โดย...ไพรัตน์ แย้มโกสุม
“เหา” แมลงขนาดเล็ก เกาะอาศัยอยู่ตามขนและผม ดูดเลือดเป็นอาหาร “เห็บ” สัตว์ตัวแบนรีคล้ายเมล็ดกระถินแห้ง สีน้ำตาลเข้ม อาศัยดูดเลือดจากสัตว์เป็นอาหาร
เหากับเห็บเป็นสัตว์เหมือนกัน ดูดเลือดเหมือนกัน ต่างกันเพียงว่า เหาหากินบนที่สูง เช่น หัวคน เป็นต้น ส่วนเห็บหากินในที่ต่ำตาม วัว ควาย หมา เป็นอาทิ
แม้มันจะดูดเลือดคน โดยเฉพาะเหาคนก็ยังแสวงหามัน เอามาเก็บไว้บนหัว เช่น พวกเด็กๆ ชอบหาเหาใส่หัวเพื่อน แล้วก็เป็นภาระคนใหญ่ช่วยกันหาเหาออกจากหัวเด็ก เป็นภาวะธรรมดาของคนสกปรก เหามักอยู่และขยายพันธุ์กับคนสกปรก ส่วนคนสะอาดเหาไม่ชอบเลยปลอดจากเหาเป็นธรรมดา
หาเหาใส่หัว
“หาเหาใส่หัว” หมายถึงเข้าไปยุ่งจนเดือดร้อนถึงตัว หรือหาเรื่องใส่ตัว
คนเรานี่ก็แปลก อยู่ดีๆ ไม่ชอบ ชอบหาเรื่องใส่ตัว สร้างปัญหา แล้วก็แก้ปัญหา
ดูๆ ไปก็เหมือนเด็กๆ ที่ทำตัวสกปรกจนเกิดเหาบนหัว หรือไม่ก็หาเหาใส่หัวให้กันและกัน แล้วเป็นภาระของผู้ใหญ่ช่วยกันแก้ปัญหา หาเหาออกจากหัวเด็ก มิเช่นนั้นเด็กๆ ก็จะถูกเหาดูดเลือดจนผอมตายเป็นแน่
เนี่ยเป็นการหาเหาใส่หัวระดับจิ๊บๆ มีผลกระทบเล็กๆ น้อยๆ ในวงแคบๆ
การหาเหาใส่หัวหรือหาเรื่องใส่ตัวระดับบิ๊กๆ มีผลกระทบต่อตน และสังคมประเทศชาติอย่างมหาศาล ก็มีอยู่มากมายอย่างเช่น...รัฐบาลชุดนี้กำลังจะล้างมาเฟียให้สิ้นซาก
ตามมาตรการปราบปรามมาเฟียของ สตช.จะมีคณะกรรมการคัดเลือกรายชื่อบุคคลที่เข้าข่ายกระทำความผิด เข้าข่ายเป็นผู้มีอิทธิพลราว 1,000-6,000 คน โดยจัดอยู่ในกลุ่มฐาน 16 ความผิด ประกอบด้วย...
1. ยาเสพติด
2. ฮั้วประมูลงาน
3. การเรียกร้องผลประโยชน์จากโรงงานและสถานบริการ
4. คิวมอเตอร์ไซค์ รถรับจ้างที่ผิดกฎหมาย
5.ลักลอบขนสินค้าหนีภาษี น้ำมันเถื่อน
6. บ่อนการพนัน หวยใต้ดิน
7. ลักลอบค้าหญิงและเด็ก
8. หลอกลวงคนไปทำงานต่างประเทศ
9. ลักลอบนำเข้า-ออกประเทศ
10. หลอกลวงต้มตุ๋นนักท่องเที่ยว
11. มือปืนรับจ้าง
12. ทวงหนี้ข่มขู่
13. ค้าอาวุธ
14. บุกรุกที่สาธารณะ
15. เรียกค่าคุ้มครองในที่สาธารณะ เส้นทางหลวง หรือเก็บส่วย
16. นายทุนปล่อยกู้นอกระบบ
โดยพื้นที่เป้าหมายที่กำหนดเป็นโซนสีแดง ที่ต้องจับตามากที่สุดคือ เขตภาคกลางที่จัดว่ามีกลุ่มผู้มีอิทธิพลมากที่สุด
