ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -จับกระแสการเคลื่อนไหวภายใน “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” (สตช.) ในยามนี้เรื่องที่ยังเป็นไฮไลน์ คงไม่พ้นการเปลี่ยนกฎ “คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ” (ก.ตร.) ในรายละเอียดหลักเกณฑ์การแต่งตั้งโดยเฉพาะเรื่องระยะเวลาครองตำแหน่ง ซึ่งในเรื่องนี้มีปัญหาอย่างมากมาย มีการต่อต้านจากตำรวจส่วนใหญ่ทั่วประเทศ
และน่าจะเป็นที่มาของอาการ “เสียทรง” ของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.มากกว่าเรื่องอื่นถึงขนาดตำรวจระดับสัญญาบัตรกว่าครึ่งหมดศรัทธาที่มีต่อเจ้านายคนใหม่กันไปเลย
เรื่องนี้มิใช่จะมาเขียนแสดงความเห็นกันลอยๆแต่เป็นปรากฏการณ์จริงที่ตำรวจพูดกันต่อปากต่อปาก หรือแม้กระทั่งระดับ รองผบ.ตร.ที่เป็น ก.ตร.โดยตำแหน่งมีอยู่หลายคนที่ไม่เอาด้วย มีจุดยืนค่อนข้างชัดคือ พล.ต.อ.วุฒิ ลิปตพัภลภ ส่วนที่ “ลดโทน” ความเข้มข้น แต่ไม่เห็นด้วยกับกฎ “ชักบันไดหนี” มีชื่อพล.ต.อ.สุพร พันธ์เสือ-พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รวมอยู่ด้วย
ส่วน พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร.คนดังกลับพลิกบทบาทกลายเป็น “เจ้าชายห่อหมก” เออออกับขั้วอำนาจในทุกๆเรื่อง กระทั่งยอมเป็นเครื่องฟอกขาวรับหน้าเสื่อเป็นประธานฯรับผิดชอบการร่างกฎ ก.ตร.ใหม่
ซึ่งล่าสุด “รองฯจูดี้” ได้บอกแล้วว่าหลักเกณฑ์การแต่งตั้งตำรวจ ที่มีอยู่ 33 ข้อขณะนี้ตัดออกไปแล้วเหลือ 30 ข้อ ส่วนเรื่องระยะเวลาครองตำแหน่ง ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ หากวันที่ 31 ม.ค.นี้ยังไม่เรียบร้อยการแต่งตั้งนายตำรวจระดับรอง ผบก. - สารวัตร วาระปี 2558 จะเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด โดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของรัฐบาล และ คสช.ที่ต้องการให้การแต่งตั้งเป็นธรรมและไม่มีปัญหาฟ้องร้องตามมา
จากท่าทีดังกล่าวพอสรุปได้ว่าบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ หรือผู้มีอำนาจที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังไม่ยอมลามือ เพียงแต่หยุดตั้งหลักเพื่อดันต่อเพราะสิ่งที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ และ พล.ต.อ.พงศพัศ ร่วมกันอธิบายเหตุผลนั้นมันเป็น “นามธรรม” จนไม่อาจแตะต้องได้ เช่น การเจริญเติบโตของ พล.ต.ต.สุรเชษฐ หักพาล ผบก.ท่องเที่ยว เป็นเรื่องของบุญวาสนาและมิได้หมายความว่า คนเป็น พล.ต.ต.ก่อนจะได้เป็น พล.ต.อ.ก่อนเสมอไป เป็นต้น
หรือกระทั่งการเลื่อนวาระแต่งตั้งนายตำรวจระดับ รองผบก. - สารวัตร ที่ค้างเติ่งเมื่อปี 2558 ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่รู้อนาคตด้วยเหตุผลที่ว่า.....เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของรัฐบาลและ คสช.ที่ต้องการให้การแต่งตั้งเป็นธรรม -ไม่มีปัญหาฟ้องร้องในภายหลัง!!??
