ผู้จัดการรายวัน360-ศอตช. แถลงผลสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์ ยันไม่พบการทุจริต ทั้งในเรื่องค่าหัวคิว และการจัดซื้อจัดจ้าง เผยค่าหัวคิวเป็นเรื่องที่เอกชนตอบแทนการทางธุรกิจเป็นปกติ ส่วนกรณีเซียนพระชื่อดัง รับเงินเป็นค่าที่ปรึกษาจากโรงหล่อ เป็นความสมัครใจกันเอง "ตู่" มึนผลแถลง เชื่อมีความผิดปกติแน่ เหตุขัดขวางคนไปตรวจสอบ หวัง ป.ป.ช.ช่วยจัดการต่อ ด้าน "บิ๊กโด่ง" โต้ทันควัน ไม่เคยพูดมีค่าหัวคิว
พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) เปิดเผยถึงผลสอบโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ว่า การจัดซื้อจัดจ้าง การใช้งบประมาณ และเรื่องค่าหัวคิวการก่อสร้างโครงการเป็นหัวข้อสำคัญในการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งที่ผ่านมา ได้ให้มีการตรวจสอบในทุกประเด็นเพื่อให้เกิดความโปร่งใส โดยมอบหมายให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) สอบค่าหัวคิว และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างโครงการ
นายประยงค์ ปรียาจิตต์ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. กล่าวว่า การตรวจสอบค่าหัวคิว มีการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งจากภาครัฐและเอกชน สรุปได้ว่า มีการจ่ายเงินกันจริงระหว่างเอกชนกับเอกชน โดยทั้งสองฝ่าย ระบุว่า เป็นค่าตอบแทนทางธุรกิจ ที่ชักนำเสนองานก่อสร้างมาให้ มีตัวเลขสูงประมาณร้อยละ 6-7 ของค่าจ้างงาน ซึ่งราคาค่าจ้างของแต่ละราย เท่ากับราคาของท้องตลาด ในเบื้องต้นจึงไม่พบความผิดปกติ
นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กล่าวว่า การตรวจสอบเรื่องเงินบริจาค พบว่า มีเงินบริจาคเข้ามาในบัญชีธนาคาร แต่แยกออกจากเงินที่มีอยู่เดิมของบัญชีสวัสดิการ และเมื่อตรวจสอบยอดเงินบริจาคผ่านบัญชีธนาคาร โดยตัดยอด เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.2558 มีจำนวนกว่า 733 ล้านบาท และมีเงินเบิกจ่ายไปจำนวน 458 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าก่อสร้างองค์พระ และเหรียญที่ระลึกอีก 105 ล้านบาท โดยล่าสุด พบเงินคงเหลือทั้งหมดเพียง 140 ล้านบาท
สำหรับวัสดุที่ใช้ก่อสร้างองค์พระในโครงการสร้างอุทยานราชภักดิ์ พบว่า โลหะที่นำมาใช้ในการสร้างองค์พระมีหลักฐานชัดเจนว่ามีการนำเข้ามาจากต่างประเทศ และ สตง. มีการนำตัวอย่างเนื้อโลหะจากองค์พระไปตรวจสอบที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยืนยันว่าไม่พบความผิดปกติ
ส่วนค่าหัวคิว จากการสอบข้อเท็จจริงจาก5 โรงหล่อ จากทั้งหมด 6 โรงหล่อ พบว่า เป็นค่าที่ปรึกษาและค่าใช้จ่ายบริหาร จำนวนร้อยละ 7 และปรากฏชื่อเซียนอุ๊ เป็นที่ปรึกษาในโรงหล่อทั้ง 5 โรง รวมถึงพบมีการจ่ายเช็คจำนวน 5 ฉบับ เป็นเงิน 20 ล้านบาท ให้เซียนอุ๊ ระหว่างการก่อสร้างโครงการ ซึ่งเป็นความสมัครของทั้งสองฝ่าย แต่หลังจากนั้น เซียนอุ๊ ได้นำเงินไปใช้จ่ายส่วนตัว และบางส่วนบริจาคกลับเข้ากองทุนสวัสดิการกองทัพบกโดยบริจาคในนาม 5 โรงหล่อ และมีการออกใบเสร็จรับเงินถูกต้อง และไม่พบว่า มีกองทัพบกเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ขณะที่การตรวจสอบบัญชีที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่พบว่ามีการตกแต่งบัญชีแต่อย่างใด ส่วนค่าจัดซื้อต้นไม้ในโครงการก็ไม่พบความผิดปกติ และเป็นต้นไม้ที่มีผู้บริจาคให้ โดยผู้บริจาคคิดเพียงค่าแรง จำนวน 4 ล้านบาทเท่านั้น
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า การแถลงครั้งนี้ไม่แตกต่างจากการแถลงผลการสอบสวน 2 ครั้ง ที่แถลงโดยพล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และสตง. โดยเชื่อว่าเรื่องนี้มีความผิดปกติแน่นอน เพราะที่ผ่านมา มีการขัดขวางไม่ให้ภาคประชาชนไปตรวจสอบ และยังติดใจเรื่องค่าหัวคิวและค่าที่ปรึกษาที่การแถลงครั้งนี้ ยังไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน ซึ่งหวังว่าจากนีไป คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะรับไปดำเนินการตามขั้นตอนต่อ