การปราบปรามจะต้องเห็นผล ไม่เพียงแต่ปราบปรามผู้มีอิทธิพลอย่างเดียว แต่ตำรวจก็ต้องปัดกวาดถูบ้านของตัวเองด้วย “บิ๊กแป๊ะ” สารภาพชัดคล้ายจะบอกต่อสังคมว่า ตำรวจไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เท่านั้น แต่มีงานพาร์ตไทม์ที่ทำรายได้ดีกว่างานประจำเสียอีก คือเป็นผู้มีอิทธิพลด้วย เป็นคำสารภาพเดียวกันกับที่บิ๊ก คสช.ที่ว่า ถึงเวลาทหารต้องเลิกเข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลได้แล้ว
เป็นคำสารภาพต่อสังคมว่า คนในเครื่องแบบสีกากี สีเขียว นี่แหละคือ กลุ่มผู้มีอิทธิพลที่ล้างเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด
...(ผู้จัดการ 360 ํ สุดสัปดาห์ ฉบับ 12-18 มีนาคม 2559 หน้า 21)
บุคคลผู้เข้าข่าย 16 ฐานความผิดมาเฟีย ถือว่าหาเหาใส่หัวตัวเอง ตอนนี้รัฐกำลังจะเอาเหาออกจากหัว ย่อมเจ็บบ้างก็ทนเอา
หาเหาใส่หัว หรือหาเรื่องใส่ตัว เหตุเกิดที่ตน มีผลกระทบต่อตนและคนอื่น การแก้ปัญหานี้ต้องแก้ให้ถูกจุด คือตรงเหตุเกิด ก็คือตนเองนั่นแล ตัวเองต้องเป็นคนสะอาด โปร่งใส ตรงไปตรงมา ไม่ลูบหน้าปะจมูก มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม จึงจะรู้ทันคน และไม่ตกเป็นเหยื่อของใครง่ายๆ หัวก็จะว่างเปล่าจากเหา
เอาตัวกลั้วทุกข์
“อรหัง” พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เป็นผู้ไกลจากกิเลส...เราเหล่าพุทธบริษัททั้งหลาย ก็ควรเป็นผู้ไกลจากกิเลสอย่างพระองค์บ้าง
กิเลส คือสภาพที่ทำให้จิตเศร้าหมอง เช่น โลภะ โทสะ โมหะ 3 ตัวนี้จัดเป็นตัวพ่อ-ตัวแม่ และมีตัวอื่นๆ ที่แห่แหนตามมา...มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ เป็นอาทิ
กิเลส คือความทุกข์ เราไม่ควรเอาตัวไปเกลือกกลั้วกับความทุกข์
“เห็นโทษภัยสิ่งใด-พึงห่างไกลสิ่งนั้น” นี่คือ...มอตโตเตือนจิต-พิชิตความทุกข์
หลายเรื่องหลายราว นานาปัญหา พิจารณาดูเถิด คนเราหยุดไม่เป็น วิ่งตามกระแสแห่ทุกข์ เอาตัวไปเกลือกกลั้วทุกข์ หรือหาเรื่องใส่ตัวด้วยกันทั้งนั้น
ชอบเห็นหนี้เป็นสิน ทั้งที่รู้ว่าความเป็นหนี้คือทุกข์ที่สุดในโลก
ชอบเล่นการพนัน เช่น หวยบนดิน หวยใต้ดิน ทั้งที่รู้ว่าการพนันคืออบายมุข และอบายมุขคือทางแห่งความฉิบหาย รู้แสนรู้ก็ยังเกลือกกลั้วมันอยู่ แล้วจะมีความสุขได้อย่างไร?