คำกล่าวอ้างที่มาจากปากของผู้บริหาร สตช.จะรับฟังได้หรือไม่ สังคมรวมทั้งแวดวงตำรวจเขามีความคิดเห็นประการใดเมื่อยอนกลับไปยังกฏ ก.ตร.ใหม่ หรือที่เรียกกันว่ายุทธการ “ชักบันไดหนี”เริ่มจากการติดยศ ร.ต.ต.ต้องอายุไม่เกิน 25 ปี เลื่อนเป็นสารวัตร 8 ปี สารวัตรเลื่อนเป็น รองผกก. หรือ พ.ต.ท. 6 ปี รองผกก.เลื่อนเป็น ผกก. หรือพ.ต.อ. 5 ปี รองผบก. เลื่อนเป็น ผบก. พ.ต.อ.พิเศษ -พล.ต.ต. 6 ปี ผบก.เลื่อนเป็น รอง ผบช. 2 ปี รองผบช. เป็น ผบช. 1 ปี ผบช.เป็นผู้ช่วยผบ.ตร. 1 ปี ผู้ช่วยผบ.ตร.เป็นรอง ผบ.ตร. 1 ปี
หมายความว่าชีวิตการเป็นข้าราชการตำรวจเริ่มต้นที่ติดยศ ร.ต.ต.อายุไม่เกิน 25 ปี + 8 + 6 +5 +6 +2 +1 +1+1 = 55 ปี จึงมีโอกาสติดยศ พล.ต.อ. แต่ในความเป็นจริงจะคิดแบบคณิตศาสตร์ไม่ได้เพราะตลอดเวลาของการรับราชการห้ามผิด-ห้ามพลาดแม้แต่สเต็ปเดียว
“ทางลัด” จึงเป็นโอกาสของบรรดา “นายเวร” หรือตำรวจที่ติดสอยห้อยตามกับผู้มีอำนาจ ซึ่งมีสิทธิ์พิเศษกว่าพี่ๆน้องๆหรือเพื่อนตำรวจด้วยกัน แซงหน้า ปาดโค้งขึ้นแท่นไปรอตำแหน่งสูงๆอยู่ก่อน...ส่วนที่เหลือ มีผู้รู้สายตำรวจบอกว่า หากใช้กฎ “ชักบันไดหนี”อย่างมากจบชีวิตราชการไม่เกิน พ.ต.อ.พิเศษ ในตำแหน่ง รองผบก.
ระหว่าง “พักยก” แม้จะมีการแถลงข้อข้อใจของสังคมแบบเอาสีข้างเข้าถู...ในสังคมตำรวจโดยเฉพาะเว็บฯต่างๆที่จัดตั้งโดยบุคคลในแวดวงสีกากีกลับมีคำถาม และแสดงความคิดเห็นอย่างร้อนแรง -ตรงไปตรงมาเช่นเฟสบุ๊ก “กูรูสีกากี” โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.ว่า... ”คืนความสุขเพื่อใคร ทำเพื่อคนๆเดียว....สำหรับวันนี้เหล่าสีกากีจำนวนมากมายต่างโล่งใจไปอีกคราวว่าหลักเกณฑ์เหล่ามารไม่ได้ผ่านการเห็นชอบ โดยในที่ประชุมมีมติให้ร่างที่ทำเพื่อใครบางคนกลับไปทบทวน แล้วให้ชงผ่านอนุฯภายใน 90 วันส่วนการแต่งตั้งคราวนี้ ให้ใช้หลักเกณฑ์เดิมแต่งตั้งวาระนี้ไปก่อน
.....แต่ที่สำคัญที่สุดของเหตุการณ์ครั้งนี้มันอยู่ที่ว่าใครได้-ใครเสีย มากกว่าเรื่องอื่นใด !!??
สิ่งที่ต้องยอมรับคือว่ามีใครคนหนึ่งที่ทุกคนรู้ดีว่าเขาต้องการทำเพื่อตัวเองในขณะครองตำแหน่งนายพล 2 ปีแล้วได้ขยับไปต่อเพื่อเป็นไปสู่เป้าหมายที่หวังไว้
ดังเช่นคำพูดของ เจ.เค โรว์ลิง นักเขียนนวนิยายชาวอังกฤษที่ว่า “หากคุณอยากรู้ว่านิสัยที่แท้จริงของเขาเป็นอย่างไร..จงดูสิ่งที่เขากระทำต่อผู้ที่ต่ำต้อยกว่า ไม่ใช่สิ่งที่เขาทำกับคนระดับเดียวกัน”
มันถูกต้องจริงๆกับมารครองปทุมวัน...ถึงวันนี้จะรุ่งเรือง เสพติดอำนาจ แต่อำนาจมันกำลังหวลกลับมาฆ่ามารให้ย่อยยับในไม่ช้า...!!??
อีกเว็บฯ คือ “ตำรวจปริญญาตรีและปริญญาโท” แสดงความเห็นในเรื่องเดียวกันว่า...การเลื่อนพิจารณาโยกย้ายออกไปเรื่อยๆอย่างมีนัย นั้นรอให้ใครครบวาระหรือเปล่า หรือรอให้คู่แข่งน้อยลงเพราะอีกไม่นานก็จะเกษียณฯกันหลายราย - ร่างอะไรที่กำลังออกมา...ถามว่าฟังเสียงข้าราชการตำรวจทั้งประเทศหรือยัง แทนที่จะให้โอกาสคนทำงานก้าวหน้ากลับเตะตัดขา แล้วต่อไปจะเหลือสักกี่คนที่ทุ่มเท
ถ้า ก.ตร.ไม่ออกกฎให้คนทำงานส่วนใหญ่ได้ประโยชน์ เพื่อแลกกับการทำงาน ทุ่มเท เสียสละ เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ทำงานเกินเวลามาตรฐาน รับผิดชอบสูง...ก็ยุบก.ตร.เสียเถอะ!!??..ประโยชน์อันใดถ้ามีเพื่อออกกฏมากีดกันคนทำงาน!!??