ขณะที่พล.อ.อุดมเดช กล่าวภายหลังรู้ผลแถลงว่า ตนไม่เคยพูดว่า มีค่าหัวคิว มีแต่พูดตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่าเป็นความจริงส่วนหนึ่ง ส่วนที่พล.อ.ไพบูลย์ ย้ำว่า ผมยอมรับว่ามีหัวคิว ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยยอมรับ ใครที่เคยพลั้งปากพูดไป ตนไม่ถือสา เมื่อตรวจสอบแล้ว ขอให้เข้าใจและล้างความผิดของตัวเองด้วยการกระทำสิ่งดีๆ เดินหน้า
พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) เปิดเผยถึงผลสอบโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ว่า การจัดซื้อจัดจ้าง การใช้งบประมาณ และเรื่องค่าหัวคิวการก่อสร้างโครงการเป็นหัวข้อสำคัญในการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งที่ผ่านมา ได้ให้มีการตรวจสอบในทุกประเด็นเพื่อให้เกิดความโปร่งใส โดยมอบหมายให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) สอบค่าหัวคิว และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างโครงการ
นายประยงค์ ปรียาจิตต์ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. กล่าวว่า การตรวจสอบค่าหัวคิว มีการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งจากภาครัฐและเอกชน สรุปได้ว่า มีการจ่ายเงินกันจริงระหว่างเอกชนกับเอกชน โดยทั้งสองฝ่าย ระบุว่า เป็นค่าตอบแทนทางธุรกิจ ที่ชักนำเสนองานก่อสร้างมาให้ มีตัวเลขสูงประมาณร้อยละ 6-7 ของค่าจ้างงาน ซึ่งราคาค่าจ้างของแต่ละราย เท่ากับราคาของท้องตลาด ในเบื้องต้นจึงไม่พบความผิดปกติ
นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กล่าวว่า การตรวจสอบเรื่องเงินบริจาค พบว่า มีเงินบริจาคเข้ามาในบัญชีธนาคาร แต่แยกออกจากเงินที่มีอยู่เดิมของบัญชีสวัสดิการ และเมื่อตรวจสอบยอดเงินบริจาคผ่านบัญชีธนาคาร โดยตัดยอด เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.2558 มีจำนวนกว่า 733 ล้านบาท และมีเงินเบิกจ่ายไปจำนวน 458 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าก่อสร้างองค์พระ และเหรียญที่ระลึกอีก 105 ล้านบาท โดยล่าสุด พบเงินคงเหลือทั้งหมดเพียง 140 ล้านบาท
สำหรับวัสดุที่ใช้ก่อสร้างองค์พระในโครงการสร้างอุทยานราชภักดิ์ พบว่า โลหะที่นำมาใช้ในการสร้างองค์พระมีหลักฐานชัดเจนว่ามีการนำเข้ามาจากต่างประเทศ และ สตง. มีการนำตัวอย่างเนื้อโลหะจากองค์พระไปตรวจสอบที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยืนยันว่าไม่พบความผิดปกติ
ส่วนค่าหัวคิว จากการสอบข้อเท็จจริงจาก5 โรงหล่อ จากทั้งหมด 6 โรงหล่อ พบว่า เป็นค่าที่ปรึกษาและค่าใช้จ่ายบริหาร จำนวนร้อยละ 7 และปรากฏชื่อเซียนอุ๊ เป็นที่ปรึกษาในโรงหล่อทั้ง 5 โรง รวมถึงพบมีการจ่ายเช็คจำนวน 5 ฉบับ เป็นเงิน 20 ล้านบาท ให้เซียนอุ๊ ระหว่างการก่อสร้างโครงการ ซึ่งเป็นความสมัครของทั้งสองฝ่าย แต่หลังจากนั้น เซียนอุ๊ ได้นำเงินไปใช้จ่ายส่วนตัว และบางส่วนบริจาคกลับเข้ากองทุนสวัสดิการกองทัพบกโดยบริจาคในนาม 5 โรงหล่อ และมีการออกใบเสร็จรับเงินถูกต้อง และไม่พบว่า มีกองทัพบกเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ขณะที่การตรวจสอบบัญชีที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่พบว่ามีการตกแต่งบัญชีแต่อย่างใด ส่วนค่าจัดซื้อต้นไม้ในโครงการก็ไม่พบความผิดปกติ และเป็นต้นไม้ที่มีผู้บริจาคให้ โดยผู้บริจาคคิดเพียงค่าแรง จำนวน 4 ล้านบาทเท่านั้น
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า การแถลงครั้งนี้ไม่แตกต่างจากการแถลงผลการสอบสวน 2 ครั้ง ที่แถลงโดยพล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และสตง. โดยเชื่อว่าเรื่องนี้มีความผิดปกติแน่นอน เพราะที่ผ่านมา มีการขัดขวางไม่ให้ภาคประชาชนไปตรวจสอบ และยังติดใจเรื่องค่าหัวคิวและค่าที่ปรึกษาที่การแถลงครั้งนี้ ยังไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน ซึ่งหวังว่าจากนีไป คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะรับไปดำเนินการตามขั้นตอนต่อ
ขณะที่พล.อ.อุดมเดช กล่าวภายหลังรู้ผลแถลงว่า ตนไม่เคยพูดว่า มีค่าหัวคิว มีแต่พูดตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่าเป็นความจริงส่วนหนึ่ง ส่วนที่พล.อ.ไพบูลย์ ย้ำว่า ผมยอมรับว่ามีหัวคิว ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยยอมรับ ใครที่เคยพลั้งปากพูดไป ตนไม่ถือสา เมื่อตรวจสอบแล้ว ขอให้เข้าใจและล้างความผิดของตัวเองด้วยการกระทำสิ่งดีๆ เดินหน้า