาร ซึ่งเป็นการล่วงละเมิดพระวินัยสิกขาบทที่ 8 ห้ามรับเงินทอง 2.นำเงินของตนเองที่มีอยู่ในบัญชีธนาคาร ไปซื้อรถเบนซ์เป็นการล่วงพระวินัยสิกขาบทที่ 9 ห้ามทำการซื้อขายด้วย รูปิยะ (ทอง,เงินหรือสิ่งที่มช้แลกเปลี่ยนแทนเงินที่กำหนดให้ใช้ได้ทั่วไปในที่นั้นๆ) และ 3.การยื่นขอจดทะเบียนรถ โดยรถเบนซ์คันดังกล่าวเป็นรถผิดกฎหมาย จึงขอให้ มส.พิจารณาสั่งรับคำร้องกล่าวหาไว้พิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริง” นายไพบูลย์ กล่าว
** “ดีเอสไอ” ไม่ขัดให้ “ธัมมชโย” เลื่อน
วันเดียวกัน ทีมโฆษกดีเอสไอ ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับความคืบหน้าในการออกหมายเรียกพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เพื่อให้มารับทราบข้อกล่าวหาในความผิดฐานสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร ในคดีพิเศษที่ 27/2559 กรณีรับเงินที่ได้จากการยักยอกทรัพย์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่สำนักคดีการเงินการธนาคาร กรมสอบสวนคดีพิเศษ ในวันที่ 8 เม.ย.59 เวลา 09.00 น. โดยระบุว่า นายสัมพันธ์ เสริมชีพ ทนายความของพระเทพญาณมหามุนี ได้มีหนังสือฉบับลงวันที่ 5 เม.ย.59 แจ้งว่า ช่วงเดือน เม.ย. พระเทพญาณมหามุนี ติดศาสนกิจ และมีพิธีกรรมทางศาสนาอีกหลายประการ จึงขอเลื่อนการไปพบพนักงานสอบสวน เป็นหลังเดือน เม.ย.59
“พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ จึงได้ร่วมหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาในรายละเอียด โดยเห็นว่ามีเหตุสมควรให้เลื่อนและให้มารับทราบข้อกล่าวหาอีกครั้ง ในวันที่ 25 เม.ย.59 เวลา 09.00 น. ที่สำนักคดีการเงินการธนาคาร และมอบหมายให้หัวหน้าพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกครั้งที่ 2 ไปยังพระเทพญาณมหามุนีให้มารับทราบข้อกล่าวหาในวัน เวลาดังกล่าว ต่อไป” แถลงการณ์ ระบุ
** “บิ๊กต๊อก” บอกเลื่อนได้ไม่ผิดปกติ
ขณะที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า การขอเลื่อนเข้าพบพนักงานสอบสวนสามารถขอเลื่อนได้ และเป็นเรื่องที่อธิบดีดีเอสไอจะพิจารณา ไม่ใช่คดีนี้คดีเดียว คดีอื่นหากจำเป็นก็เลื่อนได้เช่นกัน อย่ามองเป็นเรื่องผิดปกติไปหมด ทั้งนี้ในการขอเลื่อนนั้นก็จะมีกำหนดเวลาด้วย เพราะพนักงานสอบสวนจะเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหา 2 ครั้ง และครั้งที่ 3 ก็มาว่ากันอีกที
“ถ้าขอเลื่อนแล้วจะมีขั้นตอนเลื่อนได้กี่วัน ครั้งต่อไปจะทำอย่างไร โดยทางขั้นตอน สามารถขอเลื่อนการให้ปากคำได้ 2 ครั้ง แต่ถ้าถึงครั้งที่ 3 ต้องขออำนาจศาลออกหมายจับ” พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว
** ศาลนัด “พระแป๊ะ - อู่วิชาญ” 25 เม.ย.
อีกด้าน นายสุรพงษ์ สิทธิกรณ์ ทนายความ พระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส และพระเลขานุการสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ซึ่งมีชื่อเกี่ยวพันในคดีครอบครองและนำเข้ารถเบนซ์โบราณผิดกฎหมาย เปิดเผยว่า ในวันที่ 25 เม.ย.59 เวลา 13.30 น. ศาลจังหวัดตลิ่งชัน ได้นัดพร้อมคู่ความ เพื่อกำหนดแนวทางไต่สวนในคดีที่พระมหาศาสนมุนี ฟ้องดำเนินคดีแพ่ง เรียกค่าเสียหายเป็นจำนวน 10 ล้านบาท ต่อ นายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่วิชาญ โดยในวันดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายต้องเดินทางไปยังศาล ซึ่งคดีนี้จะถือว่าเป็นการพิสูจน์ว่า รถเบนซ์โบราณคันดังกล่าว ทางวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และหากมีบทสรุปของคดีนี้เมื่อไร ก็จะนำเอาข้อเท็จจริง ไปต่อสู้กับคดีที่ดีเอสไอทำอยู่ เพราะถือว่าเป็นหลักฐานสำคัญ.