นี่คือเสียงสะท้อนเล็กๆน้อยๆจากสังคมตำรวจ...ทำไมตำรวจจึงออกมาต้าน...ทำไมสื่อจึงออกมาเตือนและวิพากษ์วิจารณ์ เหตุผลตรงกันคือผลพวงจะส่งผลไปยังสังคมโดยรวม เมื่อเกิดความท้อแท้ในอาชีพ เมื่อตำรวจส่วนมากที่กระจายทั่วทุกภูมิภาค หมดสิ้นความเชื่อมั่นที่จะเจริญก้าวหน้าในอาชีพอีกต่อไป สิ่งที่ตามมาคือ “ความอ่อนแอ”และทำหน้าที่ผ่านไปวันๆ ไม่จำเป็นสวมวิญญาณผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อีกต่อไป
หรือศัพท์ที่เราคุ้นเคยคือ “เข้าเกียร์ว่าง” คนที่จะซวย ได้รับผลกระทบก็คือชาวบ้าน ทั้งปัญหาโจรผู้ร้าย อาชญากรรมในทุกรูปแบบ รวมถึงปัญหายาเสพติด
มีคำพูดจากตำรวจใหญ่ที่กำลัง “ถอดใจ”เปรยให้ฟังว่า ตำรวจไทยในยุค “คืนความสุข” หรือเตรียมเข้าสู่วาระการปฏิรูปนั้นถือว่าตกต่ำ และสถานการณ์เลวร้ายอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ต้นเหตุของความวิปริตมาจากนายพล 3 จ.เป็น จ.ในราชการ 2 นอกราชการ 1
จ.คนแรกติดลมบนไปแล้ว จากเดิมเป็นที่หวังของสังคมสีกากี แต่ปัจจุบันด้วยเหตุผลเหลืออายุราชการอีกยาวนานจำเป็นต้องเสียความเป็นตัวตน ยอมรับใช้ผู้มีอำนาจทุกประการเพื่อตอบแทน และเพื่อความอยู่รอด
จ.คนที่สอง เปรียบเสมือนมือขวา ทั้งเป็นน้องรัก เป็นที่ปรึกษาผู้ยิ่งใหญ่สีกากี วิธีคิดเพื่อเอารัดเอาเปรียบคนอื่นเพื่อให้ได้เป็นใหญ่ล้วนออกมาจากเขาคนนี้
จ.คนสุดท้าย... เกษียณอายุราชการไปนานหลายปีแล้ว สมัยทำหน้าที่เคยเป็นข่าวฉาวโฉ่โด่งดังขึ้นหน้า 1 นสพ.รายวันอยู่บ่อยครั้ง เป็นคู่กัดของเจ้าพ่ออาบอบนวด หลบหน้าหายจากยุทธจักรสีกากีไปนาน แต่ยังคงเดินกับสายอำนาจ และเป็นที่วางใจเสมือนสมุนมือซ้าย เสาร์-อาทิตย์ ต้องไปกินข้าวเช้ากับนายใหญ่แถวๆลาดพร้าว โชคชัย 4 เป็นประจำ
เฉพาะ 2 จ.หลังคือปัจจุบันและอดีตตำรวจ ที่แวดวงสีกากีเขารู้กำพืดกันดี ล้วนมีประวัติแสบๆคันๆ มันๆกันทั้งคู่
จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่ทุกวันนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กลายเป็นสำนักงานตำรวจแห่งครอบครัว มีแต่ปัญหา ประชาชนไม่ให้การยอมรับ หรือกระทั่งตำรวจด้วยกันเองยังหมดศรัทธา เพราะแวดล้อมผู้มากด้วยบารมีและอำนาจล้วนมีแต่พวกสุดแสบ จัดอยู่ในโหมตคนพาลไม่ใช่บัณฑิต
โบราณเขาจึงยกการไม่คบคนพาล ไว้ในข้อที่ 1 ของหลักมงคลชีวิต 38 ประการ เพื่อไม่ให้เสียผู้เสียคน
“ใบไม้ห่อหุ้มปลาเน่า ย่อมพลอยแปดเปื้อนเหม็นเน่าไปด้วยฉันใด ผู้ที่คบคนพาลก็ย่อมต้องพลอยเสียชื่อเสียง ติดความเป็นพาล เดือดร้อนเสียหายไปด้วยฉันนั้น”