ชีวิตหมดสุข
รัฐบาลชุดนี้มีวาทกรรมคืนความสุขให้ประชาชน เพราะเห็นว่าประชาชนมีความทุกข์ นับว่าเป็นความคิดและการกระทำที่ดี ถ้าความคิดและการกระทำนั้นถูกต้อง และทำจริง
ความถูกต้องนั้นก็คือ ไม่เบียดเบียนตนและคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ
“ภาคประชาชนได้วิเคราะห์ขาดตั้งแต่ต้นแล้ว และเลือกที่จะไม่เชื่อคำพูดของ คสช.เพราะเห็นความตั้งอกตั้งใจคืนความสุขให้กลุ่มทุนของ คสช.มาหลายครั้งหลายครา ตั้งแต่การใช้อำนาจตามมาตรา 44 ปลดล็อกผังเมืองเพื่อนายทุน เลือกเปิดทางให้เอกชนเช่าที่ดิน 99 ปีจนมาถึงล่าสุด ลัดขั้นตอนอีไอเอ (รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม)”
...(ผู้จัดการ 360 ํ สุดสัปดาห์ ฉบับ 12-18 มีนาคม 2559 หน้า 9)
ถ้าเป็นจริงอย่างวิเคราะห์ ก็เรียบร้อยโรงเรียนโลภะวิทยา ละซิ เพราะการคืนความสุขให้ประชาชนที่ย้ำแล้วย้ำเล่า ก็เท่ากับคืนความสุขให้กลุ่มทุนที่มีความเบียดเบียนเป็นสรณะ บนรากเน่าของอกุศลมูล...โลภน้อย-เบียดเบียนน้อย โลภมาก-เบียดเบียนมาก ประชาชนคนส่วนมากก็จะมีแต่ความทุกข์สรรพชีวิตรังแต่จะทวีความทุกข์ยิ่งขึ้น
ชีวิตที่มีความสุข ต้องเป็นอย่างนี้...
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นับตั้งแต่วันขึ้นครองราชย์ จวบจนกระทั่งปัจจุบัน มีโครงการต่างๆ ในพระราชดำริของพระองค์ประมาณ 4,000 โครงการ แต่ละโครงการล้วนเลิศล้ำเป็นประโยชน์สุขแก่ประชาชนทั่วทั้งแผ่นดินทั้งสิ้น
โครงการหนึ่งในสี่พันโครงการที่คนไทยรู้จักดี และกำลังโด่งดังไปทั่วโลก เพื่อพลิกโลกกลับมาอยู่กับความเป็นจริง นั่นคือ... “เศรษฐกิจพอเพียง”
พระองค์ตรัสว่า... “คำว่า พอเพียง มีความหมายว่า พอกิน เศรษฐกิจพอเพียง หมายความว่า ผลิตอะไร มีพอที่จะใช้ ไม่ต้องขอยืมคนอื่น อยู่ได้ด้วยตนเอง แปลงจากภาษาฝรั่งได้ว่า ให้ยืนบนขาตัวเองหมายความว่า สองขาของเรายืนอยู่บนพื้นได้ ไม่หกล้ม ไม่ต้องขอยืมของคนอื่น เพื่อที่จะยืนอยู่
คำว่า พอ คนเราถ้าพอในความต้องการ มันก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย
พอเพียง อาจมีมาก อาจมีของหรูก็ได้ แต่ต้องไม่เบียดเบียนคนอื่น
พอเพียง คืออยู่ได้ด้วยตนเอง ไม่เบียดเบียนใคร”
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นห่วงเป็นใยในทรัพยากรธรรมชาติป่าไม้ของไทย นับวันจะวิกฤตยิ่งขึ้น พระองค์ตรัสว่า...
“ถ้าในหลวงเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า ป่าที่ถวายความจงรักภักดีต่อน้ำ...พระเจ้าอยู่หัว สร้างอ่างเก็บน้ำ ฉันจะสร้างป่า”
และ...พระเจ้าอยู่หัว ทรงตรัสว่า... “ป่าคือต้นน้ำ...น้ำคือชีวิต”
พระราชดำริทั้งสองพระองค์ ต่างก็ทรงเห็นตรงกันว่า “ป่าและน้ำ คือชีวิต”
ชีวิตจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ก็ต้องอาศัยป่าและน้ำ เมื่อมีป่าและน้ำ ก็ทำมาหากินได้ เมื่อมีอยู่มีกินก็พึ่งตนเองได้ ไม่เบียดเบียนใคร นั่นแหละคือความสุข
