ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -กลายเป็นประเด็นขึ้นมาแล้ว จากกรณีอุบัติเหตุสยองขวัญ-สะเทือนอารมณ์ จากความประมาทของ นายเจนภพ วีรพร ทายาทพันล้านเจ้าของบริษัทนำเข้ารถหรู “ลัคโซติค ออโตโมทีฟ จำกัด”ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย คือ นายกฤษณะ ถาวร และ น.ส.ธันฐภัทร์ ฮ้อแสงชัย สองนิสิตปริญญาโทมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย โดยทั้งคู่ถูกรถเบนซ์คันหรูที่ขับโดยนายเจนภพ ชนท้ายอย่างจังจนพลิกคว่ำ เกิดเป็นประกายไฟคลอกตายคารถท่ามกลางสายตาเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่พยายามจะช่วย แต่สุดวิสัยที่จะช่วยได้
ที่บอกว่าเป็นประเด็นนั้นคือ มาตราฐานการทำงานของตำรวจไทย ซึ่งเชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศที่ติดตามข่าวนี้อยู่คงทราบจากคำสัมภาษณ์ต่างๆ ที่พ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ สุขสวัสดิ์ ผกก.สภ.พระอินทร์ราชา เจ้าของพื้นที่พูดคุยกับ กนก -ธีระ พิธีกรชื่อดังจากเครือเนชั่นฯไปแล้ว
สรุปว่า เหตุเกิดตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2559 แต่กระทั่งวันพุธที่ 16 มีนาคม หรือ 3 วันถัดมา ตำรวจยังมิได้แจ้งข้อหาแก่ นายเจนภพ และที่น่าตกใจมากไปกว่าก็คือ ไม่มีการตรวจปัสสาวะ หรือสารเสพติดใดๆในช่วงเวลาอันควรก่อนหน้านี้เลย
พ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ ให้เหตุผลว่า พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจใดไปบังคับให้มีการตรวจสอบสารเสพติด หรือแอลกอฮอล์ในกระเสเลือดหากไม่ได้รับความยินยอม เมื่อคู่กรณีไม่ให้ความร่วมมือ ตำรวจก็ไม่มีสิทธิ์ จึงทำได้เพียงรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ รวมทั้งคลิปภาพที่ปรากฏ
อาการอ้ำๆ อึ้งๆ ถามอย่างตอบอย่าง นอกจาก 2 พิธีกร จะตะบะแตกแล้ว คนฟังทางบ้านยิ่งรู้สึกอึดอัดมากกว่า ต่างไม่เข้าใจ เสียงก่นด่าตำรวจจึงอื้ออึง กระหน่ำในโลกโซเชียลมีเดียอย่างหนัก จึงเป็นที่มาของประเด็นต่างๆ ที่สมควรหยิบเรื่องนี้มาพูดคุยกันอย่างจริงจังอีกครั้ง
ย้อนกลับไปถึงอุบัติเหตุต่างๆ ที่คนไทยยัง“ฝังใจ”และกระทบต่อภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรมไทยก็คือ กรณีแพรวา 9 ศพ ต่อจากนั้นยังมีเรื่องนักศึกษาสาวปาร์ตี้จนถึงรุ่งสางเกิดหลับใน แล้วไปชนนักปั่นจักรยานตาย 3 ศพ กรณี นายสุทธิศักดิ์ หรือ เสี่ยคิม สุทธิเทศ ขับรถ สปอร์ตคันหรู ชนคนแล้วหนี และคดีนางเอกสาวแอนนา รีส ขับรถเบนซ์ชนท้ายรถเก๋งจอดริมทาง ทำให้ร.ต.ท.นราดล วงษ์บัณฑิต เสียชีวิต
หลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากตั้งข้อสังเกตดีๆ จะเห็นได้ว่า ตำรวจไทย คือตัวแปรสำคัญ ผู้ต้องหาจะติดคุกหรือรอดคุก มิได้ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์การทำผิด หรืออยู่ที่พยานหลักฐาน แต่ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญทางกฏหมายของพนักงานสอบสวน (บางคน) ที่จะนำมาบิดเบือน-เปิดช่องให้ฝ่ายผิดกลายเป็นฝ่ายถูก หรือจากผิดมากต้องรับโทษทัณฑ์มาก กลายมาเป็นผิดน้อย ไม่ต้องรับโทษ หรือรับเพียงแต่น้อย
ในประเด็นนี้ ขอให้ดูคดีนางเอกสาวแอนนา รีส เป็นตัวอย่าง คืนเกิดเหตุ เธอขับรถเบนซ์ส่วนตัวมาด้วยความเร็วสูง และไปชนท้ายรถเก๋งของ ร.ต.ท.นดราดล วงษ์บัณฑิต ที่จอดพักอยู่ริมถนน ซึ่งหลังเกิดเหตุเพียงเล็กน้อยมีเจ้าหน้าที่กู้ภัย และตำรวจเดินทางไปตรวจสอบ มีการบันทึกภาพ-คลิปต่างๆไว้ด้วย แต่น่าแปลกที่จู่ๆ นางเอกสาวแอนนาฯ เกิดหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย โดยที่ตำรวจ สน.ประเวศ ไม่คุมตัวไปตรวจสารเสพติด และแอลกอฮอลล์
คดีนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง แม้วันรุ่งขึ้นนางเอกสาว จะเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน และมีการส่งตัวไปตรวจหาสารเสพติด แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไปขนาดนั้น แม้ถึงอย่างไรผลการตรวจย่อมไม่พบสิ่งผิดปกติอย่างแน่นอน
แอนนา รีส รอดไปได้ในข้อหาเมาแล้วขับ คงเหลือเพียงโทษประมาท ซึ่งระหว่างการสอบสวนดำเนินคดีนั้นมีการเจรจาชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งกับทายาทผู้ตาย และตกลงเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งผลของการแสดงความรับผิดชอบ เยียวยาฝ่ายคนตาย สามารถเป็นข้ออ้างเพื่อผ่อนผันโทษให้กับแอนนา รีส ได้ในอีกทางหนึ่ง
สรุปว่า ตำรวจที่ปล่อยปละละเลย หรือ“เปิดทาง”ให้น.ส.แอนนา รอดจากการตรวจสอบสารเสพติด ไม่มีความผิดใดๆ หรือถ้าผิดก็คงเล็กน้อย ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เทียบเคียงกับ คดีสยองขวัญ -สะเทือนอารมณ์ โดยเงื้อมมือของ นายเจนภพ วีรพร ไฮโซดังเจ้าของกิจการนำเข้ารถหรู...ทำไมตำรวจไม่ยอมตรวจสารเสพติด กับผู้ขับขี่รายนี้...ทำไมตำรวจยังไม่แจ้งข้อหาเพื่อดำเนินคดีทั้งที่พยาน-หลักฐานปรากฏ อย่างชัดเจน และล่วงเวลามานานกว่า 3 วัน คำตอบน่าจะคล้ายๆ กับคดีของแอนนา รีส เพราะยิ่งเนิ่นนานเท่าไหร่ ความชอบธรรมจะยิ่งเอื้อให้กับผู้กระทำผิดมากเท่านั้น
ตามความเห็นส่วนตัวเชื่อได้เลยว่า คดีไฮโซเจ้าของกิจการนำเข้ารถหรู จะต้องมีการร้องขอ และแทรกแซงจากบรรดาผู้มีอำนาจวาสนาทั้งหลายอย่างแน่นอนโดยเฉพาะ ฝ่ายนายเจนภพ
เหตุที่เชื่ออย่างนี้ก็เพราะ“ผลงาน”เก่าๆ หรืออุบัติเหตุหลายครั้งในอดีตที่นายเจนภพ เข้าไปเกี่ยวพันด้วยนั้นมีข้อมูลจากบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง ระบุว่าเลขทะเบียนรถ ษง 3333 กทม. ล้วนแต่เป็น “คันเก่ง”ของนายเจนภพ ทั้งสิ้น ต่างแค่เพียงก่อนหน้าชื่อคนขับคือนายธารา จันทร์ดี
ดังนั้นหากจะดำเนินการกันอย่างจริงจัง ให้สมกับที่รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เคยประกาศให้การลดอุบัติเหตุเป็นวาระแห่งชาติ ท่านผู้มีอำนาจต้องลงมาเล่นเอง
สั่งตรงไปยัง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. หรือ พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผบช.ภ.1 เจ้าของพื้นที่ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้น 2 ชุดคือ ชุดแรกดำเนินการสอบสวนคดีอุบัติเหตุอย่างจริงจัง-ตรงไปตรงมา และให้รื้อคดีเก่าที่เกิดขึ้นทั้งหมดโดยมุ่งไปยัง นายธารา จันทร์ดี ว่ามีตัวตนหรือไม่ และเกี่ยวข้องกับนายเจนภพ ในฐานะอะไร
ชุดที่สอง ให้สอบสวน พ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ สุขสวัสดิ์ ผก.สภ.พระอินทร์ราชา กับพวกที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ว่ามีความบริสุทธิ์-ยุติธรรม และไม่เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือไม่ รวมทั้งได้รับ“ใบสั่ง”จากผู้มีอำนาจคนไหน หรือมีเบื้องหลังอะไรทางตำรวจ สภ.พระอินทร์ราชา จึงไม่ยอมแจ้งข้อกล่าวหาทั้งที่เวลานานกว่า 3 วันแล้ว
รัฐบาล-คสช.อย่าคิดว่า เรื่องนี้คือเรื่องเล็กประเดี๋ยวชาวบ้านก็ลืมไปเอง เพราะกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้นในที่สุดจะพุ่งไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วมีคำถามเดิมๆ ในเรื่องการปฏิรูป ท่านผู้มีอำนาจควรเข้าใจว่าเรื่องราวต่างๆ ในสังคมสีกากี ทั้งบวกและลบนั้น (ส่วนมากภาพลบ) มันจะตีกลับไปยังรัฐบาล และ คสช.เองในฐานะผู้รับผิดชอบ
คดีแพรวา 9 ศพ ก็ดี คดีป้า-ลุงถูกจับเข้าคุกในคดีเก็บเห็ดในป่าสงวนก็ดี ล้วนเกิดวาทะกรรมตามหลังให้ผู้คนในสังคมนำไปเสริมเติมแต่งจนเกิดเป็นบาดแผลแบ่งแยกระหว่างคนจนกับคนรวย
ถ้าไม่อยากให้คนไทยคิดมาก....อยากให้ความเชื่อที่ว่า คุกตะรางไว้ขังคนจนให้หมดไปนั้น...จังหวะมาแล้วเล่นเรื่องนี้ให้ดีๆ เถิดท่านผู้นำประเทศไทย !!??