การคืนความสุขให้คนในชาติ ก็คือให้เขาพึ่งตนเองได้
ระบบเศรษฐกิจที่ทำให้คนพึ่งตนเองได้ ก็เห็นมีแต่ “เศรษฐกิจพอเพียง” ของพระองค์ท่านเท่านั้น ระบบเศรษฐกิจต่างๆ ในโลกที่นิยมกัน เชิดชูกัน ก็พึ่งตนเองได้อยู่ แต่เป็นคนส่วนน้อย คือเจ้าของทุนที่เขาทำทุกอย่างเพื่อกำไร กำไรมาก คือเก่ง ก้าวหน้า สำเร็จ มีหน้ามีตา
กำไรก็คือความโลภ คนโลภไม่เบียดเบียน-ไม่มี โลภมาก ก็เบียดเบียนมาก
เศรษฐีอันดับต้นๆ มีที่ดินเป็นแสนๆ ไร่ นั่นคือใบเสร็จว่าโลภมาก เขามีไปทำไม มหาศาลปานนั้น คำตอบก็คือ สมองความโลภของเขา
ไม่ว่าสังคมขนาดเล็ก เช่น ครอบครัว หรือสังคมขนาดใหญ่ เช่น ประเทศชาติ หากยังมีความคิด และการกระทำแบบโลภๆ อยู่ มันก็คือ การหาเหาใส่หัว หรือหาเรื่องใส่ตัว
เนื่องเพราะความโลภ คือการเบียดเบียน
การเบียดเบียนคือการทำให้ชีวิตหมดสุข ดั่งการติดคุก หรือสร้างคุกขังตัวเอง
สร้างคุกขังตน
“คุกขังเขาได้ แต่หัวใจอย่างปรารถนา เกิดมาเข่นฆ่าอธรรม” คือวรรคทองของผู้กล้า ซึ่งเป็นนักคิด นักเขียน มีอุดมการณ์ท่านหนึ่ง
หมายความว่า คุกขังเขาได้แต่ภายนอก ส่วนภายในคือหัวใจ ไม่มีอะไรจะขังเขาได้ เขายังโบยบินหาอิสรภาพ หาประสบการณ์แห่งท้องฟ้า หาวิธีขจัดคนชั่วมิให้มีอำนาจมาปกครองบ้านเมือง มิให้คนชั่วสร้างกฎหมายเพื่อคนชั่ว จะได้ชูคอล่อเหยื่อต่อๆ ไป ขณะเดียวกันก็พยายามหาวิธีส่งเสริมคนดี ให้มีที่ยืนในสังคม ให้มีโอกาสปกครองบ้านเมือง เพื่อสันติสุขแห่งมหาชนทั้งมวล
“ขังได้แต่ภายนอก ส่วนภายในขังไม่ได้” นั่นเป็นเพียงคุกระดับปานกลาง แต่ยังมีคุกที่หนักกว่านั้น นั่นคือคุกภายใน
คุกภายนอก ขังเขาไม่ได้หรอก อย่างมากก็แค่รอลงอาญา ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคมได้อย่างปกติ แต่คุกภายในนี่สิสาหัสสากรรจ์นัก เขาสร้างมันขึ้นมาเอง มิเช่นนั้น จะมีผู้นำระดับโลก เศรษฐีระดับโลกฆ่าตัวตายอยู่บ่อยๆ หรือแม้จะไม่ถึงฆ่าตัวตาย แต่ก็สุดทรมาน เพราะกรรมชั่ว มาจากรากชั่ว มันหลอกหลอนและหอนเห่าอยู่ตลอดเวลา
“คิดชั่ว-ทำชั่ว” ไม่ใช่ของล้อเล่นนะ มันถูกเก็บถูกสะสมไว้ในจิต พร้อมที่จะสำแดงผลตลอดเวลา เป็นการฆ่าตัวเองโดยตัวเอง
ไม่อยากสร้างคุกขังตน ก็พลิกใจซะ พลิกไปสู่ “คิดดี-ทำดี” คิดถึงมันเมื่อไหร่ ก็สุขใจและเบิกบานใจเมื่อนั้น
“คืนความสุขให้ประชาชน” นี่คือคิดดี แต่กระบวนการทำนั้น มันตกถึงประชาชนหรือเปล่า หรือตกถึงเฉพาะนายทุนผูกขาด-ฉลาดเบียดเบียนเท่านั้น ถ้าเป็นดังกล่าว ความคิดดีๆ วาทกรรมเด่นๆ ก็จะกลายเป็นสร้างคุกขังตน หรือหาอภิเหาใส่หัวดูดเลือด ทั้งของตัวเอง และมวลประชาชน
“หาเหาใส่หัว
เอาตัวกลั้วทุกข์
ชีวิตหมดสุข
สร้างคุกขังตน”
ไม่มีใครอยากได้ทุกข์ มีแต่คนอยากได้สุข อยากได้สิ่งใด ก็สร้างเหตุสิ่งนั้น อยากได้ทุกข์ ก็สร้างเหตุแห่งทุกข์ อยากได้สุข ก็สร้างเหตุแห่งสุข
เหตุแห่งทุกข์ เช่น หาเหาใส่หัว เป็นต้น
เหตุแห่งสุข เช่น พอเพียง เป็นอาทิ เพราะ...
พอเพียง เป็นสุขเย็นที่เห็นธรรม
“เหา” แมลงขนาดเล็ก เกาะอาศัยอยู่ตามขนและผม ดูดเลือดเป็นอาหาร “เห็บ” สัตว์ตัวแบนรีคล้ายเมล็ดกระถินแห้ง สีน้ำตาลเข้ม อาศัยดูดเลือดจากสัตว์เป็นอาหาร
เหากับเห็บเป็นสัตว์เหมือนกัน ดูดเลือดเหมือนกัน ต่างกันเพียงว่า เหาหากินบนที่สูง เช่น หัวคน เป็นต้น ส่วนเห็บหากินในที่ต่ำตาม วัว ควาย หมา เป็นอาทิ
แม้มันจะดูดเลือดคน โดยเฉพาะเหาคนก็ยังแสวงหามัน เอามาเก็บไว้บนหัว เช่น พวกเด็กๆ ชอบหาเหาใส่หัวเพื่อน แล้วก็เป็นภาระคนใหญ่ช่วยกันหาเหาออกจากหัวเด็ก เป็นภาวะธรรมดาของคนสกปรก เหามักอยู่และขยายพันธุ์กับคนสกปรก ส่วนคนสะอาดเหาไม่ชอบเลยปลอดจากเหาเป็นธรรมดา
หาเหาใส่หัว
“หาเหาใส่หัว” หมายถึงเข้าไปยุ่งจนเดือดร้อนถึงตัว หรือหาเรื่องใส่ตัว
คนเรานี่ก็แปลก อยู่ดีๆ ไม่ชอบ ชอบหาเรื่องใส่ตัว สร้างปัญหา แล้วก็แก้ปัญหา
ดูๆ ไปก็เหมือนเด็กๆ ที่ทำตัวสกปรกจนเกิดเหาบนหัว หรือไม่ก็หาเหาใส่หัวให้กันและกัน แล้วเป็นภาระของผู้ใหญ่ช่วยกันแก้ปัญหา หาเหาออกจากหัวเด็ก มิเช่นนั้นเด็กๆ ก็จะถูกเหาดูดเลือดจนผอมตายเป็นแน่
เนี่ยเป็นการหาเหาใส่หัวระดับจิ๊บๆ มีผลกระทบเล็กๆ น้อยๆ ในวงแคบๆ
การหาเหาใส่หัวหรือหาเรื่องใส่ตัวระดับบิ๊กๆ มีผลกระทบต่อตน และสังคมประเทศชาติอย่างมหาศาล ก็มีอยู่มากมายอย่างเช่น...รัฐบาลชุดนี้กำลังจะล้างมาเฟียให้สิ้นซาก
ตามมาตรการปราบปรามมาเฟียของ สตช.จะมีคณะกรรมการคัดเลือกรายชื่อบุคคลที่เข้าข่ายกระทำความผิด เข้าข่ายเป็นผู้มีอิทธิพลราว 1,000-6,000 คน โดยจัดอยู่ในกลุ่มฐาน 16 ความผิด ประกอบด้วย...
1. ยาเสพติด
2. ฮั้วประมูลงาน
3. การเรียกร้องผลประโยชน์จากโรงงานและสถานบริการ
4. คิวมอเตอร์ไซค์ รถรับจ้างที่ผิดกฎหมาย
5.ลักลอบขนสินค้าหนีภาษี น้ำมันเถื่อน
6. บ่อนการพนัน หวยใต้ดิน
7. ลักลอบค้าหญิงและเด็ก
8. หลอกลวงคนไปทำงานต่างประเทศ
9. ลักลอบนำเข้า-ออกประเทศ
10. หลอกลวงต้มตุ๋นนักท่องเที่ยว
11. มือปืนรับจ้าง
12. ทวงหนี้ข่มขู่
13. ค้าอาวุธ
14. บุกรุกที่สาธารณะ
15. เรียกค่าคุ้มครองในที่สาธารณะ เส้นทางหลวง หรือเก็บส่วย
16. นายทุนปล่อยกู้นอกระบบ
โดยพื้นที่เป้าหมายที่กำหนดเป็นโซนสีแดง ที่ต้องจับตามากที่สุดคือ เขตภาคกลางที่จัดว่ามีกลุ่มผู้มีอิทธิพลมากที่สุด
การปราบปรามจะต้องเห็นผล ไม่เพียงแต่ปราบปรามผู้มีอิทธิพลอย่างเดียว แต่ตำรวจก็ต้องปัดกวาดถูบ้านของตัวเองด้วย “บิ๊กแป๊ะ” สารภาพชัดคล้ายจะบอกต่อสังคมว่า ตำรวจไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เท่านั้น แต่มีงานพาร์ตไทม์ที่ทำรายได้ดีกว่างานประจำเสียอีก คือเป็นผู้มีอิทธิพลด้วย เป็นคำสารภาพเดียวกันกับที่บิ๊ก คสช.ที่ว่า ถึงเวลาทหารต้องเลิกเข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลได้แล้ว
เป็นคำสารภาพต่อสังคมว่า คนในเครื่องแบบสีกากี สีเขียว นี่แหละคือ กลุ่มผู้มีอิทธิพลที่ล้างเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด
...(ผู้จัดการ 360 ํ สุดสัปดาห์ ฉบับ 12-18 มีนาคม 2559 หน้า 21)
บุคคลผู้เข้าข่าย 16 ฐานความผิดมาเฟีย ถือว่าหาเหาใส่หัวตัวเอง ตอนนี้รัฐกำลังจะเอาเหาออกจากหัว ย่อมเจ็บบ้างก็ทนเอา
หาเหาใส่หัว หรือหาเรื่องใส่ตัว เหตุเกิดที่ตน มีผลกระทบต่อตนและคนอื่น การแก้ปัญหานี้ต้องแก้ให้ถูกจุด คือตรงเหตุเกิด ก็คือตนเองนั่นแล ตัวเองต้องเป็นคนสะอาด โปร่งใส ตรงไปตรงมา ไม่ลูบหน้าปะจมูก มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม จึงจะรู้ทันคน และไม่ตกเป็นเหยื่อของใครง่ายๆ หัวก็จะว่างเปล่าจากเหา
เอาตัวกลั้วทุกข์
“อรหัง” พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เป็นผู้ไกลจากกิเลส...เราเหล่าพุทธบริษัททั้งหลาย ก็ควรเป็นผู้ไกลจากกิเลสอย่างพระองค์บ้าง
กิเลส คือสภาพที่ทำให้จิตเศร้าหมอง เช่น โลภะ โทสะ โมหะ 3 ตัวนี้จัดเป็นตัวพ่อ-ตัวแม่ และมีตัวอื่นๆ ที่แห่แหนตามมา...มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ เป็นอาทิ
กิเลส คือความทุกข์ เราไม่ควรเอาตัวไปเกลือกกลั้วกับความทุกข์
“เห็นโทษภัยสิ่งใด-พึงห่างไกลสิ่งนั้น” นี่คือ...มอตโตเตือนจิต-พิชิตความทุกข์
หลายเรื่องหลายราว นานาปัญหา พิจารณาดูเถิด คนเราหยุดไม่เป็น วิ่งตามกระแสแห่ทุกข์ เอาตัวไปเกลือกกลั้วทุกข์ หรือหาเรื่องใส่ตัวด้วยกันทั้งนั้น
ชอบเห็นหนี้เป็นสิน ทั้งที่รู้ว่าความเป็นหนี้คือทุกข์ที่สุดในโลก
ชอบเล่นการพนัน เช่น หวยบนดิน หวยใต้ดิน ทั้งที่รู้ว่าการพนันคืออบายมุข และอบายมุขคือทางแห่งความฉิบหาย รู้แสนรู้ก็ยังเกลือกกลั้วมันอยู่ แล้วจะมีความสุขได้อย่างไร?
ชีวิตหมดสุข
รัฐบาลชุดนี้มีวาทกรรมคืนความสุขให้ประชาชน เพราะเห็นว่าประชาชนมีความทุกข์ นับว่าเป็นความคิดและการกระทำที่ดี ถ้าความคิดและการกระทำนั้นถูกต้อง และทำจริง
ความถูกต้องนั้นก็คือ ไม่เบียดเบียนตนและคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ
“ภาคประชาชนได้วิเคราะห์ขาดตั้งแต่ต้นแล้ว และเลือกที่จะไม่เชื่อคำพูดของ คสช.เพราะเห็นความตั้งอกตั้งใจคืนความสุขให้กลุ่มทุนของ คสช.มาหลายครั้งหลายครา ตั้งแต่การใช้อำนาจตามมาตรา 44 ปลดล็อกผังเมืองเพื่อนายทุน เลือกเปิดทางให้เอกชนเช่าที่ดิน 99 ปีจนมาถึงล่าสุด ลัดขั้นตอนอีไอเอ (รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม)”
...(ผู้จัดการ 360 ํ สุดสัปดาห์ ฉบับ 12-18 มีนาคม 2559 หน้า 9)
ถ้าเป็นจริงอย่างวิเคราะห์ ก็เรียบร้อยโรงเรียนโลภะวิทยา ละซิ เพราะการคืนความสุขให้ประชาชนที่ย้ำแล้วย้ำเล่า ก็เท่ากับคืนความสุขให้กลุ่มทุนที่มีความเบียดเบียนเป็นสรณะ บนรากเน่าของอกุศลมูล...โลภน้อย-เบียดเบียนน้อย โลภมาก-เบียดเบียนมาก ประชาชนคนส่วนมากก็จะมีแต่ความทุกข์สรรพชีวิตรังแต่จะทวีความทุกข์ยิ่งขึ้น
ชีวิตที่มีความสุข ต้องเป็นอย่างนี้...
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นับตั้งแต่วันขึ้นครองราชย์ จวบจนกระทั่งปัจจุบัน มีโครงการต่างๆ ในพระราชดำริของพระองค์ประมาณ 4,000 โครงการ แต่ละโครงการล้วนเลิศล้ำเป็นประโยชน์สุขแก่ประชาชนทั่วทั้งแผ่นดินทั้งสิ้น
โครงการหนึ่งในสี่พันโครงการที่คนไทยรู้จักดี และกำลังโด่งดังไปทั่วโลก เพื่อพลิกโลกกลับมาอยู่กับความเป็นจริง นั่นคือ... “เศรษฐกิจพอเพียง”
พระองค์ตรัสว่า... “คำว่า พอเพียง มีความหมายว่า พอกิน เศรษฐกิจพอเพียง หมายความว่า ผลิตอะไร มีพอที่จะใช้ ไม่ต้องขอยืมคนอื่น อยู่ได้ด้วยตนเอง แปลงจากภาษาฝรั่งได้ว่า ให้ยืนบนขาตัวเองหมายความว่า สองขาของเรายืนอยู่บนพื้นได้ ไม่หกล้ม ไม่ต้องขอยืมของคนอื่น เพื่อที่จะยืนอยู่
คำว่า พอ คนเราถ้าพอในความต้องการ มันก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย
พอเพียง อาจมีมาก อาจมีของหรูก็ได้ แต่ต้องไม่เบียดเบียนคนอื่น
พอเพียง คืออยู่ได้ด้วยตนเอง ไม่เบียดเบียนใคร”
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นห่วงเป็นใยในทรัพยากรธรรมชาติป่าไม้ของไทย นับวันจะวิกฤตยิ่งขึ้น พระองค์ตรัสว่า...
“ถ้าในหลวงเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า ป่าที่ถวายความจงรักภักดีต่อน้ำ...พระเจ้าอยู่หัว สร้างอ่างเก็บน้ำ ฉันจะสร้างป่า”
และ...พระเจ้าอยู่หัว ทรงตรัสว่า... “ป่าคือต้นน้ำ...น้ำคือชีวิต”
พระราชดำริทั้งสองพระองค์ ต่างก็ทรงเห็นตรงกันว่า “ป่าและน้ำ คือชีวิต”
ชีวิตจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ก็ต้องอาศัยป่าและน้ำ เมื่อมีป่าและน้ำ ก็ทำมาหากินได้ เมื่อมีอยู่มีกินก็พึ่งตนเองได้ ไม่เบียดเบียนใคร นั่นแหละคือความสุข
การคืนความสุขให้คนในชาติ ก็คือให้เขาพึ่งตนเองได้
ระบบเศรษฐกิจที่ทำให้คนพึ่งตนเองได้ ก็เห็นมีแต่ “เศรษฐกิจพอเพียง” ของพระองค์ท่านเท่านั้น ระบบเศรษฐกิจต่างๆ ในโลกที่นิยมกัน เชิดชูกัน ก็พึ่งตนเองได้อยู่ แต่เป็นคนส่วนน้อย คือเจ้าของทุนที่เขาทำทุกอย่างเพื่อกำไร กำไรมาก คือเก่ง ก้าวหน้า สำเร็จ มีหน้ามีตา
กำไรก็คือความโลภ คนโลภไม่เบียดเบียน-ไม่มี โลภมาก ก็เบียดเบียนมาก
เศรษฐีอันดับต้นๆ มีที่ดินเป็นแสนๆ ไร่ นั่นคือใบเสร็จว่าโลภมาก เขามีไปทำไม มหาศาลปานนั้น คำตอบก็คือ สมองความโลภของเขา
ไม่ว่าสังคมขนาดเล็ก เช่น ครอบครัว หรือสังคมขนาดใหญ่ เช่น ประเทศชาติ หากยังมีความคิด และการกระทำแบบโลภๆ อยู่ มันก็คือ การหาเหาใส่หัว หรือหาเรื่องใส่ตัว
เนื่องเพราะความโลภ คือการเบียดเบียน
การเบียดเบียนคือการทำให้ชีวิตหมดสุข ดั่งการติดคุก หรือสร้างคุกขังตัวเอง
สร้างคุกขังตน
“คุกขังเขาได้ แต่หัวใจอย่างปรารถนา เกิดมาเข่นฆ่าอธรรม” คือวรรคทองของผู้กล้า ซึ่งเป็นนักคิด นักเขียน มีอุดมการณ์ท่านหนึ่ง
หมายความว่า คุกขังเขาได้แต่ภายนอก ส่วนภายในคือหัวใจ ไม่มีอะไรจะขังเขาได้ เขายังโบยบินหาอิสรภาพ หาประสบการณ์แห่งท้องฟ้า หาวิธีขจัดคนชั่วมิให้มีอำนาจมาปกครองบ้านเมือง มิให้คนชั่วสร้างกฎหมายเพื่อคนชั่ว จะได้ชูคอล่อเหยื่อต่อๆ ไป ขณะเดียวกันก็พยายามหาวิธีส่งเสริมคนดี ให้มีที่ยืนในสังคม ให้มีโอกาสปกครองบ้านเมือง เพื่อสันติสุขแห่งมหาชนทั้งมวล
“ขังได้แต่ภายนอก ส่วนภายในขังไม่ได้” นั่นเป็นเพียงคุกระดับปานกลาง แต่ยังมีคุกที่หนักกว่านั้น นั่นคือคุกภายใน
คุกภายนอก ขังเขาไม่ได้หรอก อย่างมากก็แค่รอลงอาญา ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคมได้อย่างปกติ แต่คุกภายในนี่สิสาหัสสากรรจ์นัก เขาสร้างมันขึ้นมาเอง มิเช่นนั้น จะมีผู้นำระดับโลก เศรษฐีระดับโลกฆ่าตัวตายอยู่บ่อยๆ หรือแม้จะไม่ถึงฆ่าตัวตาย แต่ก็สุดทรมาน เพราะกรรมชั่ว มาจากรากชั่ว มันหลอกหลอนและหอนเห่าอยู่ตลอดเวลา
“คิดชั่ว-ทำชั่ว” ไม่ใช่ของล้อเล่นนะ มันถูกเก็บถูกสะสมไว้ในจิต พร้อมที่จะสำแดงผลตลอดเวลา เป็นการฆ่าตัวเองโดยตัวเอง
ไม่อยากสร้างคุกขังตน ก็พลิกใจซะ พลิกไปสู่ “คิดดี-ทำดี” คิดถึงมันเมื่อไหร่ ก็สุขใจและเบิกบานใจเมื่อนั้น
“คืนความสุขให้ประชาชน” นี่คือคิดดี แต่กระบวนการทำนั้น มันตกถึงประชาชนหรือเปล่า หรือตกถึงเฉพาะนายทุนผูกขาด-ฉลาดเบียดเบียนเท่านั้น ถ้าเป็นดังกล่าว ความคิดดีๆ วาทกรรมเด่นๆ ก็จะกลายเป็นสร้างคุกขังตน หรือหาอภิเหาใส่หัวดูดเลือด ทั้งของตัวเอง และมวลประชาชน
“หาเหาใส่หัว
เอาตัวกลั้วทุกข์
ชีวิตหมดสุข
สร้างคุกขังตน”
ไม่มีใครอยากได้ทุกข์ มีแต่คนอยากได้สุข อยากได้สิ่งใด ก็สร้างเหตุสิ่งนั้น อยากได้ทุกข์ ก็สร้างเหตุแห่งทุกข์ อยากได้สุข ก็สร้างเหตุแห่งสุข
เหตุแห่งทุกข์ เช่น หาเหาใส่หัว เป็นต้น
เหตุแห่งสุข เช่น พอเพียง เป็นอาทิ เพราะ...
พอเพียง เป็นสุขเย็นที่เห็นธรรม